พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 66 ประจบสอพลอ
ตอนที่ 66 ประจบสอพลอ ตั้งแต่วันที่อันหลิงเกอทำให้ทุกคนในงานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิพากันตกตะลึง ก็มีฮูหยินจำนวนมากในเมืองหลวงเริ่มสนใจจวนโหวมากขึ้น จากนั้นมินานก็มีบรรดาฮูหยินของขุนนางผู้ใหญ่ก็ได้ส่งเทียบเชิญมาที่จวนโหว โดยต้องการเชิญอันหลิงเกอให้ไปเป็นแขก แต่ก็มักจะถูกนางปฏิเสธอย่างอ้อมค้อมและนุ่มนวล เพราะเหตุผลที่ว่าจวนหลังนี้อยู่ในความดูแลของหลี่ซื่อ นางจะไปโดยที่ข้ามหน้าข้ามตาของหลี่ซื่อมิได้ อันหลิงเกอจึงมิได้ติดต่อสัมพันธ์กับฮูหยินของขุนนางเหล่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงให้ปี้จูทยอยปฏิเสธเทียบเชิญเหล่านั้นไปทีละคน แต่เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเห็นสถานการณ์เยี่ยงนี้แล้ว ก็มีความคิดดี ๆ ผุดขึ้นมาในหัว ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา อันหลิงเฉ่วเอาแต่หดหู่ใจราวกับลูกนกที่สูญเสียพลังไป ในอดีตคนที่ร่าเริงพูดเป็นต่อยหอย จู่ ๆ ก็มาเงียบมิพูดมิจาเยี่ยงนี้ ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกมิเคยชิน เมื่อฮูหยินผู้เฒ่ามิได้ยินคำพูดหวาน ๆ ของหลานสาวที่ว่านอนสอนง่ายผู้นี้ จึงรู้ว่านางกลัดกลุ้มใจเรื่องที่ต้องมาอับอายขายหน้าในงานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิ บังเอิญกับที่มีฮูหยินหลายท่านส่งเทียบเชิญมาให้ สู้เชิญพวกนางนั้นมาพบปะสังสรรค์เล็ก ๆ กันที่จวนดีกว่า ถือเสียว่าเป็นการพบหน้ากันอย่างเป็นทางการกับทุกคนหลังจากที่นายหญิงบ้านรองและบ้านสามกลับมาเมืองหลวงอย่างเป็นทางการ เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าคิดได้เยี่ยงนี้แล้ว จึงบอกความคิดนี้ให้หลี่ซื่อทราบทันที “ท่านแม่ต้องการเชิญเหล่าฮูหยินและบรรดาคุณหนูในตระกูลขุนนางมางานเลี้ยงที่จวนโหวของเราเยี่ยงนั้นหรือเจ้าคะ ? “ หลี่ซื่อนั่งอยู่เยื้องจากฮูหยินผู้เฒ่าด้วยท่าทางที่เคารพและสุภาพนอบน้อม แม้ว่าหวังซื่อจะรับหน้าที่ดูแลห้องเก็บสมบัติจากมือนางไปแล้ว แต่เรื่องต่าง ๆ ภายในจวนโหวก็ยังต้องให้หลี่ซื่อเป็นคนจัดการอยู่ดี โดยเหตุนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าจึงมิได้ปรึกษากับหวังซื่อ แต่กลับให้คนไปตามหลี่ซื่อเข้ามาหาแทน นางพยักหน้า