พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 85 ส่งชาเอาใจ
ตอนที่ 85 ส่งชาเอาใจ อันหลิงเกอฟังคำกล่าวของเว่ยอี๋เหนียงแล้วสายตาก็เหลือบมองไปยังถ่านไม้ที่ตกกระจายอยู่บนพื้น ตอนนี้ก็เดือนสองแล้ว ทว่าเมืองจิงตั้งอยู่ทางเหนือของต้าโจวจึงทำให้อากาศยังมีความหนาวเย็นอยู่ เรือนต่าง ๆ ทั่วจวนโหวก็เผาถ่านราวกับเป็นฤดูหนาวกันหมด เนื่องด้วยจวนโหวใช้ถ่านคุณภาพดีจึงรู้สึกอบอุ่นไปทั้งจวน แต่สาวใช้เมื่อครู่นำถ่านไม้คุณภาพแย่เข้ามา อีกทั้งผ้าเช็ดหน้าผืนเก่าของเว่ยอี๋เหนียงก็เห็นได้ชัดว่าถูกผู้อื่นกดขี่ ชีวิตตกอยู่ในสภาพเยี่ยงนี้แล้วยังเรียกว่าสบายดีอีกหรือ ? อันหลิงเกอกำลังจักกล่าวบางอย่างออกมาแต่เห็นเว่ยอี๋เหนียงรีบพาสาวใช้กล่าวลาเสียก่อน “ข้ายังมีธุระบางอย่างยังมิได้ทำจึงขอตัวกลับเรือนก่อน มิอาจต้อนรับคุณหนูใหญ่ได้ ท่านอย่าเก็บไปใส่ใจเลย” นางทำเหมือนกลัวกันมากนัก ทว่าแววตาเมื่อครู่แฝงความดีใจ แต่มิรู้ด้วยเหตุใดจึงเป็นเยี่ยงนี้ไปได้ อันหลิงเกอมีความสงสัย ทว่าก็พยักหน้าแล้วมองเว่ยอี๋เหนียงเดินจากไป เมื่อกลับไปที่เรือน อันหลิงเกอก็ให้ปี้จูไปสืบสถานการณ์ตลอดหลายปีนี้ของเว่ยอี๋เหนียง ท่าทีของปี้จูว่องไวมาก เพียง 2 ชั่วยามผ่านไปก็สามารถสืบข่าวกลับมาเล่าให้นางฟังได้แล้ว ได้ความว่าเว่ยอี๋เหนียงย้ายเข้าไปพักที่เรือนเพียนหลังจากหลี่ซื่อเข้าจวนโหวได้ 3 เดือน นับจากนั้นก็อาศัยในเรือนมิออกไปไหนและมิมีการเข้าหาผู้อื่น บางคราท่านโหวต้องการพบ นางก็จักมานั่งในเรือนบ้าง ทุก 2 เดือนก็จักไปค้างคืนที่เรือนเพียน 1 ครั้ง เว่ยอี๋เหนียงตั้งครรภ์เมื่อเจ็ดปีก่อนแล้วได้คลอดบุตรชายออกมาอย่างปลอดภัย แม้จักให้กำเนิดบุตรชายออกมาได้ ทว่าเว่ยอี๋เหนียงก็มิได้โอ้อวด ยังคงพักอยู่ในเรือนเพียนที่ไร้ความแย่งชิง ราวว่าในจวนโหวนี้มิมีนางอยู่ อันหลิงเกอฟังปี้จูเล่า มือข้างหนึ่งก็เคาะบนโต๊ะเบา ๆ จนมีเสียงดังเป็นจังหวะออกมา “ฟังแล้วเว่ยอี๋เหนียงเป็นผู้มีจิตใจอ่อนโยนมิชอบแย่งชิงผู้ใด” ปี้จูที่นั่งอยู่ด้านข้างก็รีบพยักหน้ารับ พร้อมแสดงสีหน้าเห็นใจต่อเว่ยอี๋เหนียง “ใช่เจ้าค่ะ บ่าวได้ยินมาว่าหลายปีมานี้เว่ยอี๋เหนียงและคุณชายถูกกดดัน เพียงแต่เว่ยอี๋เหนียงมิอยากตอบโต้จึงมิเคยพูดเรื่องพวกนี้ออกมาเจ้าค่ะ” อันหลิงเกอตริตรองเรื่องนี้อย่างละเอียดก็เป็นเหตุให้นางจำขึ้นมาได้ทันที