พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 110 การสารภาพรักของแม่ดอกทอง
“ดูจากท่าทางของสาวใช้พวกนี้แล้วน่าจะติดตามรับใช้เจ้านายมานานแล้ว ไม่น่าจะมีโอกาสติดต่อกับคนนอก อีกอย่างเวลาส่วนใหญ่ของพวกนางน่าจะคอยติดตามเจ้านายทั้งวัน ตอนกลางคืนก็ต้องอยู่เรือนเดียวกับเจ้านาย หากออกมาอาจจะมีคนสังเกตเห็นได้จึงมีความเสี่ยงมากเกินไป อีกอย่าง พวกนางไม่น่าจะมีความกล้าหาญถึงขั้นที่หลังจากสังหารคนแล้วยังคอยรับใช้เจ้านายอยู่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
“ความหมายของเจ้าก็คือ สาวใช้พวกนี้สามารถตัดออกไปได้เลยงั้นหรือ”
“อย่างน้อยๆ สาวใช้สามคนนั้นน่าจะไม่มีโอกาสลงมือแน่ๆ แล้ว ในแต่ละวันของพวกนางต้องทำงานใช้แรงงาน จึงไม่มีโอกาสเข้ามาป้วนเปี้ยนบริเวณห้องพัก อีกอย่างการรับใช้เจ้านายมาเป็นเวลานานทำให้พวกเขามีความอดทนสูง ไม่น่าจะมีปากเสียงกับคนอื่นได้ง่ายๆ”
เหยียนหรูชิงพยักหน้า “จริง แต่ว่าคำให้การของสองสามคนนี้น่าสนใจมาก พวกเขาบอกว่าเคยเห็นผู้หญิงที่ชื่ออะสุ่ยแอบลับๆ ล่ออยู่กับคุณชายจ้าน”
เฟิ่งชิงหัวอ่านคำให้การของหนานกงเยว่ลั่วและเจียงหยูหวันและก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ตลกมาก ผู้หญิงทั้งสองคนนี้ช่วยกันปิดบังว่าตนเองเคยไปหาจ้านถิงเฟิง แต่กลับเปิดโปงอีกฝ่ายว่าไม่เพียงแต่เคยรู้จักกับจ้านถิงเฟิงเท่านั้น แต่ยังบอกว่าเคยเห็นอีกฝ่ายพูดคุยกับแม่นางที่มีชื่อว่าอะสุ่ยด้วย
เรื่องนี้ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็เป็นเรื่องความสัมพันธ์ชู้สาวที่องค์รัชทายาทเป็นตัวต้นเหตุ
ในตอนนั้นเอง เจ้าพนักงานที่ไปสืบฐานะของอะสุ่ยก็กลับมา
อะสุ่ยหรือมีชื่อเต็มว่าเซียวโร่สุ่ย เป็นคนอันโจวอยู่บ้านกับแม่ที่สูงอายุคนหนึ่ง ครึ่งเดือนก่อนอะสุ่ยบอกว่าจะต้องเดินทางออกจากบ้านเพื่อไปหาคนที่พระนคร หลังจากนั้นก็มาถึงที่พระนคร เมื่อห้าวันก่อนได้มาอาศัยอยู่ที่วัดก่านเย่ และเสียชีวิตเมื่อสามวันที่แล้ว
เรื่องที่บังเอิญก็คือ ดูเหมือนว่าสองเดือนก่อน องค์รัชทายาทจ้านถิงเฟิงได้ไปที่อันโจวเพื่อทำธุระส่วนตัว
และยังมีอีกคนหนึ่งที่มาเจียงทาวกับเนี่ยหานซิง ชายคนนั้นมองแวบแรกก็รู้แล้วว่าเป็นคนที่มักมากในสตรี และดูเป็นคนที่มีความเป็นไปได้ที่จะขืนใจสตรีและสังหารทิ้งหลังเสร็จกิจ
“คืนนี้ข้าอยากตรวจร่างกายของผู้เสียหายอย่างละเอียดอีกหนึ่งรอบว่ามีตรงไหนผิดปกติหรือไม่ค่อยว่ากันอีกครั้งดีกว่า”
เหยียนหรูชิงพยักหน้า “ข้าจะเตรียมห้องว่างไว้ให้เจ้าหนึ่งห้อง เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จแล้วเจ้าจะได้พักผ่อน คืนนี้ข้าจะต้องกลับไปจัดการธุระก่อน เรื่องที่นี่ยกให้เป็นหน้าที่ของเจ้า ข้าจะทิ้งคนไว้สิบคนให้เจ้า ข้าคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”
เฟิ่งชิงหัวขมวดคิ้ว “ใต้เท้า ท่านจะไปตอนนี้เลยหรือ ท่านก็รู้ว่าข้ากำลังเผชิญหน้ากับเบอร์ใหญ่ลำดับหนึ่งสองสามสี่ห้าหกเจ็ด ท่านไม่กลัวว่าข้ารับมือพวกเขาไม่ไหวหรือ”
