พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 71 หลอกล่ออย่างแยบยล
ตอนที่ 71 หลอกล่ออย่างแยบยล เมื่อคิดได้เยี่ยงนั้นหัวใจของอันหลิงเกอก็เต้นแรงขึ้น เป็นเหตุให้นางต้องหันหน้าไปด้านข้างเพื่อหลีกหนีจากสายตาของมู่จวินฮาน ใบหน้าของอันหลิงเกอแสดงความเขินอายเยี่ยงนี้ทำให้มู่จวินฮานยิ่งแน่ใจในการคาดเดาของตน จากนั้นเขาก็หัวเราะในลำคอแล้วหยิบนกหวีดทองคำที่เตรียมไว้ออกมาจากกระเป๋าอกเสื้อและยื่นไปตรงหน้าของอันหลิงเกอ “ข้าให้เจ้า ถือว่านี่เป็นของแทนใจระหว่างข้าและเจ้า เจ้าต้องเก็บรักษามันไว้ให้ดี” มู่จวินฮานมิเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายปฏิเสธ เขาก้มลงกระซิบข้างใบหูของอันหลิงเกอด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เจ้าสามารถเป่านกหวีดอันนี้เพื่อเรียกข้ามาปกป้องได้อย่างทันท่วงที ข้าคิดว่ามันจำเป็นต่อเจ้ามาก” มุมปากของอันหลิงเกอสั่นเล็กน้อย แววตาเริ่มมีความเปลี่ยนแปลงไปจากจากเดิม เมื่อนางหวนนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมาก็ตัดสินใจรับนกหวีดนี้เอาไว้ บนนกหวีดทองคำยังหลงเหลือความอบอุ่นจากฝ่ามือของเขาอยู่ เมื่อวางมันลงกลางฝ่ามือบอบบาง อันหลิงเกอก็รู้สึกว่าอบอุ่นนั้นได้ส่งผ่านจากฝ่ามือไปยังหัวใจ “ขอบคุณเจ้าค่ะ” อันหลิงเกอกล่าวขอบคุณพร้อมฉายรอยยิ้มเขินอาย เมื่อได้ฟังเยี่ยงนั้นมุมปากของมู่จวินฮานก็ยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย เขากำลังจักเอ่ยบางอย่างออกมา ทว่าได้ยินเสียงฝีเท้าของคนผู้หนึ่งเดินมาทางนี้เสียก่อน มู่จวินฮานมีท่าทีลังเลเล็กน้อย เมื่อคำนึงถึงชื่อเสียงของอันหลิงเกอจึงรีบจากไปอย่างแสนเสียดาย …… หลังจากอันหลิงอีได้รับการอบรมสั่งสอนจากฮูหยินผู้เฒ่าเสร็จแล้วก็รีบกลับไปหามารดาเพื่อระบายความอัดอั้นออกมา เดิมทีการที่บุตรสาวตกน้ำก็ทำให้หลี่ซื่อตกใจมิหาย แต่เมื่อได้ยินอีกฝ่ายเล่าถึงจุดประสงค์ของการจัดงานเลี้ยงในครานี้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าต้องการหาคู่ให้อันหลิงเฉว่โดยเฉพาะ ภายในใจของหลี่ซื่อก็รู้สึกมิพอใจขึ้นมา นางจึงสั่งให้สาวใช้ไปเชิญอันหลิงเฉว่มาที่เรือน … “ข้าได้ยินอีเอ๋อเล่าว่างานเลี้ยงที่จัดขึ้นวันนี้ก็เพื่อเฉว่เอ๋อโดยเฉพาะใช่หรือไม่ ? ” อันหลิงเฉว่เงยหน้ามองด้วยใบหน้าแสนไร้เดียงสา จากนั้นนางก็ตอบออกไปด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ท่านย่ากล่าวกับข้าว่าเยี่ยงนั้นจริงเจ้าค่ะ” “ช่างบังเอิญเสียจริง” หลี่ซื่อส่งเสียงเฮอะออกมา