ในยามที่ท่านแม่เพิ่งเสียชีวิต เว่ยอี๋เหนียงที่ค่อยดูแลนางมาโดยตลอด ต่อมาหลี่ซื่อแต่งเข้ามาเป็นฮูหยินรองก็ได้รับการช่วยเหลือจากราชสำนักและรับหน้าที่ดูแลจวนโหว จึงถือตนมีอำนาจกดดันเว่ยอี๋เหนียง จนสามารถไล่เว่ยอี๋เหนียงไปอยู่ที่เรือนเพียนได้ในที่สุด ในตอนนั้นนางยังเด็กจึงมิรู้การศึกแย่งชิงของทั้งสองคนว่าเป็นเยี่ยงไร รู้เพียงว่าหลี่ซื่อทำตัวมีเมตตาต่อนางและกล่าวนินทาเว่ยอี๋เหนียงให้นางฟัง สั่งให้นางอย่าไปพบกับเว่ยอี๋เหนียงอีก อันหลิงเกอคิดว่าเมื่อเว่ยอี๋เหนียงได้ดูแลท่านแม่อย่างสุดใจและสุดกำลัง ต่อมาถูกท่านแม่ยกให้ท่านพ่อ แม้ได้เป็นอี๋เหนียงก็ยังคงรักเอ็นดูนาง แต่นางถูกหลี่ซื่อขวางกั้นมิให้สนใจ มิให้ถามถึงเว่ยอี๋เหนียงและปล่อยให้อีกฝ่ายถูกหลี่ซื่อรังแก แม้กระทั่งอาศัยที่เรือนเพียนยังมิได้อยู่อย่างสงบสุข อันหลิงเกอครุ่นคิดพร้อมใช้มือเคาะโต๊ะมิยอมหยุด แววตาก็จ้องถ้วยชาบนโต๊ะมิคลาด พลันภายในดวงตาของนางก็ฉายแววสว่างวาบ “วันนี้เรื่องวุ่นวายมีมากพอแล้ว ท่านย่าต้องเคร่งเครียดมิหยุด ปี้จูไปนำดอกชาที่ตากแห้งไว้เข้ามา ข้าจักนำไปให้ท่านย่า” ถึงแม้ปี้จูมิเข้าใจสิ่งที่คุณหนูทำ แต่นางมิเคยต่อต้านความคิดของอันหลิงเกอเลย เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็รีบไปนำดอกชามาแล้วเดินตามอันหลิงเกอไปที่เรือนของฮูหยินผู้เฒ่า “เกอเอ๋อมาได้เยี่ยงไรหรือ ? ” ฮูหยินผู้เฒ่าที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เอ่ยถามทั้งที่มีสาวใช้คอยทุบหลังให้อยู่ อันหลิงเกอเดินเข้ามาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มอ่อนโยน “หลายวันนี้มีเรื่องเกิดขึ้นมากมายในจวน หลานคิดว่าท่านย่าต้องเหนื่อยเป็นแน่จึงเตรียมดอกชาเหล่านี้มาให้ท่านชงจิบเพื่อผ่อนคลายเจ้าค่ะ” ฮูหยินผู้เฒ่ายกยิ้มแล้วกล่าวด้วยความเอ็นดู “ชาที่เรือนของย่าก็มีอยู่มาก ดอกชาก็เป็นชา ใยเจ้าต้องลำบากนำดอกชานี้มาให้ย่าด้วยเล่า” “ท่านย่าอย่าเพิ่งดูถูกดอกชานี้เลยเจ้าค่ะ” “นี่คือสิ่งที่เกอเอ๋อเพิ่งเรียนรู้มาเจ้าค่ะ” อันหลิงเกอเดินเข้าไปนั่งข้างฮูหยินฮูเฒ่าพร้อมยิ้มหวานแล้วเริ่มอธิบายสรรพคุณของดอกชา “ดอกช้าที่แตกต่างกันย่อมมีสรรพคุณต่างกันไปเจ้าค่ะ ตัวอย่างเช่นดอกกุหลาบและเก๊กฮวยสีขาวรวมกัน ชาที่ต้มออกมาจักช่วยคลายความเหนื่อยล้า