พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 67 พบกับคนแปลกหน้าระหว่างทาง
ตอนที่ 67 พบกับคนแปลกหน้าระหว่างทาง จากนั้นอันหลิงอีโน้มตัวเข้าไปใกล้อันหลิงเหมิง และกระซิบกระซาบครู่หนึ่ง พลันใบหน้าของคนฟังก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เผยให้เห็นใบหน้าที่ลำบากใจอย่างมากออกมา “ทำเรื่องเยี่ยงนี้มิค่อยดีหรอกกระมังเจ้าคะ ? “ “มีอันใดจักมิดี ก็แค่ออกแรงทำงานให้ข้านิดเดียวเท่านั้น ถ้าแม้แต่เรื่องแค่นี้เจ้าก็มิกล้าทำ เยี่ยงนั้นก็ช่างเถอะ” อันหลิงอีทำเสียงฮึดฮัดมิพอใจ เห็นได้ชัดว่ากำลังมิสบอารมณ์ แต่เพื่อประจบสอพลอเอาใจอันหลิงอีแล้ว ต้องไปทำร้ายคุณหนูใหญ่บุตรสาวภริยาเอก มันจะคุ้มหรือไม่ ? อันหลิงเหมิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพยักหน้าลงในที่สุด “ตกลงเจ้าค่ะ ในเมื่อเรื่องนี้พี่หญิงสามขอร้องมา ข้าจะต้องทำมันออกมาอย่างดีแน่นอนเจ้าค่ะ” นางสัญญากับอันหลิงอี เมื่ออันหลิงอีได้ยินก็ฉีกยิ้มออกมาและถอดกำไลทองจากข้อมือ “ข้ารู้ว่าเจ้ามีชีวิตอยู่ข้างกายของอาสะใภ้รองมิค่อยดี ของสิ่งนี้ข้าขอมอบให้เจ้า” ดวงตาของอันหลิงเหมิงเอาแต่จับจ้องไปที่กำไลข้อมือมิวางตาด้วยความรู้สึกปิติยินดีอย่างยิ่ง นางแสร้งทำเป็นปฏิเสธไปสองสามคำ ท้ายที่สุดก็ยอมรับกำไลข้อมือ จากการโน้มน้าวใจของอันหลิงอี จากนั้นนางก็เดินกลับเรือนตัวเองด้วยรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า แม้ว่างานเลี้ยงที่จวนโหวจะเชิญเพียงเหล่าฮูหยินและบรรดาคุณหนูของขุนนางระดับสูงมาเท่านั้น แต่งานก็ดูยิ่งใหญ่มาก … วันงานอันหลิงเหมิงมาถึงเรือนฉีอู๋ตั้งแต่เช้า ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “แขกเหรื่อมากันเกือบหมดแล้วเจ้าค่ะ อี๋เหนียงใช้ให้ข้ามาตามทุกคนให้ออกไปกันได้แล้วเจ้าค่ะ” อันหลิงเหมิงนั้นเป็นคนที่มิได้มีเสน่ห์และไร้เดียงสาเหมือนอันหลิงอีและอันหลิงเฉ่ว ใบหน้าดูค่อนข้างจืดชืดอย่างเห็นได้ชัด แต่ถ้ามองดูใกล้ ๆ แล้วรูปลักษณ์หน้าตาก็มีเสน่ห์อยู่มาก ยิ่งตอนนี้ยิ้มอย่างสดใส มันทำให้คนมองรู้สึกดี ปี้จูเพิ่งจะแต่งหน้าให้อันหลิงเกอเสร็จ เมื่อเห็นอันหลิงเหมิงมาหาแต่เช้าเยี่ยงนี้ แววตาก็เต็มไปด้วยความแปลกใจ อันหลิงเกอหันกลับมามองสำรวจดูนาง ในตอนที่พบกันครั้งแรก เด็กสาวคนนี้ยังมีท่าทีเขินอายอยู่เล็กน้อย แต่เมื่อเวลาผ่านไปความเขินอายที่เก็บซ่อนไว้ตัวบนของนางก็หายไป