ใช้หางตาเหลือบมองอีกฝ่าย “สองสามวันมานี้ข้าก็คิดเรื่องการสมรสของเฉว่เอ๋อตลอดเช่นกัน แต่ใครจักคิดว่าใจตรงกับท่านแม่พอดี” “เดิมทีเรื่องการสมรสของเฉว่เอ๋อควรเป็นนายท่านสามและเจิ้งซื่อมารดาของเจ้าตัดสินใจ ทว่าตั้งแต่กลับจากเรือนเก่ามาอยู่ที่จวน พวกเจ้าก็เป็นบ้านเดียวกับข้าแล้ว ในเรื่องการสมรสของเจ้า ข้าจึงอยากให้คำแนะนำบ้าง” อันหลิงเฉว่พยักหน้าราวกับได้รับเกียรติ สีหน้าท่าทางช่างยากจักคาดเดาความคิด “เชิญอี๋เหนียงกล่าวมาเถิดเจ้าค่ะ” เมื่อเห็นอันหลิงเฉว่ยังนิ่งเฉยมิรู้สึกเขินอายต่อเรื่องการสมรสเลยแม้แต่น้อย สายตาของหลี่ซื่อจึงแฝงไปด้วยความดูถูก “เฉว่เอ๋อเป็นบุตรสาวคนโตของนายท่านสาม อีกทั้งยังมิใช่บุตรสาวแท้ ๆ ของท่านโหว ถ้าจักพูดเรื่องการสมรส บุรุษผู้นั้นต้องมิมีฐานะยากจนอย่างแน่นอน” “ทว่านายท่านสามเป็นเพียงคนธรรมดาไร้ตำแหน่ง หากเฉว่เอ๋ออยากแต่งเข้าตระกูลขุนนางชั้นสูงในราชสำนักก็คงยากทีเดียว ข้าไตร่ตรองแล้วก็เห็นว่าควรหาตระกูลพ่อค้าที่ฐานะร่ำรวยในเมืองหลวงมาแต่งกับเจ้า เมื่อเจ้าแต่งเข้าไปก็ถือว่าจักได้อยู่ดีกินดี มิต้องกังวลเรื่องการใช้ชีวิตอีกต่อไป เจ้าคิดว่าเป็นเยี่ยงไร ? ” “เรื่องการสมรสมีแม่สื่อเป็นผู้จัดการ การสมรสของเฉว่เอ๋อต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ท่านพ่อและท่านแม่เป็นผู้ตัดสินใจก็คือเรื่องปกติ อี๋เหนียงถามเช่นนี้ข้าจึงมิสามารถตัดสินใจได้เจ้าค่ะ ” อันหลิงเฉว่ตอบอย่างน่ารักและฉลาด เป็นเหตุให้หลี่ซื่อมิอาจจับความคิดของอีกฝ่ายได้แม้แต่น้อย เมื่อได้ฟังเยี่ยงนั้นแววตาของหลี่ซื่อก็เปลี่ยนไป ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้ายังปรากฏอยู่ “ข้าเพียงกล่าวชี้แนะเท่านั้น มิได้ให้เจ้ารีบตัดสินใจในทันใดหรอก” หลังจากกล่าวจบ หลี่ซื่อก็สั่งสาวใช้ไปนำใบชาอวิ่นลู่ออกมามอบให้อันหลิงเฉว่ “นี่คือชาอวิ๋นลู่ในฤดูใบไม้ผลิที่ข้าเพิ่งได้รับมา ข้าได้ยินว่าเจิ้งซื่อมารดาของเจ้านั้นชื่นชอบการชงชาเป็นอย่างมาก ฉะนั้นเจ้านำกลับให้นางลองชิมเถิด” อันหลิงเฉว่เห็นท่าทีเยี่ยงนี้ของอีกฝ่ายก็ครุ่นคิดภายในใจว่านี่ช่างเป็นอี๋เหนียงที่ใจกว้างเป็นมิตรยิ่งนัก ถ้ามิติดที่คำกล่าวหลอกล่อเมื่อครู่ซึ่งแสดงให้เห็นว่าหลี่ซื่ออยากให้นางที่มีฐานะเป็นบุตรสาวภริยาเอกและเป็นหลานสาวแท้ ๆ ของท่านโหวสมรสกับลูกพ่อค้า แม้แต่อันหลิงอีที่เป็นเพียงบุตรีของอนุภรรยายังมิคิดสมรสกับตระกูลพ่อค้าเลย หลี่ซื่อเห็นนางต่ำต้อยกว่าอันหลิงอีที่เป็นลูกอนุเชียวหรือ เมื่อคิดได้เยี่ยงนี้แววตาของอันหลิงเฉว่ก็เคร่งขรึมขึ้น