ดอกมะลิและดอกโพธิ์สามารถบำรุงอารมณ์ให้นิ่งสงบได้ ท่านดื่มหนึ่งถ้วยก่อนนอนจักสามารถผ่อนคลายจิตใจทั้งยังช่วยให้นอนหลับสนิทมากขึ้นเจ้าค่ะ” ฮูหยินผู้เฒ่าได้ฟังอันหลิงเกอกล่าวถึงกับเลิกคิ้วขึ้น ใบหน้าปรากฏรอยยิ้ม “เหตุใดข้ามิรู้มาก่อนว่าเกอเอ๋อมีความรู้ในด้านนี้ด้วย” “หลานคำนึงว่าท่านย่าอายุมากแล้ว ร่างกายต้องมิแข็งแรงเท่าเมื่อก่อน ดังนั้นจึงอยากเรียนรู้เพื่อปรับใช้ดูแลท่านเจ้าค่ะ บังเอิญไปพบเว่ยอี๋เหนียงที่เคยดูแลรับใช้ข้างกายหลาน ชาที่นางชงออกมาอร่อยยิ่งนักเจ้าค่ะ หลานจึงได้เรียนรู้จากนางมาบ้างเล็กน้อยเจ้าค่ะ” ดวงตาของอันหลิงเกอทอประกาย พร้อมใช้ศีรษะพิงไปที่กายของฮูหยินผู้เฒ่าอย่างออดอ้อน นางพูดเร่งให้สาวใช้ไปชงชามาหนึ่งกาแล้วรินให้ฮูหยินผู้เฒ่าด้วยตนเอง “ท่านย่ารีบชิมเถิดเจ้าค่ะ ฝีมือของหลานสาวคนนี้เป็นเยี่ยงไรบ้างเจ้าค่ะ ? “ หลังจากนั้นฮูหยินผู้เฒ่าก็ใช้ฝาของถ้วยชากักใบชาไว้ก่อนแล้วจิบน้ำดอกชาไปหนึ่งคำ กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกมะลิกระจายอยู่ทั่วปากและมีรสหวานอ่อนของดอกโพธิ์ให้ความรู้สึกที่ผ่อนคลายจิตใจขึ้นมา “ชาดี ดียิ่งนัก” ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวชื่นชมและยกจิบอีกครั้ง “มินึกเลยว่าเจ้าอายุยังน้อย ทว่ามีฝีมือชงชาถึงเพียงนี้” อันหลิงเกอก้มหน้ายิ้ม “เว่ยอี๋เหนียงสอนมาดี ฝีมือชงชาของหลานเทียบมิได้ครึ่งหนึ่งของนางเลยเจ้าค่ะ” ฮูหยินผู้เฒ่ารู้จักเว่ยอี๋เหนียงคนนี้ เพียงแต่มิได้เจอมาหลายปีจึงใช้เวลาสักพักในการตอบสนอง “คนที่เจ้าพูดถึงคือเว่ยซื่อที่พักอยู่ในเรือนเพียนทั้งปีใช่หรือไม่?” “ความจำของท่านย่าดียิ่งนักเจ้าค่ะ ใช่แล้ว ผู้นั้นก็คือเว่ยอี๋เหนียงเจ้าค่ะ” อันหลิงเกอพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “เว่ยอี๋เหนียงแสนถ่อมตน มิแย่งชิงกับผู้ใด ถ้ามิได้พบนางโดยบังเอิญ หลานก็ลืมแล้วว่าจวนของเรายังมีคนผู้นี้อยู่เจ้าค่ะ” “เยี่ยงนี้มิได้หรอก ท่านย่ากลับมาที่จวนนานขนาดนี้แล้ว เหตุใดเว่ยอี๋เหนียงยังทำตัวเกียจคร้านอยู่อีก หรือจักสั่งให้เว่ยอี๋เหนียงมาชงชาให้ท่านทุกวันดีเจ้าคะ?” คำพูดของอันหลิงเกอมิได้พูดถึงเว่ยอี๋เหนียงในทางที่แย่ ทว่าเป็นการคิดแทนฮูหยินผู้เฒ่าและอีกฝ่ายก็เริ่มคิดตาม
ตอนที่ 85 ส่งชาเอาใจ
