พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 119 นกอัปมงคล
พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 119 นกอัปมงคล
เฟิ่งชิงหัวมองเขาด้วยรอยยิ้ม “ท่านอ๋องไม่คิดว่าเป็นวิญญาณอาฆาต?”
“บนโลกใบนี้ไม่มีวิญญาณแต่แรกแล้ว!” จ้านเป่ยเซียวพูดเสียงเย็น
เฟิ่งชิงหัวหัวเราะพร้อมกับพยักหน้า “ถูกแล้ว ไม่มีผีจริง ๆ อย่างว่า สิ่งที่มี ก็มีเพียงสิ่งเดียวที่น่ากลัวกว่าผี นั่นคือใจคน”
“ไม่ใช่ว่าเจ้ารู้อยู่แล้วหรือว่าใครคือฆาตกร เหตุใดจึงไม่พูดออกมาตรง ๆ”
ภายในห้องเวลานี้เหลือแค่เพียงเฟิ่งชิงหัวกับจ้านเป่ยเซียว รวมถึงเจ้าพนักงานที่ตรวจสอบไม่กี่คน
เฟิ่งชิงหัวพูดพร้อมรอยยิ้ม “เดิมตั้งใจจะจับฆาตกรในคืนนี้ แต่ไม่คาดคิดว่าจะเจอเรื่องไม่คาดฝันบางอย่างเสียก่อน”
ระหว่างที่พูด เฟิ่งชิงหัวก็หัวเราะพร้อมกับพาคนเดินออกไปด้านนอก จ้านเป่ยเซียวเดินตามอยู่ด้านหลังของนาง หลิวหยิ่งเข้ามาทางข้างหลังของเขาราวกับภาพลวงตา พร้อมกับลดเสียงให้เบาลง “ท่านนาย เรื่องเป็นไปตามที่ท่านคาดการณ์เอาไว้ ต้องการให้จับคนผู้นั้นไว้หรือไม่?”
จ้านเป่ยเซียวเลิกคิ้วพูด “ไม่จำเป็น ให้นางเล่นไปก่อน”
หลิวหยิ่งมองไปยังพระยาชาอ๋องที่เดินไปเดินมาเหมือนลมเหมือนไฟด้านหน้า ในใจรู้สึกประหลาดใจ พระยาชาอ๋องคนนี้มีความสามารถอย่างใดกันแน่ จึงสามารถทำให้ท่านนายตามใจได้ถึงเพียงนี้ เสียเวลาทั้งวันไปกับการเล่นกับนาง
อีกฝากหนึ่ง เฟิ่งชิงหัวนำผู้คนให้รีบไปหยุดคนที่กำลังจะลงจากภูเข
เจียงหยูหวันเมื่อเห็นดังนั้นก็โกรธมากแล้วกล่าวว่า “ผู้ชันสูตรเฟิ่ง ที่เจ้าจะทำสิ่งใดอีก ตอนนี้ ทุกอย่างชัดเจนแล้ว เจ้าจะห้ามไม่ให้เราลงจากภูเขาอีกหรือ?”
เฟิ่งชิงหัวพูดพร้อมรอยยิ้ม “คุณหนูเจียงย่อมลงจากเขาได้อย่างแน่นอน แต่ว่า องค์ราชทายาทจำเป็นต้องอยู่ก่อน”
จ้านถิงเฟิงได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้ว “เจ้าหมายความว่าอย่างไร!”
เฟิ่งชิงหัวพูดพร้อมรอยยิ้ม “เรายังมีคำถามอีกมาก มิใช่หรือ ถึงอย่างไร แหวนหยกวงนั้นของท่านเหตุใดจึงตกไปอยู่ในมือของเซียวรัวสุ่ย หรือว่าท่านเองก็ไม่รู้สึกสงสัย?”
“มีสิ่งใดน่าสงสัยกัน ข้ามีทรัพย์สินมากมายขนาดนั้น เป็นเรื่องปกติที่จะมีของชิ้นสองชิ้นสูญหายหรือถูกผู้อื่นหยิบไปหรือเจ้ากำลังจะบอกว่าแค่เพียงเพราะสิ่งของเล็กน้อยเช่นนี้ จึงทำให้ข้าเป็นฆาตกร?”
