พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 112 ตาบอด มะเร็งมาตรฐานความงาม
หลิวหยิ่งกัดฟันพูด “พระยาชาอ๋อง ท่านรีบเข้าไปด้านในเถิด ช่วงนี้ท่านนาย ความอดทนไม่ค่อยดีเท่าใด”
เฟิ่งชิงหัวตอบ “เขาใจร้อน ข้าก็ยังอารมณ์ไม่ดี ช่างเขาสิ”
“พระยาชาอ๋อง ท่านรีบเข้าไปเถิด การเผชิญหน้ากันแบบนี้ไม่ใช่วิธีที่ดีเลย พรุ่งนี้เช้าตรู่ท่านยังคงต้องจัดการคดีอีก รีบเข้าไปพักผ่อนเสียจะเป็นการดีกว่า” หลิวหยิ่งเกลี้ยกล่อมอีกครั้ง
คำพูดนี้เมื่อเฟิ่งชิงหัวได้ยินกลับกลายเป็นคนละความหมาย
เฟิ่งชิงหัวพยักหน้า “หลิวหยิ่งเจ้าพูดมาก็ถูก จะรบกวนเวลานอนของข้าเพียงเพราะเขาก็ใช่เรื่อง รีบจัดการให้เสร็จรีบพักผ่อน เช่นนั้นเจ้าไปเตรียมตักน้ำมาให้ข้า ข้าจะไปรายงานเขา ผู้ชายคนหนึ่งที่ถูกข้าจับได้ว่าแอบลักลอบพบเจอกับคนรักเก่า ยังกล้าทำตัวภาคภูมิเช่นนี้อีก นี่มันคือหลักการอะไรกันแน่”
ระหว่างที่พูด จากนั้นเฟิ่งชิงหัวก็เดินเข้าไปในห้องด้วยท่าทีเย่อหยิ่งจองหอง
เหลือไว้แค่เพียงหลิวหยิ่งที่ยืนส่ายศีรษะไปมาอยู่นอกประตู
“อยากรู้เรื่องใด ถามมา” ทันทีที่เฟิ่งชิงหัวเข้ามาในห้อง ก็นั่งลงที่ข้างโต๊ะ ไม่แม้แต่จะมองหน้าจ้านเป่ยเซียว เชิดหน้าขึ้น จงใจวางมาด
จ้านเป่ยเซียวที่กำลังหงุดหงิดอยู่ในใจ “……”
เมื่อเวลาผ่านไปสักพักกลับยังไม่มีการตอบสนองแต่อย่างใด เฟิ่งชิงหัวยังคงเชิดหน้าขึ้นและเอียงศีรษะเล็กน้อย จากมุมหางตา ชายผู้นี้จ้องมองมายังตนด้วยสายตานิ่งเรียบ เมื่อมองอย่างละเอียด กลับพบว่ามีความรังเกียจเต็มประดาอยู่ในสายตาคู่นั้น
เฟิ่งชิงหัวเมื่อเห็นเช่นนี้ก็พลันไม่พอใจ จ้องเขม็งไปที่เขาแล้วเอ่ยว่า “มองเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”
“เจ้าสวมอาภรณ์เช่นนี้มาพบข้ารึ?” ตอบกลับน้ำเสียงเย็นชา
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฟิ่งชิงหัวก็เบิกตากว้างและชี้ไปที่ตนเอง “ข้า… เจ้า… แฮ่ม ๆ ท่านอ๋องช่างถามได้ดีเสียจริงเชียว ก็ไม่รู้ว่าใครกันที่ทำให้ข้าต้องสวมใส่อาภรณ์เช่นนี้ ตอนนี้กลับมารังเกียจกันเสียได้ อย่างไร ในที่สุดดวงตาของท่านก็หายดีแล้วหรือว่ามาตรฐานความงามของท่านอยู่ดี ๆ ก็ปกติขึ้นมา?”
ในเวลานี้เฟิ่งชิงหัวได้วินิจฉัยออกมาแล้วว่า จ้านเป่ยเซียวเป็นผู้ป่วยมะเร็งที่ตาบอดด้านมาตรฐานความงามระยะสุดท้ายแล้ว
“ข้าไม่ได้หมายความถึงสิ่งนี้” จ้านเป่ยเซียวพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“เช่นนั้นท่านหมายความว่าอย่างไร?”