พร้อมกับมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่ฮูหยินผู้เฒ่า ” ข้าจากเมืองหลวงไปนานสิบกว่าปี ตอนนี้ได้พาลูกรองและลูกสามกลับมาแล้ว คงถึงเวลาพบปะผู้คนที่อยู่ในเมืองหลวงอย่างเป็นทางการเสียที” เมื่อได้ฟังฮูหยินผู้เฒ่ากล่าว หลี่ซื่อก็ตกตะลึงงันไป และรู้สึกว่าฮูหยินผู้เฒ่านั้นเรื่องมาก เพียงเพื่อต้องการที่จะให้นายหญิงรองและนายหญิงสามพวกนั้นก้าวเข้าสู่แวดวงสังคมของเมืองหลวง แต่ก็มิสามารถปฏิเสธออกไปได้อย่างโจ่งแจ้งต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าได้ จึงได้แต่กล่าวตกลงออกไป ” ท่านแม่มิต้องกังวล เชี่ยเซินจะไปจัดการเรื่องนี้ให้ด้วยตัวเองเจ้าค่ะ” ฮูหยินผู้เฒ่าขานรับ และสั่งกำชับหลี่ซื่อให้กระทำเรื่องนี้อย่างระมัดระวัง จากนั้นก็แสดงอาการท่าทีว่าเหนื่อย หลี่ซื่อจึงรีบขอตัวกลับไปที่เรือนของตัวเองและสั่งให้บ่าวรับใช้ไปจัดการเรื่องนี้ อันหลิงเฉ่วเป็นคนแรกที่ได้รู้ข่าวนี้ เนื่องจากนางถูกแม่นมจากเรือนของฮูหยินผู้เฒ่ามาเรียกตัวให้ไปหา ซึ่งในวันนี้ใบหน้าที่สวยใสไร้เดียงสาของนางก็มีความกลัดกลุ้มใจแฝงอยู่ “เฉ่วเอ๋อมาหาย่าสิ” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเรียกพร้อมกับผายมือไปทางด้านข้างของตนเอง มองดูอันหลิงเฉ่วนั่งลงข้างกายตัวเอง ก่อนจะเอื้อมมือออกไปสัมผัสศีรษะของนาง “เจ้าเด็กคนนี้ เศร้าเสียใจเพราะงานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิสินะ ? ” อันหลิงเฉ่วเม้มฝีปากและหลับตาลง “เฉ่วเอ๋อมิได้มิมีความสุขเพราะงานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิหรอกเจ้าค่ะ เหตุใดท่านย่าถึงเอ่ยถามเยี่ยงนี้ล่ะเจ้าคะ?” “เจ้าโตมาข้างกายย่ามาตั้งแต่ยังเด็ก ย่ามีหรือว่าจะดูมิออกว่าเจ้ากำลังคิดอันใดอยู่ ? ” ฮูหยินผู้เฒ่าชำเลืองมองนาง นัยน์ตามิได้ดูเข้มงวดเลย แต่กลับมีความสงสารและเห็นใจอยู่มิน้อย “เจ้าฉลาดมีไหวพริบและน่ารักมาตั้งแต่เด็ก เป็นหนึ่งในเด็กสาวที่มีพรสวรรค์ที่ดีที่สุดในวัยเดียวกัน มิเป็นสองรองใคร แต่พอมาถึงเมืองหลวงครั้งแรก กลับทำเรื่องผิดพลาดในงานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิ ความรู้สึกเป็นทุกข์ในใจเจ้า ย่าย่อมรู้ดี” “ท่านย่า” อันหลิงเฉ่วน้ำเสียงสะอื้นไห้ เช็ดดวงตาด้วยหลังมือ แต่ยังคงมิเงยหน้าขึ้น “ข้าทนฝึกดีดพิณมานานหลายปีด้วยความยากลำบาก แค่หวังว่าจะได้ทำให้จวนโหวของเรามีหน้ามีตา แต่… ..” ในขณะที่นางกล่าวอยู่นั้น