อันหลิงเกอฟังคำกล่าวของเว่ยอี๋เหนียงแล้วสายตาก็เหลือบมองไปยังถ่านไม้ที่ตกกระจายอยู่บนพื้น
ตอนนี้ก็เดือนสองแล้ว ทว่าเมืองจิงตั้งอยู่ทางเหนือของต้าโจวจึงทำให้อากาศยังมีความหนาวเย็นอยู่ เรือนต่าง ๆ ทั่วจวนโหวก็เผาถ่านราวกับเป็นฤดูหนาวกันหมด
เนื่องด้วยจวนโหวใช้ถ่านคุณภาพดีจึงรู้สึกอบอุ่นไปทั้งจวน แต่สาวใช้เมื่อครู่นำถ่านไม้คุณภาพแย่เข้ามา อีกทั้งผ้าเช็ดหน้าผืนเก่าของเว่ยอี๋เหนียงก็เห็นได้ชัดว่าถูกผู้อื่นกดขี่
ชีวิตตกอยู่ในสภาพเยี่ยงนี้แล้วยังเรียกว่าสบายดีอีกหรือ ?
อันหลิงเกอกำลังจักกล่าวบางอย่างออกมาแต่เห็นเว่ยอี๋เหนียงรีบพาสาวใช้กล่าวลาเสียก่อน “ข้ายังมีธุระบางอย่างยังมิได้ทำจึงขอตัวกลับเรือนก่อน มิอาจต้อนรับคุณหนูใหญ่ได้ ท่านอย่าเก็บไปใส่ใจเลย”
นางทำเหมือนกลัวกันมากนัก ทว่าแววตาเมื่อครู่แฝงความดีใจ แต่มิรู้ด้วยเหตุใดจึงเป็นเยี่ยงนี้ไปได้
อันหลิงเกอมีความสงสัย ทว่าก็พยักหน้าแล้วมองเว่ยอี๋เหนียงเดินจากไป เมื่อกลับไปที่เรือน อันหลิงเกอก็ให้ปี้จูไปสืบสถานการณ์ตลอดหลายปีนี้ของเว่ยอี๋เหนียง ท่าทีของปี้จูว่องไวมาก เพียง 2 ชั่วยามผ่านไปก็สามารถสืบข่าวกลับมาเล่าให้นางฟังได้แล้ว
ได้ความว่าเว่ยอี๋เหนียงย้ายเข้าไปพักที่เรือนเพียนหลังจากหลี่ซื่อเข้าจวนโหวได้ 3 เดือน นับจากนั้นก็อาศัยในเรือนมิออกไปไหนและมิมีการเข้าหาผู้อื่น บางคราท่านโหวต้องการพบ นางก็จักมานั่งในเรือนบ้าง ทุก 2 เดือนก็จักไปค้างคืนที่เรือนเพียน 1 ครั้ง
เว่ยอี๋เหนียงตั้งครรภ์เมื่อเจ็ดปีก่อนแล้วได้คลอดบุตรชายออกมาอย่างปลอดภัย แม้จักให้กำเนิดบุตรชายออกมาได้ ทว่าเว่ยอี๋เหนียงก็มิได้โอ้อวด ยังคงพักอยู่ในเรือนเพียนที่ไร้ความแย่งชิง ราวว่าในจวนโหวนี้มิมีนางอยู่
อันหลิงเกอฟังปี้จูเล่า มือข้างหนึ่งก็เคาะบนโต๊ะเบา ๆ จนมีเสียงดังเป็นจังหวะออกมา “ฟังแล้วเว่ยอี๋เหนียงเป็นผู้มีจิตใจอ่อนโยนมิชอบแย่งชิงผู้ใด”
ปี้จูที่นั่งอยู่ด้านข้างก็รีบพยักหน้ารับ พร้อมแสดงสีหน้าเห็นใจต่อเว่ยอี๋เหนียง “ใช่เจ้าค่ะ บ่าวได้ยินมาว่าหลายปีมานี้เว่ยอี๋เหนียงและคุณชายถูกกดดัน เพียงแต่เว่ยอี๋เหนียงมิอยากตอบโต้จึงมิเคยพูดเรื่องพวกนี้ออกมาเจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอตริตรองเรื่องนี้อย่างละเอียดก็เป็นเหตุให้นางจำขึ้นมาได้ทันที