“ตอนแรกก็เป็นห่วงอยู่บ้าง แต่พอข้าเห็นวิธีการปฏิบัติต่ออ๋องเฉินของเจ้าแล้ว ข้าค่อนข้างวางใจ อีกอย่างตอนนี้คนที่น่าสงสัยก็คือองค์รัชทายาท หากเขาต้องการหลุดจากข้อสงสัย เขาจะไม่หนีไปจากที่นี่ง่ายๆ แน่ ที่ศาลาว่าการมีเรื่องที่ข้าต้องจัดการรออยู่ พรุ่งนี้ข้าค่อยมาใหม่” เหยียนหรูชิงกล่าวอย่างหลักแหลม
เมื่อเรื่องราวมาถึงตอนนี้ เฟิ่งชิงหัวจะยังพูดอะไรได้อีก ได้แต่ยืนมองเหยียนหรูชิงเดินจากไป
เฟิ่งชิงหัวเข้าไปในห้องที่เหยียนหรูชิงเตรียมเอาไว้ให้ ร่างของเซียวโร่สุ่ยถูกจัดวางเอาไว้ในห้องแล้ว ด้านข้างยังมีถังน้ำอุ่นวางอยู่พร้อมเสื้อผ้าสะอาด เฟิ่งชิงหัวตรวจสอบไปพลางช่วยเอาผ้าเช็ดหน้าทำความสะอาดร่างของนาง
บรรยากาศภายในห้องเต็มไปด้วยความเงียบสงัด แสงเทียนสั่นไหวส่งเสียงพึ่บพับ
เมื่อทำความสะอาดเรียบร้อยไปครึ่งหนึ่งแล้ว เฟิ่งชิงหัวก็ค้นพบความผิดปกติบางอย่างด้วยสีหน้าที่คล้ายว่าเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมา
เมื่อเฟิ่งชิงหัวจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็รู้สึกเหนื่อยล้า ตอนที่ตั้งใจจะหาห้องอาบน้ำและเข้านอนนั้น พอเปิดประตูออกก็เห็นหลิวหยิ่งที่ยืนอยู่หน้าประตู
หลิวหยิ่งเดินถือกระบี่เข้ามาจากนั้นจึงก้มตัวลงทำความเคารพ “พระชายา ท่านอ๋องกำลังรออยู่ขอรับ”
“เขารอข้าทำไม” เฟิ่งชิงหัวรู้สึกหนาวสันหลัง
“พระชายา พอท่านอ๋องรู้ว่าท่านขึ้นมาทำงานวัดก่านเย่ก็รีบขึ้นเขาตามมา แสดงว่าท่านอ๋องอยากพบพระชายาขอรับ” หลิวหยิ่งกล่าวอย่างลำบากใจ แต่เฟิ่งชิงหัวกลับรู้สึกกลัว
คนบ้า นางออกมาทำงานเช่นนี้แล้ว เขายังไม่ลืมตามให้นางกลับไปคัดระเบียบของจวนอีกหรือ และด้วยเหตุนี้ถึงขั้นตามนางขึ้นเขามา ฟังแล้วน่าขนลุกอย่างยิ่ง
เมื่อหลิวหยิ่งเห็นสีหน้าแข็งกระด้างของเฟิ่งชิงหัว ในใจก็รู้สึกสงสัยขึ้นมาว่าทำไมการที่พระชายาได้ยินว่าท่านอ๋องขึ้นเขามาเพื่อหานางถึงได้แสดงอาการดีใจด้วยสีหน้าเช่นนี้?
หลิวหยิ่งไม่ค่อยเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาเท่าไหร่นัก จึงไม่ได้ถามอะไรมากเพียงเอ่ยว่า “พระชายาตามข้าน้อยมาเถิด ท่านอ๋องรอท่านมาหนึ่งชั่วยาวแล้ว”
“อย่าดีกว่า ตอนนี้ข้าคือขุนนางชันสูตรศพ แถมยังเป็นผู้ชายอีกด้วย การเข้าออกห้องของท่านอ๋องจะทำให้คนอื่นสงสัยเปล่าๆ”
“ท่านอ๋องบอกว่ามีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคดีอยากปรึกษาเฟิ่งสวี่โจ้ว” หลิวหยิ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง
เฟิ่งชิงหัวจะยังอ้างอะไรได้ แม้แต่เจ้านายยังไม่กล้าต่อกรกับเบอร์ใหญ่อย่างเขา แล้วขุนนางชันสูตรศพเล็กๆอย่างนางจะทำอย่างไรได้อีก ก็ได้แต่ต้องฝืนใจเดินตามหลิวหยิ่งไป ระหว่างที่เดินก็บิดหัวไหล่ไปพลางกล่าวว่า “อีกเดี๋ยวเจ้าช่วยหาห้องให้ข้าหน่อย และให้คนต้มน้ำร้อนมาให้ด้วย ข้าต้องอาบน้ำแล้ว จริงสิตอนกลางคืนกลิ่นศพจะค่อนข้างแรง”
“ขอรับ” หลิวหยิ่งแอบหัวเราะ
เฟิ่งชิงหัวได้ยินเสียงเขาก็รู้สึกสงสัยพลางขมวดคิ้ว เจ้าองครักษ์ทึ่มนี่จู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นมาเพราะเรื่องอะไรกัน?