เปลี่ยนเป็นมีรอยยิ้มที่สดใสดูเหมือนนางจะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่อย่างมีความสุขแล้วกระมัง อันหลิงเกอยิ้มให้นาง นัยน์ตาลึก ๆ เกินคาดเดาอารมณ์มิออก “น้องสี่มาได้พอดี ข้ากำลังจะไปงานเลี้ยงอยู่เช่นกัน” “งั้นก็พอดีเลยเจ้าค่ะ” อันหลิงเหมิงยิ้มและคว้าข้อมือของอันหลิงเกอเอาไว้ ดูแล้วก็มิใช่คนที่มีนิสัยเก็บตัวเลยสักนิด “พี่หญิงใหญ่เร็วเข้าเจ้าค่ะ ปล่อยให้คนอื่นรอมันจะมิดีนะเจ้าคะ” อันหลิงเกอเดินตามนางออกไป แต่เมื่อนางผ่านสวนดอกไม้ไปก็พบกับคนผู้หนึ่งอย่างที่มิคาดคิด คนผู้นั้นสวมเสื้อผ้าไหมที่ปักลายนกกระเรียนสีเขียวใบชา ด้านนอกคลุมด้วยเสื้อผ้าไหมหยุนจินตัวใหญ่สีดำแบบดั้งเดิม ตอนนี้คนผู้นั้นกำลังพูดคุยกับชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า ทันใดนั้นก็หันกลับมามองทางอันหลิงเกอ ใบหน้าที่หล่อเหลาที่มีบุคลิกท่าทางสง่างาม และเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม เมื่อเห็นอันหลิงเกอ มุมปากของเขาก็ยกขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มนั้นราวกับว่าเขาเกิดมาพร้อมกับรอยยิ้มที่ใครได้เห็นแล้วต้องรู้สึกอบอุ่นใจและหลงใหล มีเพียงดวงตาคู่นั้นที่สดใสเปล่งประกายเหมือนดวงดาว แต่แฝงไปด้วยความเย็นชา ดูมิมีชีวิตชีวาอันใด ดวงตาที่มิแยแสและเย็นชาเยี่ยงนี้ ทำให้อันหลิงเกอรู้สึกเจ็บปวดใจยิ่งนัก เจ็บปวดราวกับถูกเข็มนับพันมาทิ่มแทง อันหลิงเกอได้แต่อดทนต่อความรู้สึกแปลก ๆ เยี่ยงนี้เอาไว้ในใจเพียงเท่านั้น และแสร้งทำเป็นมองมิเห็นมู่จวินฮาน แล้วเดินตรงไปด้านหน้าต่อด้วยใบหน้าที่เฉยเมย “คู่หมั้นของข้าเห็นข้าแล้ว ใยเจ้ามิทักทายเสียหน่อยเล่า ? ” มู่จวินฮานเอ่ยถามตามหลังด้วยน้ำเสียงที่มิดังเกินไป และมันบังเอิญทำให้อันหลิงเกอได้ยินพอดี อันหลิงเกอจึงหยุดสาวเท้า แล้วตอบกลับไปอย่างอ่อนโยนและสุภาพ “มู่ซื่อจื่อมาที่จวนมีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ ? “ “หากมิมีเรื่องอันใด ข้ามาที่นี่มิได้หรอกรึ” มู่จวินฮานเลิกคิ้วขึ้นอย่างดื้อรั้นเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่ามิมีภาพลักษณ์ของคุณชายเจ้าเสน่ห์หลงเหลืออยู่แต่ดวงตาหงส์นั้นก็ยังคงเย็นชา อันหลิงเกอมิรู้ว่ามู่จวินฮานกำลังคิดจะทำอันใดอยู่ จึงเอ่ยคล้อยตามเขาไป “มิใช่เยี่ยงนั้นเจ้าค่ะ ท่านมู่ซื่อจื่อมาได้หากท่านต้องการที่จะมา ทุกคนในจวนโหวยินดีต้อนรับท่านเสมอเจ้าค่ะ” เมื่อกล่าวจบอันหลิงเกอก็เดินจากไปทันที