ในยามที่ท่านแม่เพิ่งเสียชีวิต เว่ยอี๋เหนียงที่ค่อยดูแลนางมาโดยตลอด ต่อมาหลี่ซื่อแต่งเข้ามาเป็นฮูหยินรองก็ได้รับการช่วยเหลือจากราชสำนักและรับหน้าที่ดูแลจวนโหว จึงถือตนมีอำนาจกดดันเว่ยอี๋เหนียง จนสามารถไล่เว่ยอี๋เหนียงไปอยู่ที่เรือนเพียนได้ในที่สุด
ในตอนนั้นนางยังเด็กจึงมิรู้การศึกแย่งชิงของทั้งสองคนว่าเป็นเยี่ยงไร รู้เพียงว่าหลี่ซื่อทำตัวมีเมตตาต่อนางและกล่าวนินทาเว่ยอี๋เหนียงให้นางฟัง สั่งให้นางอย่าไปพบกับเว่ยอี๋เหนียงอีก
อันหลิงเกอคิดว่าเมื่อเว่ยอี๋เหนียงได้ดูแลท่านแม่อย่างสุดใจและสุดกำลัง ต่อมาถูกท่านแม่ยกให้ท่านพ่อ แม้ได้เป็นอี๋เหนียงก็ยังคงรักเอ็นดูนาง แต่นางถูกหลี่ซื่อขวางกั้นมิให้สนใจ มิให้ถามถึงเว่ยอี๋เหนียงและปล่อยให้อีกฝ่ายถูกหลี่ซื่อรังแก แม้กระทั่งอาศัยที่เรือนเพียนยังมิได้อยู่อย่างสงบสุข
อันหลิงเกอครุ่นคิดพร้อมใช้มือเคาะโต๊ะมิยอมหยุด แววตาก็จ้องถ้วยชาบนโต๊ะมิคลาด พลันภายในดวงตาของนางก็ฉายแววสว่างวาบ “วันนี้เรื่องวุ่นวายมีมากพอแล้ว ท่านย่าต้องเคร่งเครียดมิหยุด ปี้จูไปนำดอกชาที่ตากแห้งไว้เข้ามา ข้าจักนำไปให้ท่านย่า”
ถึงแม้ปี้จูมิเข้าใจสิ่งที่คุณหนูทำ แต่นางมิเคยต่อต้านความคิดของอันหลิงเกอเลย เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็รีบไปนำดอกชามาแล้วเดินตามอันหลิงเกอไปที่เรือนของฮูหยินผู้เฒ่า
“เกอเอ๋อมาได้เยี่ยงไรหรือ ? ” ฮูหยินผู้เฒ่าที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เอ่ยถามทั้งที่มีสาวใช้คอยทุบหลังให้อยู่
อันหลิงเกอเดินเข้ามาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มอ่อนโยน “หลายวันนี้มีเรื่องเกิดขึ้นมากมายในจวน หลานคิดว่าท่านย่าต้องเหนื่อยเป็นแน่จึงเตรียมดอกชาเหล่านี้มาให้ท่านชงจิบเพื่อผ่อนคลายเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ายกยิ้มแล้วกล่าวด้วยความเอ็นดู “ชาที่เรือนของย่าก็มีอยู่มาก ดอกชาก็เป็นชา ใยเจ้าต้องลำบากนำดอกชานี้มาให้ย่าด้วยเล่า”
“ท่านย่าอย่าเพิ่งดูถูกดอกชานี้เลยเจ้าค่ะ”
“นี่คือสิ่งที่เกอเอ๋อเพิ่งเรียนรู้มาเจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอเดินเข้าไปนั่งข้างฮูหยินฮูเฒ่าพร้อมยิ้มหวานแล้วเริ่มอธิบายสรรพคุณของดอกชา “ดอกช้าที่แตกต่างกันย่อมมีสรรพคุณต่างกันไปเจ้าค่ะ ตัวอย่างเช่นดอกกุหลาบและเก๊กฮวยสีขาวรวมกัน ชาที่ต้มออกมาจักช่วยคลายความเหนื่อยล้า ดอกมะลิและดอกโพธิ์สามารถบำรุงอารมณ์ให้นิ่งสงบได้ ท่านดื่มหนึ่งถ้วยก่อนนอนจักสามารถผ่อนคลายจิตใจทั้งยังช่วยให้นอนหลับสนิทมากขึ้นเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ฟังอันหลิงเกอกล่าวถึงกับเลิกคิ้วขึ้น ใบหน้าปรากฏรอยยิ้ม “เหตุใดข้ามิรู้มาก่อนว่าเกอเอ๋อมีความรู้ในด้านนี้ด้วย”