จ้านเป่ยเซียวไม่ได้เอ่ยสิ่งใดต่อ เพียงแต่ความเย็นชารอบกายนั้นเริ่มแผ่กระจายออกไปทั้งสี่ทิศ
เฟิ่งชิงหัวรู้สึกเบื่อกับอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ เช่นนี้ของเขาเต็มทีแล้ว ยืนขึ้นและมุ่งตรงไปหาเขา “จ้านเป่ยเซียว สมองเจ้าไม่ปกติหรืออย่างไร คำพูดคำจามีแต่คำร้าย ๆ ก็ยังพอทนได้ ในตอนนี้ยังจะพูดครึ่งหนึ่งเหลืออีกครึ่งหนึ่งให้คนคาดเดาเองอีกหรือ?”
“หยุดอยู่ตรงนั้น” จ้านเป่ยเซียวเอ่ยปากแทรกขึ้น
“หากข้าไม่หยุด แล้วเจ้าจะทำอย่างไร?” เฟิ่งชิงหัวพูดไปก็พลางเดินเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเห็นว่านางอยู่ห่างจากชายผู้นี้เพียงสองก้าวเท่านั้น ฝ่ายชายก็พลันยกมือขึ้น ดึงไปที่หน้าเสื้อของนางโดยตรง วินาทีต่อมา เสียงผ้าขาดก็ดังขึ้นลั่นห้อง
เฟิ่งชิงหัวเบิกตาโพล่ง มองลงไปที่เศษผ้าที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น เมื่อเห็นบนร่างของตนสวมเพียงเสื้อคลุมสีขาวเท่านั้น ด้านในก็เหลือเพียงแค่เพียงตู้โตวหนึ่งชิ้นกับผ้าขาวคาดหน้าอกเท่านั้น ทันใดนั้นก็ยกมือขึ้นมากอดเอาไว้ที่บริเวณหน้าอกโดยสัญชาตญาณ
และในเวลานี้เอง เสียงของหลิวหยิ่งก็เข้ามาจากด้านนอก “ท่านอ๋อง พระยาชาอ๋อง เตรียมน้ำมาให้แล้วขอรับ”
“อืม”
หลิวหยิ่งก้มศีรษะลง เมื่อได้ยินดังนั้นก็สั่งให้องครักษ์สองคนหามอ่างอาบน้ำเข้าไป วางไว้ด้านหลังฉากด้านในห้อง ระหว่างที่ทำ ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีการเงยหน้าขึ้นแต่อย่างใด
จนกระทั่งหลิวหยิ่งกำลังจะออกไปด้านนอก เฟิ่งชิงหัวจึงได้มีปฏิกิริยาขึ้นมา “หลิวหยิ่ง ข้าเพียงแค่ให้เจ้าเตรียมน้ำเอาไว้ ไม่ใช่ให้เจ้าหามเข้ามา!”
“พระยาชาอ๋อง ห้องที่อยู่ภายในวัดเต็มหมดแล้ว ห้องนอนก่อนหน้านี้ เพราะเป็นที่พักของผู้ต้องสงสัยจึงไม่สามารถย้ายได้ ภายในห้องของท่านอ๋องนี้มีอยู่สองห้อง ท่านจำต้องใช้ไปก่อนเนื่องจากไม่มีตัวเลือกอื่นแล้วขอรับ” หลิวหยิ่งพูดจบก็เดินจากไป อีกทั้งยังเอาใจใส่ด้วยการปิดประตูให้อย่างดิบดี
เฟิ่งชิงหัวจ้องมองไปที่ประตูบานนั้นที่ปิดอยู่ รู้สึกเพียงแค่ว่าคนในจวนอ๋องเฉิน ไม่เพียงแค่ท่านนายจะทำตัวน่าหมั่นไส้มากเท่านั้น ผู้รับใช้ก็ยังทำให้คนหงุดหงิดใจได้เป็นอย่างมากเช่นกัน
เสียงเย็นชาของจ้านเป่ยเซียวดังขึ้นอีกครั้ง “ยังไม่ไป หรือรอข้าอุ้มเจ้าเข้าไป?”
เฟิ่งชิงหัวหันกลับมา พูดเสียงเย็น “ขาของท่านยังไม่หายดี สามารถอุ้มข้าขึ้นได้หรือ?”
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน
วินาทีต่อมา เฟิ่งชิงหัวรู้สึกตัวเบาไปชั่วขณะ นั่นก็เพราะจ้านเป่ยเซียวโอบนางเอาไว้ในอ้อมกอด ให้นางนั่งลงบนตักของเขา