เมื่อได้ฟังเยี่ยงนั้น มู่จวินฮานถึงได้ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ และหันมาพูดคุยกับน้องชายของตนที่อยู่ด้านข้าง พร้อมกับเฝ้ามองดูอันหลิงเกอที่เดินหายลับไปจากสายตาของเขา “หญิงสาวผู้นั้นเป็นคือคู่หมั้นของพี่สามหรอกรึขอรับ” จากนั้นน้องชายของมูจวินฮานเงยหน้าขึ้น ชะโงกหน้ามองไปทางอันหลิงเกอ “ดูจากอุปนิสัยแล้ว ต้องเป็นสาวงามเป็นแน่ขอรับ ! พี่สาม เมื่อสักครู่ท่านทำเย็นชามิแยแสเช่นนั้น จะต้องทำให้แม่นางผู้นั้นเสียใจเป็นแน่ขอรับ “ แววตาที่อันตรายของมู่จวินฮานจ้องมองน้องชายเขม็ง จ้องมองจนเขาขนลุก “พี่… พี่สาม ? “ “อย่าได้คิดอันใดกับนาง” มู่จวินฮานเตือนเขาเบา ๆ แต่สีหน้าท่าทีที่แสดงออกมาดูจริงจัง ชายหนุ่มผู้นั้นถึงกับตกใจผงะราวกับได้ค้นพบสิ่งใหม่ ๆ มองมู่จวินฮานด้วยความแปลกใจอยู่พักหนึ่ง “พี่สาม ท่านคงมิได้คิดจริงจังจริง ๆ หรอกใช่ไหมขอรับ ? งานแต่งพระราชทานหมายความว่าเยี่ยงไร ท่านกับข้าต่างก็รู้ดี การแต่งงานครั้งนี้มิมีทางเป็นไปได้เลย” ขณะที่เขาพูดออกมา สีหน้าท่าทีของมู่จวินฮานก็ยิ่งเย็นชามากขึ้นเรื่อย ๆ “มิว่าฮองเต้จะคิดเยี่ยงไร จวนฮ๋องมู่ของเราก็รับพระราชโองการสมรสพระราชทานมาแล้ว เสด็จพ่อก็ได้เจรจาแต่งงานกับจวนโหวแล้ว มิมีทางกลับคำแน่นอน” “จุ๊ ๆ ท่านกล่าวเสียเด็ดขาดและองอาจถึงเพียงนี้ คิดว่าจะหลอกข้าได้เยี่ยงนั้นรึ” ชายหนุ่มส่ายหัว ทำหน้าตาราวกับผู้ใหญ่แล้วกล่าวเสริมออกไปว่า “นิสัยเยี่ยงพี่สาม ถ้ามิชอบแล้วล่ะก็ คงคิดหาวิธีถอนตัวจากการแต่งงานครั้งนี้ไปนานแล้ว” แม้แต่คนข้างกายเขายังรู้เลยว่าเขานั้นชอบอันหลิงเกอ มู่จวินฮานยกยิ้มมุมปากอย่างเยาะเย้ยตนเอง ถึงแม้เขานั้นจะชอบอันหลิงเกอมาเพียงใด แต่อันหลิงเกอนั้นค่อยแต่อยากจะผลักใสเขาให้ห่างจากนางยิ่งไกลยิ่งดี เมื่อคิดถึงตอนนี้มู่จวินฮานก็เงียบไปและมิปฏิเสธคำกล่าวของน้องชายออกไป แต่ใบหน้าของเขากลับดูเศร้าหมองลงอย่างมิทราบสาเหตุ … อีกด้านหนึ่งอันหลิงเกอเดินตามอันหลิงเหมิงมาจนถึงศาลา ฮูหยินผู้เฒ่า หลี่ซื่อและคนอื่น ๆ ต่างก็มาถึงกันแล้ว หลี่ซื่อกำลังพูดคุยฮูหยินผู้หนึ่งของตระกูลขุนนาง เมื่อเห็นทั้งสองเดินเข้ามาใกล้ ก็ยิ้มอย่างอบอุ่นให้ “นี่คือบุตรสาวที่ฮูหยินใหญ่อันทิ้งไว้ มีรูปร่างหน้าตาเหมือนหวังเฟยตอนสาว ๆ เป็นอย่างมาก หน้าตาดูสะสวยมากยิ่งนัก” “มิใช่แค่รูปลักษณ์เพียงเท่านั้น แต่อุปนิสัยก็ดีมิเป็นสองรองใครเหมือนกัน” ฮูหยินอีกท่านกล่าวเสริมขึ้น