ก็มิสามารถกล่าวต่อไปได้อีก หัวไหล่เริ่มสั่นเทาหน่อย ๆ เห็นได้ชัดว่านางกำลังร้องไห้ ฮูหยินผู้เฒ่าตบหลังมือของนางและปลอบโยนนางอย่างอดทน “มิต้องกังวลไป ย่ารู้ว่าเจ้าเสียใจ จึงสั่งให้คนไปเตรียมงานเลี้ยงและเชื้อเชิญฮูหยินและบรรดาคุณหนูเหล่านั้นมาที่จวนแล้ว นอกจากนี้ยังบอกไปอีกว่านายหญิงรองและนายหญิงสามกลับมาเมืองหลวงเป็นครั้งแรก อยากจะแนะนำให้พวกนางรู้จักกับผู้คนในเมืองหลวง” อันหลิงเฉ่วเมื่อได้ฟังก็เงยหน้าขึ้นด้วยความแปลกใจ ก่อนที่น้ำตาจะไหลลงมาอาบแก้ม ดวงตาก็แดงก่ำขึ้นมาอีกครั้ง “ท่านย่าลำบากใจทำเช่นนี้ เฉ่วเอ๋อจะมิทำให้ท่านย่าผิดหวังอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ” “ย่ารู้ว่าเจ้าเป็นเด็กดี เอาล่ะ รีบไปเตรียมตัวเถอะ เฉ่วเอ๋อของเราฉลาดถึงเพียงนี้ ครั้งนี้จะมิทำให้เรื่องผิดพลาดให้ถูกผู้อื่นเข้าใจผิดอีกครั้งเป็นแน่” อันหลิงเฉ่วพยักหน้ารับ และอยู่พูดคุยกับฮูหยินผู้เฒ่าครู่หนึ่ง ก่อนที่จะขอตัวถอยออกมาจากเรือนฮูหยินผู้เฒ่า … ส่วนอีกด้านหนึ่งอันหลิงอีก็ได้ยินข่าวนี้เช่นกัน เรื่องนี้หลี่ซื่อมารดาของนางเป็นคนจัดการและตระเตรียมงาน อันหลิงอีจึงไปสอบถามเพื่อความชัดเจนเกี่ยวสาเหตุ เมื่อได้ทราบก็พลันปรากฏรอยยิ้มเยาะเย้ยขึ้นที่มุมปาก “ข้ารู้แล้วว่าท่านย่าเป็นคนลำเอียง เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางที่น่าเกลียดของอันหลิงเฉ่วก็รีบคิดหาวิธีแก้ไขชื่อเสียงให้กับนาง” อันหลิงเหมิงที่ในตอนนี้ได้ยืนอยู่ตรงหน้าของของอันหลิงเกอ เมื่อได้ฟังคำพูดของอันหลิงเกอก็รีบกล่าวประจบสอพลอออกมาทันที “มิว่าท่านย่าจะรักพี่หญิงรองมากเพียงใด แต่คนที่มีสถานะสูงส่งที่สุดในจวนโหวแห่งนี้ก็ยังเป็นพี่หญิงสามอยู่ดีเจ้าค่ะ” กล่าวจบ อันหลิงเหมิงก็กวาดสายตาไปโดยรอบเห็นโต๊ะไม้พะยูง หันไปอีกทางก็เห็นเตาเทวรูปทองแดงที่อยู่ด้านข้าง แม้แต่ธูปที่ใช้ก็ยังเป็นไม้กฤษณาราคาแพง หรูหรา และฟุ่มเฟือยมาก มีคุณหนูจวนไหนจะมาเทียบเคียงได้กัน ? ดวงตาของอันหลิงเหมิงเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาและความโลภ โดยหวังว่าสิ่งของทั้งหมดนี้จะกลายมาเป็นของตนเอง นางแอบครุ่นคิดอยู่ในใจคนเดียวเงียบ ๆว่า ถ้าทำให้อันหลิงอีพอใจนางได้ และได้ของที่อยู่ในมือของอันหลิงอีมาสักเล็กน้อย มันจะต้องมีค่ามากกว่าของที่นางมีอยู่ในตอนนี้อย่างแน่นอน แต่คิดมิถึงว่าใบหน้าของอันหลิงอีจะยิ่งดูน่าเกลียดยิ่งขึ้น