จากนั้นมินานก็ยกยิ้มมุมปากแล้วเดินกลับเรือนของตนโดยมิลืมสั่งหมิงเยว่สาวใช้คนสนิทให้ไปเชิญฮูหยินผู้เฒ่ามาหาตนที่เรือน … “ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านรีบไปช่วยคุณหนูเถิดเจ้าค่ะ ! ” สาวใช้ของอันหลิงเฉว่วิ่งเข้ามาที่กลางเรือนของฮูหยินผู้เฒ่าอย่างรีบร้อนโดยมิได้คำนึงถึงมารยาทอันใด เมื่อเห็นเยี่ยงนั้นก็เป็นเหตุให้ใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าแสดงความมิพอใจออกมา “ไร้มารยาท ! ” “ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะ ! ได้โปรดช่วยคุณหนูของบ่าวด้วยเถิดเจ้าค่ะ ” นางเอ่ยพร้อมน้ำตาไหลอาบหน้า ความรีบร้อนนั้นเป็นเหตุให้ฮูหยินผู้เฒ่าต้องเลิกคิ้วมอง “เกิดเรื่องอันใดขึ้นกับเฉว่เอ๋อ? เจ้ารีบบอกข้าเร็วเข้า” ฮูหยินผู้เฒ่าถาม ส่วนหมิงเยว่ก็คุกเข่าลงอย่างแรงแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนรนว่า “มิทันแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูคิดมิตกในเวลานี้และนางคิดจักผูกคอตายเจ้าค่ะ ฮูหยินผู้เฒ่ารีบไปดูคุณหนูก่อนเถิด เรื่องนี้บ่าวจักอธิบายให้ฮูหยินผู้เฒ่าฟังในภายหลังเจ้าค่ะ” อันหลิงเฉว่จักผูกคอตายอย่างนั้นหรือ ? ฮูหยินผู้เฒ่าได้ตกตะลังไปครู่หนึ่ง เมื่อได้สติคืนมาก็รีบพาคนไปที่เรือนอันหลิงเฉว่ทันที นางสั่งคนดันประตูเข้าไปก็พบว่าอันหลิงเฉว่กำลังยืนอยู่บนเก้าอี้ ตรงหน้ามีผ้าขาวเส้นหนึ่งผูกมัดกับคานเรือน ดูออกอย่างชัดเจนว่านางกำลังจักฆ่าตัวตาย “เฉว่เอ๋อ เจ้าจักทำบ้าอันใด ? ” ฮูหยินผู้เฒ่าตะโกนออกมาแล้วรีบสั่งให้สาวใช้ไปช่วยอันหลิงเฉว่ “พวกเจ้ายังมิรีบไปช่วยคุณหนูรองลงมาอีก รีบช่วยนางลงมาเดี๋ยวนี้” อันหลิงเฉว่หันกลับไปมองหน้าฮูหยินผู้เฒ่าพร้อมน้ำตาคลอเบ้า ดวงตาฉายแววโศกเศร้าออกมา “เฉว่เอ๋อขออภัยท่านย่า ความเมตตาที่ท่านมีต่อหลาน หลานค่อยตอบแทนในภพหน้าเจ้าค่ะ ” นางกล่าวจบก็ถีบเก้าอี้ออก เป็นเหตุให้ร่างกายดิ้นไปทางซ้ายและขวาตามจังหวะการเหวี่ยงของผ้า “รีบช่วยคุณหนูรองเร็วเข้า ! ” ฮูหยินผู้เฒ่าร้องเสียงแหลม ความรู้สึกกลัวทำให้ริมฝีปากทั้งสองข้างสั่นระริก หัวสมองพลันว่างเปล่า โชคดีแม่นมที่ติดตามมานั้นมีไหวพริบและแรงเยอะมากจึงยืนบนเก้าอี้แล้วช่วยอุ้มอันหลิงเฉว่ลงมา พอยื่นมือไปสัมผัสลมหายใจตรงจมูกก็หันไปเอ่ยกับฮูหยินผู้เฒ่า “คุณหนูรองยังมีชีวิตอยู่เจ้าค่ะ” เมื่อได้ฟังเยี่ยงนั้นฮูหยินผู้เฒ่าก็โล่งใจขึ้นมาทันที แววตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวก็เบาบางตามไป “รีบไปตามหมอมาตรวจอาการเฉว่เอ๋อเร็วเข้า อย่าให้นางเป็นอันใดเด็ดขาด” หมอประจำจวนเดินทางมาถึงในมิช้าแล้วเขียนใบสั่งยาให้อันหลิงเฉว่ที่ค่อย ๆ ฟื้นขึ้นมา “เจ้าช่างโง่เขลายิ่งนัก เหตุใดจึงคิดสั้นเช่นนี้ หากเจ้าเป็นอันใดไปแล้ว ย่าจักเสียใจมากเพียงใด” ฮูหยินผู้เฒ่าตำหนิออกไปและสวมกอดอันหลิงเฉว่ไว้พร้อมน้ำตาอาบแก้ม อันหลิงเฉว่เห็นท่าทีของฮูหยินผู้เฒ่า ภายในใจก็รู้สึกผิดจนต้องหลั่งน้ำตา “ท่านย่า…” น้ำเสียงที่กล่าวออกมาสั่นเครืออีกทั้งยังแหบแห้งเพราะได้รับบาดเจ็บ หลังจากกอดอันหลิงเฉว่อยู่ครู่หนึ่ง ฮูหยินผู้เฒ่าก็เงยหน้าเช็ดน้ำตา จากนั้นใบหน้าที่คาดเดาอารมณ์มิได้ก็หันไปทางหมิงเยว่สาวใช้คนสนิทของอันหลิงเฉว่ “จงเล่าว่าเกิดอันใดขึ้นจนเป็นเหตุให้เฉว่เอ๋อคิดมิตกจนทำเรื่องโง่เขลาเยี่ยงนี้ ? ” เมื่อได้ฟังฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเสียงเรียบ หมิงเยว่ก็คุกเข่าลงเบื้องหน้าทันที ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความโกรธแล้วกล่าวรายงานออกไป “เรียนฮูหยินผู้เฒ่า หลังจากคุณหนูกลับมาจากเรือนของท่านก็โดนฮูหยินรองเรียกไปพบที่เรือนเจ้าค่ะ เมื่อไปถึงฮูหยินรองก็เอ่ยเรื่องการจับคู่คุณหนูกับลูกพ่อค้าในเมืองจนเป็นเหตุให้คุณหนูคิดมิตกและผูกคอหมายปลิดชีพตนเองเจ้าค่ะ”
ตอนที่ 71 หลอกล่ออย่างแยบยล
เมื่อคิดได้เยี่ยงนั้นหัวใจของอันหลิงเกอก็เต้นแรงขึ้น เป็นเหตุให้นางต้องหันหน้าไปด้านข้างเพื่อหลีกหนีจากสายตาของมู่จวินฮาน
ใบหน้าของอันหลิงเกอแสดงความเขินอายเยี่ยงนี้ทำให้มู่จวินฮานยิ่งแน่ใจในการคาดเดาของตน จากนั้นเขาก็หัวเราะในลำคอแล้วหยิบนกหวีดทองคำที่เตรียมไว้ออกมาจากกระเป๋าอกเสื้อและยื่นไปตรงหน้าของอันหลิงเกอ
“ข้าให้เจ้า ถือว่านี่เป็นของแทนใจระหว่างข้าและเจ้า เจ้าต้องเก็บรักษามันไว้ให้ดี”
มู่จวินฮานมิเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายปฏิเสธ เขาก้มลงกระซิบข้างใบหูของอันหลิงเกอด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“เจ้าสามารถเป่านกหวีดอันนี้เพื่อเรียกข้ามาปกป้องได้อย่างทันท่วงที ข้าคิดว่ามันจำเป็นต่อเจ้ามาก”
มุมปากของอันหลิงเกอสั่นเล็กน้อย แววตาเริ่มมีความเปลี่ยนแปลงไปจากจากเดิม เมื่อนางหวนนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมาก็ตัดสินใจรับนกหวีดนี้เอาไว้
บนนกหวีดทองคำยังหลงเหลือความอบอุ่นจากฝ่ามือของเขาอยู่ เมื่อวางมันลงกลางฝ่ามือบอบบาง อันหลิงเกอก็รู้สึกว่าอบอุ่นนั้นได้ส่งผ่านจากฝ่ามือไปยังหัวใจ
“ขอบคุณเจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอกล่าวขอบคุณพร้อมฉายรอยยิ้มเขินอาย
เมื่อได้ฟังเยี่ยงนั้นมุมปากของมู่จวินฮานก็ยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย เขากำลังจักเอ่ยบางอย่างออกมา ทว่าได้ยินเสียงฝีเท้าของคนผู้หนึ่งเดินมาทางนี้เสียก่อน
มู่จวินฮานมีท่าทีลังเลเล็กน้อย เมื่อคำนึงถึงชื่อเสียงของอันหลิงเกอจึงรีบจากไปอย่างแสนเสียดาย
……
หลังจากอันหลิงอีได้รับการอบรมสั่งสอนจากฮูหยินผู้เฒ่าเสร็จแล้วก็รีบกลับไปหามารดาเพื่อระบายความอัดอั้นออกมา
เดิมทีการที่บุตรสาวตกน้ำก็ทำให้หลี่ซื่อตกใจมิหาย แต่เมื่อได้ยินอีกฝ่ายเล่าถึงจุดประสงค์ของการจัดงานเลี้ยงในครานี้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าต้องการหาคู่ให้อันหลิงเฉว่โดยเฉพาะ ภายในใจของหลี่ซื่อก็รู้สึกมิพอใจขึ้นมา นางจึงสั่งให้สาวใช้ไปเชิญอันหลิงเฉว่มาที่เรือน
…
“ข้าได้ยินอีเอ๋อเล่าว่างานเลี้ยงที่จัดขึ้นวันนี้ก็เพื่อเฉว่เอ๋อโดยเฉพาะใช่หรือไม่ ? ”
อันหลิงเฉว่เงยหน้ามองด้วยใบหน้าแสนไร้เดียงสา จากนั้นนางก็ตอบออกไปด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ท่านย่ากล่าวกับข้าว่าเยี่ยงนั้นจริงเจ้าค่ะ”
“ช่างบังเอิญเสียจริง”
หลี่ซื่อส่งเสียงเฮอะออกมา ใช้หางตาเหลือบมองอีกฝ่าย “สองสามวันมานี้ข้าก็คิดเรื่องการสมรสของเฉว่เอ๋อตลอดเช่นกัน แต่ใครจักคิดว่าใจตรงกับท่านแม่พอดี”
“เดิมทีเรื่องการสมรสของเฉว่เอ๋อควรเป็นนายท่านสามและเจิ้งซื่อมารดาของเจ้าตัดสินใจ ทว่าตั้งแต่กลับจากเรือนเก่ามาอยู่ที่จวน พวกเจ้าก็เป็นบ้านเดียวกับข้าแล้ว ในเรื่องการสมรสของเจ้า ข้าจึงอยากให้คำแนะนำบ้าง”
อันหลิงเฉว่พยักหน้าราวกับได้รับเกียรติ สีหน้าท่าทางช่างยากจักคาดเดาความคิด
“เชิญอี๋เหนียงกล่าวมาเถิดเจ้าค่ะ”
เมื่อเห็นอันหลิงเฉว่ยังนิ่งเฉยมิรู้สึกเขินอายต่อเรื่องการสมรสเลยแม้แต่น้อย สายตาของหลี่ซื่อจึงแฝงไปด้วยความดูถูก
“เฉว่เอ๋อเป็นบุตรสาวคนโตของนายท่านสาม อีกทั้งยังมิใช่บุตรสาวแท้ ๆ ของท่านโหว ถ้าจักพูดเรื่องการสมรส บุรุษผู้นั้นต้องมิมีฐานะยากจนอย่างแน่นอน”
“ทว่านายท่านสามเป็นเพียงคนธรรมดาไร้ตำแหน่ง หากเฉว่เอ๋ออยากแต่งเข้าตระกูลขุนนางชั้นสูงในราชสำนักก็คงยากทีเดียว ข้าไตร่ตรองแล้วก็เห็นว่าควรหาตระกูลพ่อค้าที่ฐานะร่ำรวยในเมืองหลวงมาแต่งกับเจ้า เมื่อเจ้าแต่งเข้าไปก็ถือว่าจักได้อยู่ดีกินดี มิต้องกังวลเรื่องการใช้ชีวิตอีกต่อไป เจ้าคิดว่าเป็นเยี่ยงไร ? ”