จ้องมองอันหลิงเกอด้วยความพึงพอใจ ดูเหมือนอันหลิงเกอจะมิได้ยินคำชมของพวกนาง ดังนั้นอันหลิงเกอจึงได้แต่เพียงโค้งคำนับให้ผู้อาวุโส และนั่งลงด้านข้างอย่างเงียบ ๆ “คุณหนูอันบรรเลงบทเพลง《หนีชางหวู่》ในงานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิ จนทำเอาลืมมิลงเสียจริง มิทราบว่าคุณหนูอันเรียนมาจากผู้ใด ? ” ฮูหยินที่พูดก่อนหน้านั้นเอ่ยถามขึ้นมา ส่วนคนอื่น ๆ ก็ต่างพากันเงี่ยหูฟัง อันหลิงเกอส่ายหน้า แล้วกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงนอบน้อมว่า “เกอเอ๋อก็แค่อ่านมาจากตำราเล่มหนึ่งเพียงเท่านั้นเจ้าค่ะ แล้วบรรเลงไปตามใจชอบ มิได้มีครูบาอาจารย์อันใดเลยเจ้าค่ะ” แค่อ่านตำราและบรรเลงเพลงไปตามใจชอบ ก็สามารถบรรเลงเพลงที่น่าทึ่งเยี่ยงนั้นออกมาได้เชียวรึ ? เห็นได้ชัดว่าทุกคนมิเชื่อในคำพูดของอันหลิงเกอ เช่นนั้นอันหลิงเกอจึงอธิบายไปว่า “อี๋เหนียงยุ่งอยู่กับงานบ้านตลอดทั้งวัน จะเอาเวลาที่ไหนไปหาอาจารย์มาให้ข้าได้กันเจ้าคะ ? “ คำกล่าวของอันหลิงเกอนั้นมีความหมายแฝงบอกให้รู้ว่าหลี่ซื่อเป็นเพียงอนุคนหนึ่ง แต่กลับเข้ามาควบคุมอำนาจในจวนโหว ถ้าตามกฎหมายของต้าโจวแล้ว เป็นการข้ามเส้นแล้วและยังบอกอีกว่าหลี่ซื่อ มิมีเวลาหาอาจารย์ให้ตัวเอง แต่เห็นได้ชัดว่าการร่ายรำของอันหลิงอีนั้นได้รับการฝึกฝนมาจากอาจารย์ที่มีชื่อเสียง ถึงได้เป็นที่สนใจในงานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิได้ เมื่อรวมสองเรื่องนี้เข้าด้วยกัน ทุกคนที่ได้ฟังต่างก็รับรู้ได้ทันทีถึงความคิดของหลี่ซื่อ นั่นคือเลี้ยงดูบุตรสาวของอันหวังเฟยให้เป็นคนที่ทำอันใดมิเป็น แล้วให้บุตรสาวของตัวเองแต่งงานกับตระกูลใหญ่ได้อย่างราบรื่น เมื่อคิดได้เช่นนี้ สายตาทุกคู่ก็จ้องมองมาทางหลี่ซื่อก็แฝงไปด้วยความหมายที่มิอาจคาดเดาได้
ตอนที่ 67 พบกับคนแปลกหน้าระหว่างทาง
จากนั้นอันหลิงอีโน้มตัวเข้าไปใกล้อันหลิงเหมิง และกระซิบกระซาบครู่หนึ่ง พลันใบหน้าของคนฟังก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เผยให้เห็นใบหน้าที่ลำบากใจอย่างมากออกมา
“ทำเรื่องเยี่ยงนี้มิค่อยดีหรอกกระมังเจ้าคะ ? “
“มีอันใดจักมิดี ก็แค่ออกแรงทำงานให้ข้านิดเดียวเท่านั้น ถ้าแม้แต่เรื่องแค่นี้เจ้าก็มิกล้าทำ เยี่ยงนั้นก็ช่างเถอะ”
อันหลิงอีทำเสียงฮึดฮัดมิพอใจ เห็นได้ชัดว่ากำลังมิสบอารมณ์
แต่เพื่อประจบสอพลอเอาใจอันหลิงอีแล้ว ต้องไปทำร้ายคุณหนูใหญ่บุตรสาวภริยาเอก มันจะคุ้มหรือไม่ ?
อันหลิงเหมิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพยักหน้าลงในที่สุด
“ตกลงเจ้าค่ะ ในเมื่อเรื่องนี้พี่หญิงสามขอร้องมา ข้าจะต้องทำมันออกมาอย่างดีแน่นอนเจ้าค่ะ”
นางสัญญากับอันหลิงอี เมื่ออันหลิงอีได้ยินก็ฉีกยิ้มออกมาและถอดกำไลทองจากข้อมือ
“ข้ารู้ว่าเจ้ามีชีวิตอยู่ข้างกายของอาสะใภ้รองมิค่อยดี ของสิ่งนี้ข้าขอมอบให้เจ้า”
ดวงตาของอันหลิงเหมิงเอาแต่จับจ้องไปที่กำไลข้อมือมิวางตาด้วยความรู้สึกปิติยินดีอย่างยิ่ง นางแสร้งทำเป็นปฏิเสธไปสองสามคำ ท้ายที่สุดก็ยอมรับกำไลข้อมือ จากการโน้มน้าวใจของอันหลิงอี
จากนั้นนางก็เดินกลับเรือนตัวเองด้วยรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า
แม้ว่างานเลี้ยงที่จวนโหวจะเชิญเพียงเหล่าฮูหยินและบรรดาคุณหนูของขุนนางระดับสูงมาเท่านั้น แต่งานก็ดูยิ่งใหญ่มาก
…
วันงานอันหลิงเหมิงมาถึงเรือนฉีอู๋ตั้งแต่เช้า ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“แขกเหรื่อมากันเกือบหมดแล้วเจ้าค่ะ อี๋เหนียงใช้ให้ข้ามาตามทุกคนให้ออกไปกันได้แล้วเจ้าค่ะ”
อันหลิงเหมิงนั้นเป็นคนที่มิได้มีเสน่ห์และไร้เดียงสาเหมือนอันหลิงอีและอันหลิงเฉ่ว ใบหน้าดูค่อนข้างจืดชืดอย่างเห็นได้ชัด แต่ถ้ามองดูใกล้ ๆ แล้วรูปลักษณ์หน้าตาก็มีเสน่ห์อยู่มาก ยิ่งตอนนี้ยิ้มอย่างสดใส มันทำให้คนมองรู้สึกดี
ปี้จูเพิ่งจะแต่งหน้าให้อันหลิงเกอเสร็จ เมื่อเห็นอันหลิงเหมิงมาหาแต่เช้าเยี่ยงนี้ แววตาก็เต็มไปด้วยความแปลกใจ
อันหลิงเกอหันกลับมามองสำรวจดูนาง ในตอนที่พบกันครั้งแรก เด็กสาวคนนี้ยังมีท่าทีเขินอายอยู่เล็กน้อย แต่เมื่อเวลาผ่านไปความเขินอายที่เก็บซ่อนไว้ตัวบนของนางก็หายไป เปลี่ยนเป็นมีรอยยิ้มที่สดใสดูเหมือนนางจะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่อย่างมีความสุขแล้วกระมัง
อันหลิงเกอยิ้มให้นาง นัยน์ตาลึก ๆ เกินคาดเดาอารมณ์มิออก
“น้องสี่มาได้พอดี ข้ากำลังจะไปงานเลี้ยงอยู่เช่นกัน”
“งั้นก็พอดีเลยเจ้าค่ะ”
อันหลิงเหมิงยิ้มและคว้าข้อมือของอันหลิงเกอเอาไว้ ดูแล้วก็มิใช่คนที่มีนิสัยเก็บตัวเลยสักนิด