“องค์ราชทายาทพูดเกินไปแล้ว ข้าไม่เคยพูดสักครั้งว่าท่านเป็นฆาตกร เพียงแค่ไม่รู้ว่า ปิดบังอำพรางฆาตกรถือว่าเป็นนักโทษด้วยหรือไม่” เฟิ่งชิงหัวเลิกคิ้วพูด
จ้านถิงเฟิงได้ยินดังนั้น สีหน้าของเขาก็หยุดชะงักไป คิ้วตก มือไพล่หลัง และเอ่ยพูดอย่างเย็นชา “พูดจาไร้สาระ”
เฟิ่งชิงหัวพูดพร้อมรอยยิ้ม “สายตาหลุบต่ำไม่กล้าสบตาข้า สองมือไพล่หลัง น้ำเสียงกดต่ำ นี่เป็นหลักการหลบหลีกโดยทั่วไป องค์ราชทายาท ดูแล้วข้าไม่ได้พูดสิ่งใดผิด ท่านรู้ดีอยู่แล้วว่าฆาตกรคือใครแต่กลับไม่พูดออกมา ให้แม่หญิงผู้หนึ่งตายอย่างไม่เป็นธรรม ตอนนี้ได้เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งชีวิตแล้ว เป็นถึงองค์ราชทายาทผู้สูงส่ง นี่คือสิ่งที่ว่าที่กษัตริย์ควรทำหรือ?”
“เฟิงเซียว เจ้ามีหลักฐานใดที่บอกว่าข้าปิดบังอำพราง แล้วข้าปิดบังอำพรางใครไว้ ข้าเองก็ไม่รู้ว่าที่แท้แล้วใครกันแน่ที่เป็นฆาตกร!”
“ไม่ ท่านรู้ดี ท่านต้องรู้อย่างแน่นอน ในครั้งแรกที่ท่านเห็นแหวนหยกวงนั้น ความจริงแล้วท่านก็สามารถเดาได้แล้ว แต่ว่าท่านกลับไม่ได้พูดสิ่งใดออกมา ท่านเลือกที่จะปิดบังอำพราง นั่นเป็นเพราะท่านรู้ดี เมื่อใดที่ฆาตกรถูกเปิดโปง ก็จะมีผลกระทบต่อท่านเช่นกัน ดังนั้นเพื่อชื่อเสียงที่ดีของท่าน ท่านจึงแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นสิ่งใด”
“ผู้ชันสูตรเฟิ่ง ฆาตกรไม่ใช่เจียงเทาหรือ? ตอนนี้เขาถูกลงโทษแล้ว” เจียงหยูหวันช่วยพูดอยู่ข้าง ๆ
เฟิ่งชิงหัวส่ายหน้า “เจียงเทาไม่ได้ถูกวิญญาณอาฆาตใด ๆ ทำร้ายเลย แต่เขาถูกวางยาพิษ จากนั้นสมองก็เริ่มสร้างภาพหลอน จากนั้นก็รัดคอตนเองจนตาย เดิมทีแล้วไม่ใช่วิญญาณหลอกหลอนแต่อย่างใดเลย”
“เช่นนั้น เสียงกรีดร้องนั่นเล่ามาจากที่ใด?” หนานกงเยว่หลีที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถาม
เฟิ่งชิงหัวยิ้มพรางมองไปยังเด็กรับใช้ซวี่กวงที่อยู่ด้านหลังองค์ราชทายาท “สิ่งนี้น่ะหรือ คงต้องถามผู้รับใช้คนนี้ขององค์ราชทายาทแล้ว”
ซวี่กวงเมื่อถูกเรียกชื่อ สีหน้าก็เผยความสงสัยออกมา “เจ้าหมายความว่าอย่างไร ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร?”
