พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 1 แต่งงานแทน
พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 1 แต่งงานแทน
ในห้องที่มีสีสันงดงามแบบโบราณมีตัวอักษรคำว่ายินดีติดอยู่รอบห้อง หญิงสาวคนหนึ่งที่สวมชุดเจ้าสาวทั้งตัวนั่งอยู่หน้ากระจกทองแดงเดี๋ยวทำหน้าโกรธเดี๋ยวทำหน้ายิ้ม ฝึกฝนใบหน้าหนังมนุษย์ใบนี้
หญิงสาวในกระจก มีคิ้วใบหลิวที่สวยงาม ริมฝีปากบาง ใบหน้ารูปเมล็ดแตงโม ดวงหน้างดงาม ผิวหน้าขาวดุจหิมะ เหมือนสาวงามที่ป่วยมาก
มีเพียงดวงตาที่อยู่ภายใต้แพขนตางามงอนเท่านั้น ที่แวววาวดุจดวงดาว แต่กลับแฝงไปด้วยความเย่อหยิ่งและดื้อรั้น ราวกับว่าไม่มีเรื่องราวใดๆบนโลกนี้ที่จะสามารถทำให้นางสนใจได้
ใต้เท้าเฉิงเซี่ยงที่ยืนอยู่ข้างๆกำลังพูดย้ำอยู่ข้างใบหูของนางซ้ำๆว่า “ชิงหัว หลังจากที่เจ้าแต่งงานออกเรือนแทนน้องรองของเจ้าไปแล้วต้องทำตัวให้ดี อย่าได้ทำเรื่องผิดกฎระเบียบอย่างเด็ดขาด ท่านอ๋องเป็นคนละเอียดลออ อย่าให้ความเอาแต่ใจในชั่วขณะทำให้ต้องถึงแก่ชีวิต”
“พอแล้ว”เฟิ่งชิงหัวหันร่างไปทันที แววตาที่เดิมทีดูเกียจคร้านเต็มไปด้วยความคมกริบ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเอือมระอา “อย่ามาเสแสร้งทำเป็นห่วงข้าเลย เป็นเพราะท่านเสียดายที่จะส่งลูกสาวสุดที่รักของตนเองไปตายจึงได้ให้ข้าเป็นตัวแทนมิใช่หรือ”
“ชิงหัว ทำไมเจ้า ทำไมเจ้าจึงพูดเช่นนี้ ข้า ข้าย่อมต้องเป็นห่วงเจ้าจากใจอยู่แล้ว”
“เป็นห่วงข้า ท่านมีลูกสาวทั้งหมดสามคน ลูกสาวคนโตหนานกงเยว่หลี ลูกสาวคนรองหนานกงเยว่ลั่ว ลูกสาวคนที่สามหนานกงลู่ซิ่ว แม้ว่าตอนนี้ลูกสาวคนโตของท่านกำลังจะกลายเป็นพระชายารัชทายาทซึ่งมีสถานะสูงส่ง แต่ลูกสาวคนที่สามของท่านก็เป็นแค่ลูกเมียน้อยเท่านั้น ทำไมท่านไม่ให้นางแต่งงานเล่า หรือเป็นเพราะรู้ว่าท่านอ๋องเจ็ดนั้นมีนิสัยโหดร้าย เกรงว่าลูกสาวตนเองจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน ฉะนั้นจึงให้ลูกบุญธรรมที่เก็บมาจากข้างทางอย่างข้าไปแต่งงานแทน”
ผู้ชายคนนี้คิดว่านางเป็นหญิงสาวกำพร้าที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยหรือ
นางมาจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดที่เจริญรุ่งเรือง เป็นหญิงสาวสมัยใหม่ สติปัญญาจากทั้งสองชาติภพทำไมจะดูไม่ออกว่าในใจของคนโบราณคนนี้คิดแผนการอะไรอยู่
ถ้าหากไม่ใช่เพราะในอดีตท่านแม่ของนางถูกเฉิงเซี่ยงในขณะนั้นที่กำลังเดินทางไปสอบในเมืองหลวงช่วยชีวิตเอาไว้ และได้สาบานเป็นพี่น้องกัน นางแทบจะไม่อยากคุยกับเขาเลยด้วยซ้ำไป
ได้ยินดังนั้น ผู้ชายที่เดิมทียังทำท่าทีเป็นพ่อที่แสนจะมีเมตตาก็เกิดความละอายจนยืนนิ่งอยู่กับที่
เฟิ่งชิงหัวเห็นดังนั้น ก็ยกมือขึ้นมาค้ำไว้ที่หน้าผากของตนเองพลางพูดด้วยเสียงเกียจคร้านว่า “การช่วยท่านครั้งนี้ถือว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณที่ท่านได้ช่วยแม่ข้าไว้ในอดีต ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปข้าไม่มีความเกี่ยวข้องกับจวนเฉิงเซี่ยงอีก ใต้เท้าเฉิงเซี่ยงอย่าลืมเด็ดขาด บางเรื่อง ทางที่ดีอย่าได้เอ่ยขึ้นมาอีก”
“ได้ได้ได้ ข้า ข้าขอตัวออกไปก่อน ดูซิว่าเกี้ยวเจ้าสาวมาถึงหรือยัง”เฉิงเซี่ยงพูดด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก รีบหมุนตัวออกไปจากห้องอย่างลุกลี้ลุกลน