“พี่หญิงใหญ่เร็วเข้าเจ้าค่ะ ปล่อยให้คนอื่นรอมันจะมิดีนะเจ้าคะ”
อันหลิงเกอเดินตามนางออกไป แต่เมื่อนางผ่านสวนดอกไม้ไปก็พบกับคนผู้หนึ่งอย่างที่มิคาดคิด
คนผู้นั้นสวมเสื้อผ้าไหมที่ปักลายนกกระเรียนสีเขียวใบชา ด้านนอกคลุมด้วยเสื้อผ้าไหมหยุนจินตัวใหญ่สีดำแบบดั้งเดิม ตอนนี้คนผู้นั้นกำลังพูดคุยกับชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า ทันใดนั้นก็หันกลับมามองทางอันหลิงเกอ ใบหน้าที่หล่อเหลาที่มีบุคลิกท่าทางสง่างาม และเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม
เมื่อเห็นอันหลิงเกอ มุมปากของเขาก็ยกขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มนั้นราวกับว่าเขาเกิดมาพร้อมกับรอยยิ้มที่ใครได้เห็นแล้วต้องรู้สึกอบอุ่นใจและหลงใหล มีเพียงดวงตาคู่นั้นที่สดใสเปล่งประกายเหมือนดวงดาว แต่แฝงไปด้วยความเย็นชา ดูมิมีชีวิตชีวาอันใด
ดวงตาที่มิแยแสและเย็นชาเยี่ยงนี้ ทำให้อันหลิงเกอรู้สึกเจ็บปวดใจยิ่งนัก เจ็บปวดราวกับถูกเข็มนับพันมาทิ่มแทง อันหลิงเกอได้แต่อดทนต่อความรู้สึกแปลก ๆ เยี่ยงนี้เอาไว้ในใจเพียงเท่านั้น และแสร้งทำเป็นมองมิเห็นมู่จวินฮาน แล้วเดินตรงไปด้านหน้าต่อด้วยใบหน้าที่เฉยเมย
“คู่หมั้นของข้าเห็นข้าแล้ว ใยเจ้ามิทักทายเสียหน่อยเล่า ? ”
มู่จวินฮานเอ่ยถามตามหลังด้วยน้ำเสียงที่มิดังเกินไป และมันบังเอิญทำให้อันหลิงเกอได้ยินพอดี
อันหลิงเกอจึงหยุดสาวเท้า แล้วตอบกลับไปอย่างอ่อนโยนและสุภาพ
“มู่ซื่อจื่อมาที่จวนมีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ ? “
“หากมิมีเรื่องอันใด ข้ามาที่นี่มิได้หรอกรึ”
มู่จวินฮานเลิกคิ้วขึ้นอย่างดื้อรั้นเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่ามิมีภาพลักษณ์ของคุณชายเจ้าเสน่ห์หลงเหลืออยู่แต่ดวงตาหงส์นั้นก็ยังคงเย็นชา
อันหลิงเกอมิรู้ว่ามู่จวินฮานกำลังคิดจะทำอันใดอยู่ จึงเอ่ยคล้อยตามเขาไป
“มิใช่เยี่ยงนั้นเจ้าค่ะ ท่านมู่ซื่อจื่อมาได้หากท่านต้องการที่จะมา ทุกคนในจวนโหวยินดีต้อนรับท่านเสมอเจ้าค่ะ”
เมื่อกล่าวจบอันหลิงเกอก็เดินจากไปทันที