เมื่อได้ฟังคำกล่าวของนาง จากนั้นเสียงแก้วถูกเขวี้ยงลงกระทบอยู่บนโต๊ะแตกดังเพี้ยะ ! เป็นเหตุทำให้อันหลิงเหมิงตกใจกลัว “ข้าเป็นคนที่มีค่าที่สุดในจวนนี้เยี่ยงนั้นรึ ? ” อันหลิงอีถามกลับด้วยใบหน้าที่เยาะเย้ย “เจ้าเอาอันอันหลิงเกอและอันหลิงเฉ่วไปไว้ที่ใดกัน ? ” แม้ว่าแม่ของนางจะควบคุมดูแลบ้านหลังนี้อยู่ ในแง่ของฐานะ นางก็เป็นได้เพียงบุตรสาวอนุคนหนึ่งที่มิมีวันเชิดหน้าชูตาได้ มิเพียงแต่ต้องก้มหัวเมื่ออยู่ต่อหน้าอันหลิงเกอ แม้แต่อันหลิงเฉ่วบุตรสาวภริยาเอกของท่านอาสามผู้นี้ก็ยังกล้าที่จะมาท้าทายนาง อันหลิงเหมิงเดิมที่ต้องการประจบสอพลอ แต่ใครจะไปรู้ว่ามันได้ไปจี้ใจดำให้อีกฝ่ายให้เจ็บปวด เดิมทีนางเป็นบุตรสาวอนุที่นายหญิงรองมิโปรดปราน ถึงแม้หวังซื่อจะมิมีบุตรสาว แต่ก็มิชอบนางที่เกิดจากอนุ ด้วยเหตุนี้ ผ่านไปหลายวันหลังจากที่อันหลิงเหมิงกลับมาถึงเมืองหลวง นางจึงตัดสินใจมาตีสนิทกับอันหลิงอี จะดีจะร้ายเยี่ยงไร มันก็ทำให้ชีวิตของนางกินดีอยู่ดีขึ้นมาเล็กน้อย โชคดีที่อันหลิงเหมิงรู้ตัวเร็ว จึงกล่าวออกไปว่า “แม้ว่าพี่หญิงใหญ่จะเป็นบุตรสาวที่เกิดจากภริยาเอก แต่นางก็สูญเสียมารดาไปตั้งแต่วัยเด็ก จวนโหวแห่งนี้อยู่ในกำมือของฮูหยินรอง ท่านแม่ของพี่หญิงสาม ก็เป็นเรื่องปกติที่พี่หญิงสามจะมีสถานะสูงสุด ส่วนพี่หญิงรอง แม้ว่านางจะเป็นบุตรสาวภริยาเอก แต่บุตรสาวภริยาเอกของบ้านหลังที่สาม จะมีเกียรติเท่าบุตรสาวของท่านลุงได้เยี่ยงไรเจ้าคะ” อันหลิงอีเมื่อได้ฟังก็มีความสุขมากกับคำเยินยอนี้ของนาง ในที่สุดใบหน้าก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย “ดีนะที่เจ้ารู้จักพูดและมองรูปแบบของจวนนี้ออก ถ้ามิใช่ท่านแม่ของข้ายุ่งหน้ายุ่งหลัง จวนนี้จะอยู่กันอย่างเป็นสุขสงบได้เยี่ยงไร ? “ คำกล่าวของอันหลิงอีราวกับเป็นคำมั่นสัญญาที่จะทำให้ชีวิตของตัวนางเองดีขึ้น อันหลิงเหมิงดีใจและรีบกล่าวชมไปอีกสองสามคำ พูดไปพูดมา หัวข้อก็หันเหกลับมาที่อันหลิงเกออีกครั้ง “ท่านย่าใช้ให้ท่านแม่ของข้าจัดงานเลี้ยง เป็นเรื่องปกติที่จะต้องเชื้อเชิญบรรดาคุณหนูจากจวนต่าง ๆ เข้าร่วม อันหลิงเกอก็มิมีข้อยกเว้น” เมื่อกล่าวจบ ดวงตาของอันหลิงอีก็เปล่งประกายออกมาอย่างมิทราบสาเหตุ มุมปากก็ยกยิ้มขึ้นอย่างมีเจตนาร้ายแอบแฝงอยู่ “ตอนนี้เจ้ากับข้าก็ความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมิน้อย ช่วยข้าไปจัดการเรื่องหนึ่ง เจ้าคงจะมิปฏิเสธหรอกนะ”