“เรื่องการสมรสมีแม่สื่อเป็นผู้จัดการ การสมรสของเฉว่เอ๋อต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ท่านพ่อและท่านแม่เป็นผู้ตัดสินใจก็คือเรื่องปกติ อี๋เหนียงถามเช่นนี้ข้าจึงมิสามารถตัดสินใจได้เจ้าค่ะ ”
อันหลิงเฉว่ตอบอย่างน่ารักและฉลาด เป็นเหตุให้หลี่ซื่อมิอาจจับความคิดของอีกฝ่ายได้แม้แต่น้อย
เมื่อได้ฟังเยี่ยงนั้นแววตาของหลี่ซื่อก็เปลี่ยนไป ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้ายังปรากฏอยู่
“ข้าเพียงกล่าวชี้แนะเท่านั้น มิได้ให้เจ้ารีบตัดสินใจในทันใดหรอก”
หลังจากกล่าวจบ หลี่ซื่อก็สั่งสาวใช้ไปนำใบชาอวิ่นลู่ออกมามอบให้อันหลิงเฉว่
“นี่คือชาอวิ๋นลู่ในฤดูใบไม้ผลิที่ข้าเพิ่งได้รับมา ข้าได้ยินว่าเจิ้งซื่อมารดาของเจ้านั้นชื่นชอบการชงชาเป็นอย่างมาก ฉะนั้นเจ้านำกลับให้นางลองชิมเถิด”
อันหลิงเฉว่เห็นท่าทีเยี่ยงนี้ของอีกฝ่ายก็ครุ่นคิดภายในใจว่านี่ช่างเป็นอี๋เหนียงที่ใจกว้างเป็นมิตรยิ่งนัก ถ้ามิติดที่คำกล่าวหลอกล่อเมื่อครู่ซึ่งแสดงให้เห็นว่าหลี่ซื่ออยากให้นางที่มีฐานะเป็นบุตรสาวภริยาเอกและเป็นหลานสาวแท้ ๆ ของท่านโหวสมรสกับลูกพ่อค้า
แม้แต่อันหลิงอีที่เป็นเพียงบุตรีของอนุภรรยายังมิคิดสมรสกับตระกูลพ่อค้าเลย หลี่ซื่อเห็นนางต่ำต้อยกว่าอันหลิงอีที่เป็นลูกอนุเชียวหรือ
เมื่อคิดได้เยี่ยงนี้แววตาของอันหลิงเฉว่ก็เคร่งขรึมขึ้น
จากนั้นมินานก็ยกยิ้มมุมปากแล้วเดินกลับเรือนของตนโดยมิลืมสั่งหมิงเยว่สาวใช้คนสนิทให้ไปเชิญฮูหยินผู้เฒ่ามาหาตนที่เรือน
…
“ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านรีบไปช่วยคุณหนูเถิดเจ้าค่ะ ! ”
สาวใช้ของอันหลิงเฉว่วิ่งเข้ามาที่กลางเรือนของฮูหยินผู้เฒ่าอย่างรีบร้อนโดยมิได้คำนึงถึงมารยาทอันใด
เมื่อเห็นเยี่ยงนั้นก็เป็นเหตุให้ใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าแสดงความมิพอใจออกมา
“ไร้มารยาท ! ”
“ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะ ! ได้โปรดช่วยคุณหนูของบ่าวด้วยเถิดเจ้าค่ะ ”
นางเอ่ยพร้อมน้ำตาไหลอาบหน้า ความรีบร้อนนั้นเป็นเหตุให้ฮูหยินผู้เฒ่าต้องเลิกคิ้วมอง
“เกิดเรื่องอันใดขึ้นกับเฉว่เอ๋อ? เจ้ารีบบอกข้าเร็วเข้า”
ฮูหยินผู้เฒ่าถาม ส่วนหมิงเยว่ก็คุกเข่าลงอย่างแรงแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนรนว่า
“มิทันแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูคิดมิตกในเวลานี้และนางคิดจักผูกคอตายเจ้าค่ะ ฮูหยินผู้เฒ่ารีบไปดูคุณหนูก่อนเถิด เรื่องนี้บ่าวจักอธิบายให้ฮูหยินผู้เฒ่าฟังในภายหลังเจ้าค่ะ”
อันหลิงเฉว่จักผูกคอตายอย่างนั้นหรือ ?