“หลานคำนึงว่าท่านย่าอายุมากแล้ว ร่างกายต้องมิแข็งแรงเท่าเมื่อก่อน ดังนั้นจึงอยากเรียนรู้เพื่อปรับใช้ดูแลท่านเจ้าค่ะ บังเอิญไปพบเว่ยอี๋เหนียงที่เคยดูแลรับใช้ข้างกายหลาน ชาที่นางชงออกมาอร่อยยิ่งนักเจ้าค่ะ หลานจึงได้เรียนรู้จากนางมาบ้างเล็กน้อยเจ้าค่ะ” ดวงตาของอันหลิงเกอทอประกาย พร้อมใช้ศีรษะพิงไปที่กายของฮูหยินผู้เฒ่าอย่างออดอ้อน
นางพูดเร่งให้สาวใช้ไปชงชามาหนึ่งกาแล้วรินให้ฮูหยินผู้เฒ่าด้วยตนเอง “ท่านย่ารีบชิมเถิดเจ้าค่ะ ฝีมือของหลานสาวคนนี้เป็นเยี่ยงไรบ้างเจ้าค่ะ ? “
หลังจากนั้นฮูหยินผู้เฒ่าก็ใช้ฝาของถ้วยชากักใบชาไว้ก่อนแล้วจิบน้ำดอกชาไปหนึ่งคำ
กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกมะลิกระจายอยู่ทั่วปากและมีรสหวานอ่อนของดอกโพธิ์ให้ความรู้สึกที่ผ่อนคลายจิตใจขึ้นมา
“ชาดี ดียิ่งนัก” ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวชื่นชมและยกจิบอีกครั้ง “มินึกเลยว่าเจ้าอายุยังน้อย ทว่ามีฝีมือชงชาถึงเพียงนี้”
อันหลิงเกอก้มหน้ายิ้ม “เว่ยอี๋เหนียงสอนมาดี ฝีมือชงชาของหลานเทียบมิได้ครึ่งหนึ่งของนางเลยเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ารู้จักเว่ยอี๋เหนียงคนนี้ เพียงแต่มิได้เจอมาหลายปีจึงใช้เวลาสักพักในการตอบสนอง “คนที่เจ้าพูดถึงคือเว่ยซื่อที่พักอยู่ในเรือนเพียนทั้งปีใช่หรือไม่?”
“ความจำของท่านย่าดียิ่งนักเจ้าค่ะ ใช่แล้ว ผู้นั้นก็คือเว่ยอี๋เหนียงเจ้าค่ะ” อันหลิงเกอพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “เว่ยอี๋เหนียงแสนถ่อมตน มิแย่งชิงกับผู้ใด ถ้ามิได้พบนางโดยบังเอิญ หลานก็ลืมแล้วว่าจวนของเรายังมีคนผู้นี้อยู่เจ้าค่ะ”
“เยี่ยงนี้มิได้หรอก ท่านย่ากลับมาที่จวนนานขนาดนี้แล้ว เหตุใดเว่ยอี๋เหนียงยังทำตัวเกียจคร้านอยู่อีก หรือจักสั่งให้เว่ยอี๋เหนียงมาชงชาให้ท่านทุกวันดีเจ้าคะ?”
คำพูดของอันหลิงเกอมิได้พูดถึงเว่ยอี๋เหนียงในทางที่แย่ ทว่าเป็นการคิดแทนฮูหยินผู้เฒ่าและอีกฝ่ายก็เริ่มคิดตาม