ตอนที่ 66 ประจบสอพลอ
ตั้งแต่วันที่อันหลิงเกอทำให้ทุกคนในงานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิพากันตกตะลึง ก็มีฮูหยินจำนวนมากในเมืองหลวงเริ่มสนใจจวนโหวมากขึ้น
จากนั้นมินานก็มีบรรดาฮูหยินของขุนนางผู้ใหญ่ก็ได้ส่งเทียบเชิญมาที่จวนโหว โดยต้องการเชิญอันหลิงเกอให้ไปเป็นแขก แต่ก็มักจะถูกนางปฏิเสธอย่างอ้อมค้อมและนุ่มนวล เพราะเหตุผลที่ว่าจวนหลังนี้อยู่ในความดูแลของหลี่ซื่อ นางจะไปโดยที่ข้ามหน้าข้ามตาของหลี่ซื่อมิได้ อันหลิงเกอจึงมิได้ติดต่อสัมพันธ์กับฮูหยินของขุนนางเหล่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงให้ปี้จูทยอยปฏิเสธเทียบเชิญเหล่านั้นไปทีละคน
แต่เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเห็นสถานการณ์เยี่ยงนี้แล้ว ก็มีความคิดดี ๆ ผุดขึ้นมาในหัว
ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา อันหลิงเฉ่วเอาแต่หดหู่ใจราวกับลูกนกที่สูญเสียพลังไป ในอดีตคนที่ร่าเริงพูดเป็นต่อยหอย จู่ ๆ ก็มาเงียบมิพูดมิจาเยี่ยงนี้ ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกมิเคยชิน
เมื่อฮูหยินผู้เฒ่ามิได้ยินคำพูดหวาน ๆ ของหลานสาวที่ว่านอนสอนง่ายผู้นี้ จึงรู้ว่านางกลัดกลุ้มใจเรื่องที่ต้องมาอับอายขายหน้าในงานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิ
บังเอิญกับที่มีฮูหยินหลายท่านส่งเทียบเชิญมาให้ สู้เชิญพวกนางนั้นมาพบปะสังสรรค์เล็ก ๆ กันที่จวนดีกว่า ถือเสียว่าเป็นการพบหน้ากันอย่างเป็นทางการกับทุกคนหลังจากที่นายหญิงบ้านรองและบ้านสามกลับมาเมืองหลวงอย่างเป็นทางการ
เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าคิดได้เยี่ยงนี้แล้ว จึงบอกความคิดนี้ให้หลี่ซื่อทราบทันที
“ท่านแม่ต้องการเชิญเหล่าฮูหยินและบรรดาคุณหนูในตระกูลขุนนางมางานเลี้ยงที่จวนโหวของเราเยี่ยงนั้นหรือเจ้าคะ ? “
หลี่ซื่อนั่งอยู่เยื้องจากฮูหยินผู้เฒ่าด้วยท่าทางที่เคารพและสุภาพนอบน้อม แม้ว่าหวังซื่อจะรับหน้าที่ดูแลห้องเก็บสมบัติจากมือนางไปแล้ว แต่เรื่องต่าง ๆ ภายในจวนโหวก็ยังต้องให้หลี่ซื่อเป็นคนจัดการอยู่ดี
โดยเหตุนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าจึงมิได้ปรึกษากับหวังซื่อ แต่กลับให้คนไปตามหลี่ซื่อเข้ามาหาแทน
นางพยักหน้า พร้อมกับมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่ฮูหยินผู้เฒ่า