เมื่อได้ฟังเยี่ยงนั้น มู่จวินฮานถึงได้ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ และหันมาพูดคุยกับน้องชายของตนที่อยู่ด้านข้าง พร้อมกับเฝ้ามองดูอันหลิงเกอที่เดินหายลับไปจากสายตาของเขา
“หญิงสาวผู้นั้นเป็นคือคู่หมั้นของพี่สามหรอกรึขอรับ”
จากนั้นน้องชายของมูจวินฮานเงยหน้าขึ้น ชะโงกหน้ามองไปทางอันหลิงเกอ
“ดูจากอุปนิสัยแล้ว ต้องเป็นสาวงามเป็นแน่ขอรับ ! พี่สาม เมื่อสักครู่ท่านทำเย็นชามิแยแสเช่นนั้น
จะต้องทำให้แม่นางผู้นั้นเสียใจเป็นแน่ขอรับ “
แววตาที่อันตรายของมู่จวินฮานจ้องมองน้องชายเขม็ง จ้องมองจนเขาขนลุก
“พี่… พี่สาม ? “
“อย่าได้คิดอันใดกับนาง”
มู่จวินฮานเตือนเขาเบา ๆ แต่สีหน้าท่าทีที่แสดงออกมาดูจริงจัง
ชายหนุ่มผู้นั้นถึงกับตกใจผงะราวกับได้ค้นพบสิ่งใหม่ ๆ มองมู่จวินฮานด้วยความแปลกใจอยู่พักหนึ่ง
“พี่สาม ท่านคงมิได้คิดจริงจังจริง ๆ หรอกใช่ไหมขอรับ ? งานแต่งพระราชทานหมายความว่าเยี่ยงไร ท่านกับข้าต่างก็รู้ดี การแต่งงานครั้งนี้มิมีทางเป็นไปได้เลย”
ขณะที่เขาพูดออกมา สีหน้าท่าทีของมู่จวินฮานก็ยิ่งเย็นชามากขึ้นเรื่อย ๆ
“มิว่าฮองเต้จะคิดเยี่ยงไร จวนฮ๋องมู่ของเราก็รับพระราชโองการสมรสพระราชทานมาแล้ว
เสด็จพ่อก็ได้เจรจาแต่งงานกับจวนโหวแล้ว มิมีทางกลับคำแน่นอน”
“จุ๊ ๆ ท่านกล่าวเสียเด็ดขาดและองอาจถึงเพียงนี้ คิดว่าจะหลอกข้าได้เยี่ยงนั้นรึ”
ชายหนุ่มส่ายหัว ทำหน้าตาราวกับผู้ใหญ่แล้วกล่าวเสริมออกไปว่า “นิสัยเยี่ยงพี่สาม ถ้ามิชอบแล้วล่ะก็ คงคิดหาวิธีถอนตัวจากการแต่งงานครั้งนี้ไปนานแล้ว”
แม้แต่คนข้างกายเขายังรู้เลยว่าเขานั้นชอบอันหลิงเกอ
มู่จวินฮานยกยิ้มมุมปากอย่างเยาะเย้ยตนเอง ถึงแม้เขานั้นจะชอบอันหลิงเกอมาเพียงใด แต่อันหลิงเกอนั้นค่อยแต่อยากจะผลักใสเขาให้ห่างจากนางยิ่งไกลยิ่งดี
เมื่อคิดถึงตอนนี้มู่จวินฮานก็เงียบไปและมิปฏิเสธคำกล่าวของน้องชายออกไป แต่ใบหน้าของเขากลับดูเศร้าหมองลงอย่างมิทราบสาเหตุ
…
อีกด้านหนึ่งอันหลิงเกอเดินตามอันหลิงเหมิงมาจนถึงศาลา ฮูหยินผู้เฒ่า หลี่ซื่อและคนอื่น ๆ ต่างก็มาถึงกันแล้ว
หลี่ซื่อกำลังพูดคุยฮูหยินผู้หนึ่งของตระกูลขุนนาง เมื่อเห็นทั้งสองเดินเข้ามาใกล้ ก็ยิ้มอย่างอบอุ่นให้