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ตกตะลังไปครู่หนึ่ง เมื่อได้สติคืนมาก็รีบพาคนไปที่เรือนอันหลิงเฉว่ทันที นางสั่งคนดันประตูเข้าไปก็พบว่าอันหลิงเฉว่กำลังยืนอยู่บนเก้าอี้ ตรงหน้ามีผ้าขาวเส้นหนึ่งผูกมัดกับคานเรือน ดูออกอย่างชัดเจนว่านางกำลังจักฆ่าตัวตาย
“เฉว่เอ๋อ เจ้าจักทำบ้าอันใด ? ”
ฮูหยินผู้เฒ่าตะโกนออกมาแล้วรีบสั่งให้สาวใช้ไปช่วยอันหลิงเฉว่
“พวกเจ้ายังมิรีบไปช่วยคุณหนูรองลงมาอีก รีบช่วยนางลงมาเดี๋ยวนี้”
อันหลิงเฉว่หันกลับไปมองหน้าฮูหยินผู้เฒ่าพร้อมน้ำตาคลอเบ้า ดวงตาฉายแววโศกเศร้าออกมา
“เฉว่เอ๋อขออภัยท่านย่า ความเมตตาที่ท่านมีต่อหลาน หลานค่อยตอบแทนในภพหน้าเจ้าค่ะ ”
นางกล่าวจบก็ถีบเก้าอี้ออก เป็นเหตุให้ร่างกายดิ้นไปทางซ้ายและขวาตามจังหวะการเหวี่ยงของผ้า
“รีบช่วยคุณหนูรองเร็วเข้า ! ”
ฮูหยินผู้เฒ่าร้องเสียงแหลม ความรู้สึกกลัวทำให้ริมฝีปากทั้งสองข้างสั่นระริก หัวสมองพลันว่างเปล่า
โชคดีแม่นมที่ติดตามมานั้นมีไหวพริบและแรงเยอะมากจึงยืนบนเก้าอี้แล้วช่วยอุ้มอันหลิงเฉว่ลงมา พอยื่นมือไปสัมผัสลมหายใจตรงจมูกก็หันไปเอ่ยกับฮูหยินผู้เฒ่า
“คุณหนูรองยังมีชีวิตอยู่เจ้าค่ะ”
เมื่อได้ฟังเยี่ยงนั้นฮูหยินผู้เฒ่าก็โล่งใจขึ้นมาทันที แววตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวก็เบาบางตามไป
“รีบไปตามหมอมาตรวจอาการเฉว่เอ๋อเร็วเข้า อย่าให้นางเป็นอันใดเด็ดขาด”
หมอประจำจวนเดินทางมาถึงในมิช้าแล้วเขียนใบสั่งยาให้อันหลิงเฉว่ที่ค่อย ๆ ฟื้นขึ้นมา
“เจ้าช่างโง่เขลายิ่งนัก เหตุใดจึงคิดสั้นเช่นนี้ หากเจ้าเป็นอันใดไปแล้ว ย่าจักเสียใจมากเพียงใด”
ฮูหยินผู้เฒ่าตำหนิออกไปและสวมกอดอันหลิงเฉว่ไว้พร้อมน้ำตาอาบแก้ม
อันหลิงเฉว่เห็นท่าทีของฮูหยินผู้เฒ่า ภายในใจก็รู้สึกผิดจนต้องหลั่งน้ำตา
“ท่านย่า…”
น้ำเสียงที่กล่าวออกมาสั่นเครืออีกทั้งยังแหบแห้งเพราะได้รับบาดเจ็บ
หลังจากกอดอันหลิงเฉว่อยู่ครู่หนึ่ง ฮูหยินผู้เฒ่าก็เงยหน้าเช็ดน้ำตา จากนั้นใบหน้าที่คาดเดาอารมณ์มิได้ก็หันไปทางหมิงเยว่สาวใช้คนสนิทของอันหลิงเฉว่
“จงเล่าว่าเกิดอันใดขึ้นจนเป็นเหตุให้เฉว่เอ๋อคิดมิตกจนทำเรื่องโง่เขลาเยี่ยงนี้ ? ”
เมื่อได้ฟังฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเสียงเรียบ หมิงเยว่ก็คุกเข่าลงเบื้องหน้าทันที ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความโกรธแล้วกล่าวรายงานออกไป
“เรียนฮูหยินผู้เฒ่า หลังจากคุณหนูกลับมาจากเรือนของท่านก็โดนฮูหยินรองเรียกไปพบที่เรือนเจ้าค่ะ เมื่อไปถึงฮูหยินรองก็เอ่ยเรื่องการจับคู่คุณหนูกับลูกพ่อค้าในเมืองจนเป็นเหตุให้คุณหนูคิดมิตกและผูกคอหมายปลิดชีพตนเองเจ้าค่ะ”