” ข้าจากเมืองหลวงไปนานสิบกว่าปี ตอนนี้ได้พาลูกรองและลูกสามกลับมาแล้ว คงถึงเวลาพบปะผู้คนที่อยู่ในเมืองหลวงอย่างเป็นทางการเสียที”
เมื่อได้ฟังฮูหยินผู้เฒ่ากล่าว หลี่ซื่อก็ตกตะลึงงันไป และรู้สึกว่าฮูหยินผู้เฒ่านั้นเรื่องมาก เพียงเพื่อต้องการที่จะให้นายหญิงรองและนายหญิงสามพวกนั้นก้าวเข้าสู่แวดวงสังคมของเมืองหลวง แต่ก็มิสามารถปฏิเสธออกไปได้อย่างโจ่งแจ้งต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าได้ จึงได้แต่กล่าวตกลงออกไป
” ท่านแม่มิต้องกังวล เชี่ยเซินจะไปจัดการเรื่องนี้ให้ด้วยตัวเองเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าขานรับ และสั่งกำชับหลี่ซื่อให้กระทำเรื่องนี้อย่างระมัดระวัง จากนั้นก็แสดงอาการท่าทีว่าเหนื่อย หลี่ซื่อจึงรีบขอตัวกลับไปที่เรือนของตัวเองและสั่งให้บ่าวรับใช้ไปจัดการเรื่องนี้
อันหลิงเฉ่วเป็นคนแรกที่ได้รู้ข่าวนี้ เนื่องจากนางถูกแม่นมจากเรือนของฮูหยินผู้เฒ่ามาเรียกตัวให้ไปหา ซึ่งในวันนี้ใบหน้าที่สวยใสไร้เดียงสาของนางก็มีความกลัดกลุ้มใจแฝงอยู่
“เฉ่วเอ๋อมาหาย่าสิ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเรียกพร้อมกับผายมือไปทางด้านข้างของตนเอง มองดูอันหลิงเฉ่วนั่งลงข้างกายตัวเอง ก่อนจะเอื้อมมือออกไปสัมผัสศีรษะของนาง
“เจ้าเด็กคนนี้ เศร้าเสียใจเพราะงานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิสินะ ? ”
อันหลิงเฉ่วเม้มฝีปากและหลับตาลง
“เฉ่วเอ๋อมิได้มิมีความสุขเพราะงานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิหรอกเจ้าค่ะ เหตุใดท่านย่าถึงเอ่ยถามเยี่ยงนี้ล่ะเจ้าคะ?”
“เจ้าโตมาข้างกายย่ามาตั้งแต่ยังเด็ก ย่ามีหรือว่าจะดูมิออกว่าเจ้ากำลังคิดอันใดอยู่ ? ”
ฮูหยินผู้เฒ่าชำเลืองมองนาง นัยน์ตามิได้ดูเข้มงวดเลย แต่กลับมีความสงสารและเห็นใจอยู่มิน้อย
“เจ้าฉลาดมีไหวพริบและน่ารักมาตั้งแต่เด็ก เป็นหนึ่งในเด็กสาวที่มีพรสวรรค์ที่ดีที่สุดในวัยเดียวกัน มิเป็นสองรองใคร แต่พอมาถึงเมืองหลวงครั้งแรก กลับทำเรื่องผิดพลาดในงานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิ ความรู้สึกเป็นทุกข์ในใจเจ้า ย่าย่อมรู้ดี”
“ท่านย่า”
อันหลิงเฉ่วน้ำเสียงสะอื้นไห้ เช็ดดวงตาด้วยหลังมือ แต่ยังคงมิเงยหน้าขึ้น
“ข้าทนฝึกดีดพิณมานานหลายปีด้วยความยากลำบาก แค่หวังว่าจะได้ทำให้จวนโหวของเรามีหน้ามีตา แต่… ..”