จ้านเป่ยเซียวเป็นถึงอ๋อง ฐานะของเขาไม่ธรรมดา จึงไม่สามารถปิดบังฐานะของตัวเองได้ แน่นอนว่าห้องที่เขาอาศัยจึงต้องเป็นห้องที่ดีที่สุด จึงแยกออกมาอยู่ในเรือนเล็กๆ ตามลำพัง
ตอนที่เฟิ่งชิงหัวเดินผ่านประตูเรือนเข้าไป ก็เห็นเจียงหยูหวันที่สวมใส่ชุดขาวทั้งชุดยืนอยู่กลางสนาม โดยกำลังพูดอยู่กับประตูห้อง
ทั้งสองหยุดเดิน หลิวหยิ่งหันไปมองเฟิ่งชิงหัวโดยสัญชาตญาณ จึงเห็นว่าพระชายากำลังหรี่ตามองไปที่เจียงหยูหวัน
หลิวหยิ่งใจคอไม่ดี แม่นางเจียงมาปรากฏตัวตอนนี้นับว่าไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมนัก
อีกด้านหนึ่ง เจียงหยูหวันไม่รู้ตัวว่ามีคนมาด้านหลัง จึงยืนทำหน้าอาลัยอาวรณ์อยู่ด้านนอกประตู “พี่เป่ยเซียว หยูหวันรู้ว่าตอนนี้พี่ยังโกรธหยูหวันอยู่ หยูหวันไม่โทษท่าน หยูหวันต้องโทษร่างกายของตนเองที่ไม่แข็งแรงจึงป่วยไปเป็นเวลานาน ตอนที่ท่านบาดเจ็บข้าจึงไม่ได้อยู่คอยดูแลท่าน แต่ท่านต้องเชื่อหยูหวันว่าในใจของหยูหวันอยู่ที่พี่เป่ยเซียวมาโดยตลอด แต่น่าเสียดายหลังจากที่ข้าหายป่วยกลับมาแล้ว พี่เป่ยเซียวมีชายาใหม่ไปแล้ว”
เฟิ่งชิงหัวได้ยินดังนั้นก็เลิกคิ้วขึ้น นี่มาร้องทุกข์หรืออย่างไร
คำก็พี่เป่ยเซียวสองคำก็พี่เป่ยเซียว คนที่อยู่ด้านในป่านนี้หัวใจคงแตกสลายไปแล้วกระมัง น้ำเสียงอ่อนโยนขนาดนี้ผู้ชายคงทนไม่ไหว จ้านเป่ยเซียวที่อยู่ด้านในคงรู้สึกว่าชะตาชีวิตไม่ยุติธรรมอยู่แน่ๆ
ในความคิดของเฟิ่งชิงหัวนั้น เจียงหยูหวันเป็นดอกไม้ที่อันตราย หากนางชอบจริงๆและได้ยินว่าชายในใจของตัวเองกำลังจะแต่งงานกับคนอื่นก็คงต้องพยายามอย่างสุดกำลังมาขวางกั้นเอาไว้ ไม่อย่างนั้นแล้วการเขียนจดหมายคงใช้เวลานานพอสมควร
เฟิ่งชิงหัวไม่เชื่อว่า ด้วยความโปรดปราณของฮ่องเต้เซวียนถ่งที่มีต่อจ้านเป่ยเซียวจะไม่พระราชทานงานแต่งให้กับเขา
และเป็นเพราะนางขี้ขลาดกลัวว่าจ้านเป่ยเซียวจะตรอมใจตายเพราะเรื่องนี้หรือบางทีอาจจะเป็นนางเองที่พอก้าวเข้าประตูไปและโดนเขากำจัดทิ้ง
ทางด้านนั้นเจียงหยูหวันยังคงกล่าวอย่างน่าสงสาร “พี่เป่ยเซียวตอนนี้ท่านมีพระชายาแล้ว หยูหวันขออวยพรให้ท่านทั้งสองถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร เคียงกันไปเป็นร้อยๆ ปี หยูหวันจะคอยอวยพรพวกท่านอยู่ในใจและจดจำท่านไปตลอด”