เฟิ่งชิงหัวยิ้มเยาะ และยังคงนั่งมองเงาตนเองในกระจกอย่างรู้สึกสงสาร ไม่พอใจกับใบหน้าในตอนนี้ที่ดูอ่อนแอและสวยงามมากขึ้นทั้งที่รู้สึกเป็นทุกข์เลยแม้แต่น้อย อารมณ์ก็หงุดหงิดตามไปด้วย
เสียงเสียดสีของเนื้อผ้าดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงพูดคุยของหญิงสาวอยู่ที่หน้าประตู ย่อมลอยเข้าหูของเฟิ่งชิงหัว
“ยินดีกับพี่ใหญ่ด้วย คนชั้นต่ำแต่งงานไปแล้ว ห้องที่วิจิตรสวยงามนี้ก็จะกลายเป็นของท่าน มีเพียงท่านที่เป็นเหมือนเทพธิดาจึงจะเหมาะสมที่จะอยู่กับสถานที่ของเทพเซียนเช่นนี้ ”
เฟิ่งชิงหัวหันหน้ากลับไปมอง เผลอวางขาข้างหนึ่งพาดไว้บนขาอีกข้าง มองไปทางหน้าประตูด้วยท่าทีเป็นนักเลงอย่างยิ่ง
เห็นเพียงหญิงสาวสองคน คนหนึ่งสูงคนหนึ่งเตี้ยยืนอยู่ตรงนั้น คนตัวสูงสวมชุดสีขาว ใบหน้าสง่างาม ใบหน้าที่เชิดขึ้นเล็กน้อยแฝงแววหยิ่งยโส นางคือคุณหนูใหญ่ที่กำลังจะกลายเป็นพระชายารัชทายาทหนานกงเยว่หลี และเป็นพี่สาวแม่เดียวกันกับคนที่นางกำลังทำหน้าที่เป็นตัวตายตัวแทนอยู่ในตอนนี้
และพี่สาวคนนี้นี่เอง ที่แย่งโอกาสแต่งงานของน้องสาวแท้ๆไป และได้หมั้นหมายกับองค์รัชทายาทในปัจจุบัน และได้ยุยงให้รัชทายาทถวายฎีกาให้น้องสาวตนเองแต่งงานกับท่านอ๋องเจ็ดที่มีจิตใจโหดร้ายรุนแรง
และพี่สาวที่มีจิตใจแสนดีคนนี้นี่เอง ที่ยุยงให้น้องสาวต่างมารดาของตนเองทุบตีน้องสาวแท้ๆของนางอยู่หลายครั้ง และมีหลายครั้งที่เกือบจะถึงแก่ชีวิต
เฟิ่งชิงหัวไม่เข้าใจเลยจริงๆ มีความแค้นต่อกันขนาดไหน จึงได้ทำให้พี่สาวแท้ๆคนหนึ่งทำกับน้องสาวแท้ๆของตนเองเช่นนี้
เมื่อเทียบกับใบหน้าของหนางกงเยว่หลีแล้ว หนางกงลู่ซิ่วที่อยู่ทางด้านหลังก็แค่มีใบหน้าที่ดูสะอาดสะอ้านเท่านั้น เทียบกับหนานกงเยว่ลั่วไม่ได้ด้วยซ้ำ
ใบหน้าที่ดูใจดำ มองไปทางหนานกงเยว่ลั่วที่ถูกรังแกอยู่เป็นประจำและกำลังยืนตัวสั่นเทาอยู่ เอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจว่า “นางคนชั้นต่ำ เจ้ายังกล้ายิ้มอีกหรือ ข้าจะตีเจ้าให้ตาย”
ว่าแล้วก็จะยกแส้ขึ้นมาเดินเข้าไปหา บนแส้นั้นมีหนามแหลมคมอยู่ด้วย ถ้าถูกฟาดละก็คงจะดึงเนื้อหนังออกมาด้วย
“หยุดนะ”หนางกงเยว่หลีเอ่ยห้ามขึ้น สายตาแฝงแววแจ้งเตือน ประโยคถัดมากลับกลายเป็นว่า “วันนี้เป็นวันมงคลของนาง ถ้าหากเจ้าตีนางตาย เจ้าจะไปแต่งงานกับท่านอ๋องแทนหรือไง”
“ถูกต้อง ท่านพี่นี่ช่างคิดได้รอบคอบจริงๆ แล้วท่านว่า แส้นี้เป็นอย่างไรบ้าง หากฟาดลงไปคงไม่เหลือร่องรอยอะไรไว้แน่”
หนานกงลู่ซิ่วรีบหยิบเอาแส้อีกเส้นหนึ่งที่ดูประณีตและเล็กกว่าออกมาทันที ท่าทีประจบสอพลอ
เฟิ่งชิงหัวมองดูก็รู้แล้วว่า แส้เส้นนั้นทำมากจากหางวัว และได้รับการแช่น้ำยาต่างๆมาไม่น้อย บนร่างของคนถูกตีจะไม่ปรากฏร่องรอยใดๆออกมาทั้งสิ้น เพียงแต่บริเวณที่แส้ฟาดลงไปนั้นจะเจ็บปวดราวกับถูกเข็มทิ่มแทง
หนานกงเยว่หลีเห็นดังนั้นก็พยักหน้าอย่างพอใจ เอ่ยกับเฟิ่งชิงหัวด้วยรอยยิ้มว่า “น้องรอง น้องสาวเป็นคนชอบฝึกฝนการใช้แส้ วันนี้เป็นวันมงคลของเจ้า เจ้าก็ฝึกเป็นเพื่อนนางเป็นครั้งสุดท้ายแล้วกัน”
น้ำเสียงอ่อนโยน แต่สิ่งที่พูดกลับโหดร้ายราวสัตว์มีพิษ
เอาอะไรมาฝึกเป็นเพื่อน ให้เป็นกระสอบทรายซิไม่ว่า เสียดาย นางเฟิ่งชิงหัวไม่ใช่คนไม่เอาไหน