“นี่คือบุตรสาวที่ฮูหยินใหญ่อันทิ้งไว้ มีรูปร่างหน้าตาเหมือนหวังเฟยตอนสาว ๆ เป็นอย่างมาก
หน้าตาดูสะสวยมากยิ่งนัก”
“มิใช่แค่รูปลักษณ์เพียงเท่านั้น แต่อุปนิสัยก็ดีมิเป็นสองรองใครเหมือนกัน”
ฮูหยินอีกท่านกล่าวเสริมขึ้น จ้องมองอันหลิงเกอด้วยความพึงพอใจ
ดูเหมือนอันหลิงเกอจะมิได้ยินคำชมของพวกนาง ดังนั้นอันหลิงเกอจึงได้แต่เพียงโค้งคำนับให้ผู้อาวุโส และนั่งลงด้านข้างอย่างเงียบ ๆ
“คุณหนูอันบรรเลงบทเพลง《หนีชางหวู่》ในงานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิ จนทำเอาลืมมิลงเสียจริง มิทราบว่าคุณหนูอันเรียนมาจากผู้ใด ? ”
ฮูหยินที่พูดก่อนหน้านั้นเอ่ยถามขึ้นมา ส่วนคนอื่น ๆ ก็ต่างพากันเงี่ยหูฟัง
อันหลิงเกอส่ายหน้า แล้วกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงนอบน้อมว่า “เกอเอ๋อก็แค่อ่านมาจากตำราเล่มหนึ่งเพียงเท่านั้นเจ้าค่ะ แล้วบรรเลงไปตามใจชอบ มิได้มีครูบาอาจารย์อันใดเลยเจ้าค่ะ”
แค่อ่านตำราและบรรเลงเพลงไปตามใจชอบ ก็สามารถบรรเลงเพลงที่น่าทึ่งเยี่ยงนั้นออกมาได้เชียวรึ ?
เห็นได้ชัดว่าทุกคนมิเชื่อในคำพูดของอันหลิงเกอ เช่นนั้นอันหลิงเกอจึงอธิบายไปว่า “อี๋เหนียงยุ่งอยู่กับงานบ้านตลอดทั้งวัน จะเอาเวลาที่ไหนไปหาอาจารย์มาให้ข้าได้กันเจ้าคะ ? “
คำกล่าวของอันหลิงเกอนั้นมีความหมายแฝงบอกให้รู้ว่าหลี่ซื่อเป็นเพียงอนุคนหนึ่ง แต่กลับเข้ามาควบคุมอำนาจในจวนโหว ถ้าตามกฎหมายของต้าโจวแล้ว เป็นการข้ามเส้นแล้วและยังบอกอีกว่าหลี่ซื่อ มิมีเวลาหาอาจารย์ให้ตัวเอง แต่เห็นได้ชัดว่าการร่ายรำของอันหลิงอีนั้นได้รับการฝึกฝนมาจากอาจารย์ที่มีชื่อเสียง ถึงได้เป็นที่สนใจในงานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิได้
เมื่อรวมสองเรื่องนี้เข้าด้วยกัน ทุกคนที่ได้ฟังต่างก็รับรู้ได้ทันทีถึงความคิดของหลี่ซื่อ
นั่นคือเลี้ยงดูบุตรสาวของอันหวังเฟยให้เป็นคนที่ทำอันใดมิเป็น แล้วให้บุตรสาวของตัวเองแต่งงานกับตระกูลใหญ่ได้อย่างราบรื่น
เมื่อคิดได้เช่นนี้ สายตาทุกคู่ก็จ้องมองมาทางหลี่ซื่อก็แฝงไปด้วยความหมายที่มิอาจคาดเดาได้