“เจ้าบอกว่า เมื่อคืนวาน เจ้าก็ได้ยินเช่นกัน?” รอยยิ้มของเฟิ่งชิงหัวเต็มไปด้วยความหมายลึกซึ้ง
“ถูกแล้ว” ซวี่กวงพยักหน้า
เฟิ่งชิงหัวแสดงท่าทาง งอนิ้วชี้เล็กน้อยไปที่ริมฝีปากและเป่าปากยาว ๆ ซึ่งเสียงนั้นดังเป็นพิเศษภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืน
ทุกคนมองการกระทำที่ไม่สามารถเข้าใจได้ของเขา รู้สึกแค่เพียงมันค่อนข้างประหลาด
อย่างไรก็ตาม วินาทีถัดมา ก็ได้ยินเสียงกระพือปีกมาจากกลางอากาศใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ทุกคนพากันเงยหน้าขึ้น ก็เห็นว่ามีฝูงนกมากมายบินตรงมายังท้องฟ้าเหนือหัว
ริมฝีปากของเฟิ่งชิงหัวขยับเล็กน้อย ยกมือข้างหนึ่งขึ้น จากนั้นนกสีดำก็บินลงมาเกาะที่ข้อมือของนาง
“นี่มัน นี่มันนกอัปมงคล!” ท่ามกลางผู้คนจำนวนมาก มีคนสามารถจำแนกนกออกได้
นกสีดำสนิทในมือของเฟิ่งชิงหัวเป็นนกที่ทั่วทั้งราชวงศ์เทียนหลิงมองว่าเป็นนกกาลกินี เป็นที่ร่ำลือกันไปทั่วว่า นำพามาซึ่งความทุกข์และความโชคร้ายมากมาย
ในความเป็นจริงนกตัวนี้ก็คืออีกาที่พบเจอได้ทั่วไป เป็นเพียงนกธรรมดา แต่เพราะว่าอีกาชอบกินซากศพ บวกกับความจริงที่ว่าพวกมันส่วนใหญ่ชอบวนเวียนอยู่กับซากศพ นั่นเป็นสาเหตุที่ผู้คนไม่ชอบพวกมันมาก
ใครๆ ก็เห็นว่าชายหนุ่มผู้แต่งตัวเกรอะกรังทั้งตัวไม่เกรงกลัวมลทินจากเจ้านกอัปมงคลตัวนั้น เขากล้าที่จะเข้าใกล้มันด้วยซ้ำ และแววตาของเขาก็ยิ่งเพิ่มความแปลกประหลาดเข้าไปอีก
เฟิ่งชิงหัวเอื้อมมือไปแหย่มัน นกตอบสนองด้วยการจิกเธอเบา ๆ ด้วยจะงอยปาก
“เจ้าทำสิ่งใด ไม่ใช่ตรวจสอบคดีหรือ มัวเล่นกับนกอยู่ได้ เสียเวลาของเราไม่ใช่หรือ?” ฮูหยินเฉิงเซี่ยงพูดอย่างไม่พอใจ
เฟิ่งชิงหัวยิ้มพร้อมกับมองไปทางทุกคน “คุณหนูเจียง คุณหนูหนานกง พวกเจ้าทั้งสองจงฟังไว้ให้ดี”
จากนั้น นางก็เปิดปาก ขยับริมฝีปากพูดกับนกสองสามคำ แล้วเหวี่ยงนกขึ้นไปบนฟ้า ทันใดนั้น ทุกคนก็ได้ยินเสียงกรีดร้องจากเหนือศีรษะของพวกเขา เสียงเหมือนเมื่อครู่นี้ไม่มีผิดเพี้ยน ทำให้คนรู้สึกขนลุกขนพอง
“ผีหลอก มีผี!” หนานกงเยว่หลีตกใจมาจนกระโดดเข้าไปในอ้อมแขนของแม่ ใบหน้าของนางซีดลงด้วยความตกใจ
เจียงหยูหวันก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน ยืนนิ่งอยู่กับที่ ขาทั้งสองข้างสั่นอย่างรุนแรง
“ที่มันเรื่องอะไรกันแน่ เสียงนี้ เสียงนี้มัน……”