ในขณะที่นางกล่าวอยู่นั้น ก็มิสามารถกล่าวต่อไปได้อีก หัวไหล่เริ่มสั่นเทาหน่อย ๆ เห็นได้ชัดว่านางกำลังร้องไห้
ฮูหยินผู้เฒ่าตบหลังมือของนางและปลอบโยนนางอย่างอดทน
“มิต้องกังวลไป ย่ารู้ว่าเจ้าเสียใจ จึงสั่งให้คนไปเตรียมงานเลี้ยงและเชื้อเชิญฮูหยินและบรรดาคุณหนูเหล่านั้นมาที่จวนแล้ว นอกจากนี้ยังบอกไปอีกว่านายหญิงรองและนายหญิงสามกลับมาเมืองหลวงเป็นครั้งแรก อยากจะแนะนำให้พวกนางรู้จักกับผู้คนในเมืองหลวง”
อันหลิงเฉ่วเมื่อได้ฟังก็เงยหน้าขึ้นด้วยความแปลกใจ ก่อนที่น้ำตาจะไหลลงมาอาบแก้ม ดวงตาก็แดงก่ำขึ้นมาอีกครั้ง
“ท่านย่าลำบากใจทำเช่นนี้ เฉ่วเอ๋อจะมิทำให้ท่านย่าผิดหวังอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
“ย่ารู้ว่าเจ้าเป็นเด็กดี เอาล่ะ รีบไปเตรียมตัวเถอะ เฉ่วเอ๋อของเราฉลาดถึงเพียงนี้ ครั้งนี้จะมิทำให้เรื่องผิดพลาดให้ถูกผู้อื่นเข้าใจผิดอีกครั้งเป็นแน่”
อันหลิงเฉ่วพยักหน้ารับ และอยู่พูดคุยกับฮูหยินผู้เฒ่าครู่หนึ่ง ก่อนที่จะขอตัวถอยออกมาจากเรือนฮูหยินผู้เฒ่า
…
ส่วนอีกด้านหนึ่งอันหลิงอีก็ได้ยินข่าวนี้เช่นกัน เรื่องนี้หลี่ซื่อมารดาของนางเป็นคนจัดการและตระเตรียมงาน อันหลิงอีจึงไปสอบถามเพื่อความชัดเจนเกี่ยวสาเหตุ เมื่อได้ทราบก็พลันปรากฏรอยยิ้มเยาะเย้ยขึ้นที่มุมปาก
“ข้ารู้แล้วว่าท่านย่าเป็นคนลำเอียง เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางที่น่าเกลียดของอันหลิงเฉ่วก็รีบคิดหาวิธีแก้ไขชื่อเสียงให้กับนาง”
อันหลิงเหมิงที่ในตอนนี้ได้ยืนอยู่ตรงหน้าของของอันหลิงเกอ เมื่อได้ฟังคำพูดของอันหลิงเกอก็รีบกล่าวประจบสอพลอออกมาทันที
“มิว่าท่านย่าจะรักพี่หญิงรองมากเพียงใด แต่คนที่มีสถานะสูงส่งที่สุดในจวนโหวแห่งนี้ก็ยังเป็นพี่หญิงสามอยู่ดีเจ้าค่ะ”
กล่าวจบ อันหลิงเหมิงก็กวาดสายตาไปโดยรอบเห็นโต๊ะไม้พะยูง หันไปอีกทางก็เห็นเตาเทวรูปทองแดงที่อยู่ด้านข้าง แม้แต่ธูปที่ใช้ก็ยังเป็นไม้กฤษณาราคาแพง หรูหรา และฟุ่มเฟือยมาก มีคุณหนูจวนไหนจะมาเทียบเคียงได้กัน ?
ดวงตาของอันหลิงเหมิงเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาและความโลภ โดยหวังว่าสิ่งของทั้งหมดนี้จะกลายมาเป็นของตนเอง
นางแอบครุ่นคิดอยู่ในใจคนเดียวเงียบ ๆว่า ถ้าทำให้อันหลิงอีพอใจนางได้ และได้ของที่อยู่ในมือของอันหลิงอีมาสักเล็กน้อย มันจะต้องมีค่ามากกว่าของที่นางมีอยู่ในตอนนี้อย่างแน่นอน
แต่คิดมิถึงว่าใบหน้าของอันหลิงอีจะยิ่งดูน่าเกลียดยิ่งขึ้น เมื่อได้ฟังคำกล่าวของนาง จากนั้นเสียงแก้วถูกเขวี้ยงลงกระทบอยู่บนโต๊ะแตกดังเพี้ยะ ! เป็นเหตุทำให้อันหลิงเหมิงตกใจกลัว
“ข้าเป็นคนที่มีค่าที่สุดในจวนนี้เยี่ยงนั้นรึ ? ”
อันหลิงอีถามกลับด้วยใบหน้าที่เยาะเย้ย
“เจ้าเอาอันอันหลิงเกอและอันหลิงเฉ่วไปไว้ที่ใดกัน ? ”
แม้ว่าแม่ของนางจะควบคุมดูแลบ้านหลังนี้อยู่ ในแง่ของฐานะ นางก็เป็นได้เพียงบุตรสาวอนุคนหนึ่งที่มิมีวันเชิดหน้าชูตาได้ มิเพียงแต่ต้องก้มหัวเมื่ออยู่ต่อหน้าอันหลิงเกอ แม้แต่อันหลิงเฉ่วบุตรสาวภริยาเอกของท่านอาสามผู้นี้ก็ยังกล้าที่จะมาท้าทายนาง
อันหลิงเหมิงเดิมที่ต้องการประจบสอพลอ แต่ใครจะไปรู้ว่ามันได้ไปจี้ใจดำให้อีกฝ่ายให้เจ็บปวด
เดิมทีนางเป็นบุตรสาวอนุที่นายหญิงรองมิโปรดปราน ถึงแม้หวังซื่อจะมิมีบุตรสาว แต่ก็มิชอบนางที่เกิดจากอนุ ด้วยเหตุนี้ ผ่านไปหลายวันหลังจากที่อันหลิงเหมิงกลับมาถึงเมืองหลวง นางจึงตัดสินใจมาตีสนิทกับอันหลิงอี จะดีจะร้ายเยี่ยงไร มันก็ทำให้ชีวิตของนางกินดีอยู่ดีขึ้นมาเล็กน้อย
โชคดีที่อันหลิงเหมิงรู้ตัวเร็ว จึงกล่าวออกไปว่า “แม้ว่าพี่หญิงใหญ่จะเป็นบุตรสาวที่เกิดจากภริยาเอก แต่นางก็สูญเสียมารดาไปตั้งแต่วัยเด็ก จวนโหวแห่งนี้อยู่ในกำมือของฮูหยินรอง ท่านแม่ของพี่หญิงสาม ก็เป็นเรื่องปกติที่พี่หญิงสามจะมีสถานะสูงสุด ส่วนพี่หญิงรอง แม้ว่านางจะเป็นบุตรสาวภริยาเอก แต่บุตรสาวภริยาเอกของบ้านหลังที่สาม จะมีเกียรติเท่าบุตรสาวของท่านลุงได้เยี่ยงไรเจ้าคะ”
อันหลิงอีเมื่อได้ฟังก็มีความสุขมากกับคำเยินยอนี้ของนาง ในที่สุดใบหน้าก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย
“ดีนะที่เจ้ารู้จักพูดและมองรูปแบบของจวนนี้ออก ถ้ามิใช่ท่านแม่ของข้ายุ่งหน้ายุ่งหลัง จวนนี้จะอยู่กันอย่างเป็นสุขสงบได้เยี่ยงไร ? “
คำกล่าวของอันหลิงอีราวกับเป็นคำมั่นสัญญาที่จะทำให้ชีวิตของตัวนางเองดีขึ้น อันหลิงเหมิงดีใจและรีบกล่าวชมไปอีกสองสามคำ พูดไปพูดมา หัวข้อก็หันเหกลับมาที่อันหลิงเกออีกครั้ง
“ท่านย่าใช้ให้ท่านแม่ของข้าจัดงานเลี้ยง เป็นเรื่องปกติที่จะต้องเชื้อเชิญบรรดาคุณหนูจากจวนต่าง ๆ เข้าร่วม อันหลิงเกอก็มิมีข้อยกเว้น”
เมื่อกล่าวจบ ดวงตาของอันหลิงอีก็เปล่งประกายออกมาอย่างมิทราบสาเหตุ มุมปากก็ยกยิ้มขึ้นอย่างมีเจตนาร้ายแอบแฝงอยู่
“ตอนนี้เจ้ากับข้าก็ความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมิน้อย ช่วยข้าไปจัดการเรื่องหนึ่ง เจ้าคงจะมิปฏิเสธหรอกนะ”