พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 156 ลงมือพวกเราตัวต่อตัวได้
สายตาของหนานกงจี๋จ้องมายังเฟิ่งชิงหัว: “นี่เจ้ากำลังทำอะไรกันแน่ ที่นี่คือจวนเฉิงเซี่ยง จะปล่อยให้เจ้ามากำเริบเสิบสานไม่ได้!”
เฟิ่งชิงหัวกล่าวด้วยเสียงหัวเราะ: “นางใส่ร้ายข้า ข้าซัดนางไปหนึ่งฝ่ามือก็นับว่าหายกัน นางลงมือกับข้า หรือว่าข้าไม่สามารถป้องกันตัวได้งั้นหรือ?”
“แต่ทั้งๆ ที่เจ้าก็สามารถหลบได้แท้ๆ รู้อยู่แล้วว่าบนมีดนั้นมีพิษก็ยังจะทำร้ายนาง!”
เฟิ่งชิงหัวฟังคำพูดนี้แล้วก็ยิ่งน่าขำขันเข้าไปใหญ่: “ทำไม ก็อนุญาตให้แค่นางลงมือกับข้างั้นสิ? จวนเฉิงเซี่ยงของพวกเจ้าต่างก็เป็นเช่นนี้ที่ยินยอมให้ขุนนางวางเพลิงได้แต่กลับไม่ยินยอมให้ประชาชนจุดไฟสินะ?”
หนานกงจี๋ทราบดีว่าในตอนนี้หากจะมาโต้เถียงกับนางก็ไร้ประโยชน์ จึงให้คนพยุงคุณหนูใหญ่ลงไปรักษาตัวทันที หนานกงเยว่หลีสามารถมียาพิษได้ ก็แน่นอนว่าย่อมมียาถอนพิษ ไม่ต้องเป็นกังวลไปชั่วคราว เพียงแต่เรื่องของห้องลับนั้นก็น่าจะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด
“ในเมื่อเยว่หลีบอกว่าเจ้าเข้าไปในห้องลับ งั้นเจ้าก็จะต้องเข้าไปอย่างแน่นอน! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก่อนที่จะสืบเรื่องทั้งหมดให้กระจ่าง เจ้าจะไปไหนไม่ได้เป็นอันขาด!”
เฟิ่งชิงหัวกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มเย็นชา: “ใต้เท้าเฉิงเซี่ยงช่างเป็นผู้ที่ฉลาดเฉียบแหลมจริงๆ เลย แค่คำพูดไม่กี่คำของลูกสาวของท่านก็ตัดสินว่าผู้อื่นมีความผิดไปแล้ว ใส่ร้ายป้ายสี พูดมาได้หน้าด้านๆ เห็นทีวันนี้ข้ามีเหตุผลก็คงจะพูดไม่ขึ้นแล้วล่ะ?”
“เจ้าไม่มีหลักฐานมายืนยันว่าเจ้าไม่ได้เข้าไป แน่นอนว่าจะต้องรอให้ตรวจสอบให้ชัดเจนเสียก่อน”
“หากข้ายอมรับล่ะ? ท่านยังคิดจะยื้อข้าเอาไว้อยู่ไหม?” เฟิ่งชิงหัวหรี่ตาแล้วกล่าว
“รั้งไว้อยู่หรือไม่นั้น ต้องลองดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน!” ในขณะที่หนานกงจี๋กล่าวอยู่นั้นก็ยื่นมือออกมาสะบัดมือ นับองครักษ์สิบนายออกมาอยู่ด้านหน้าของเฟิ่งชิงหัว
เฟิ่งชิงหัวสังเกตเห็นว่าคนทั้งสิบนี้ดียิ่งกว่าองครักษ์เฝ้าเรือนพวกนั้นที่จวนเฉิงเซี่ยงไม่รู้มากเท่าไร หากเป็นช่วงเวลาปกติ แน่นอนว่านางไม่เกรงกลัว แต่เพราะตอนนี้กำลังภายในของนางร่อยหรอลงไปจนไม่เหลือทุกทีแล้ว นึกถึงว่าจะต้องต่อกรกับคนพวกนี้เกรงว่าค่อนข้างจะยากอยู่บ้าง
เมื่อเห็นระดับความสำคัญที่หนานกงจี๋มีต่อห้องลับนั้น วันนี้แม้ว่าเฟิ่งชิงหัวจะไม่ได้เข้าไปในห้องลับจริงๆ เขาก็จะต้องไม่ปล่อยโอกาสที่จะได้เอาความผิดไปได้เป็นแน่
ในเมื่อคิดวางแผนไว้ว่าจะลงมือกับนางแล้ว ในใจของเขาก็ย่อมคิดแผนการที่จะสามารถข้ามผ่านราชวงศ์ทางด้านนั้นไปได้แล้วเรียบร้อยแน่นอน
นี่ยิ่งอธิบายได้ว่าเรื่องที่เขากักขังหน่วงเหนี่ยวคนแซ่หยูไว้มันน่าจะไม่ได้เป็นเรื่องง่ายดายเช่นนั้นแน่
ดวงตาของเฟิ่งชิงหัวเคร่งขรึมขึ้นมา ในมือมีเม็ดยาสีแดงหนึ่งเม็ดออกมา มันเป็นโอสถที่นางค้นคว้าศึกษาอย่างตั้งใจที่จะทำให้ฟื้นฟูกำลังภายในได้ในระยะเวลาสั้นๆ ได้พอดี มีเวลาต่อเนื่องเพียงแค่หนึ่งก้านธูปเท่านั้น แต่ว่าผลข้างเคียงของโอสถชนิดนี้สูงมาก ไม่เพียงไม่เพียงแต่เร่งการทำงานของร่างกายที่ล้มเหลวเท่านั้น
หากไม่ใช่เวลาคับขันจริงๆ นางก็จะไม่คิดที่จะใช้โอสถเช่นนี้แน่ เพียงแต่นางในตอนนี้ไม่มีทางเลือก นางยังต้องช่วยชีวิตท่านแม่ให้ออกไปอีก
และในตอนที่กลืนโอสถลงไป ก็ได้ยินเสียงดังขึ้น เส้นเลือดลมปราณปะทุขึ้นมายังข้อมือของนาง ดีดเม็ดยาในมือของนางทิ้งไป
ยาเม็ดนั้นตกลงไปในสระน้ำที่อยู่ต่ำลงไปด้านข้าง ผ่านไปไม่นานก็ละลายไป ปรากฏออกมาเป็นเสียงบุ๋งๆ เบาๆ
เฟิ่งชิงหัวเงยศีรษะมองไปยังทางที่มา แต่กลับเห็นในมือขององครักษ์ชุดดำกลุ่มหนึ่งถือมีดล้อมคนของหนานกงจี๋เอาไว้
ผู้ชายในชุดเพ้าสีดำยาวทั้งชุดค่อยๆ เดินมา ทั้งสองฝั่งมีองครักษ์ยืนอยู่เป็นทิวแถว มือข้างหนึ่งถือกระบี่ไว้อีกข้างหนึ่งถือฝักกระบี่ไว้ เพียงแค่รอคำสั่งการลงมาคำเดียวก็จะเริ่มสังหารทั้งหมดทันที
สายตาของหนานกงจี๋หยุดมองไปยังบนขาทั้งสองข้างของชายผู้นั้น เห็นเพียงขาทั้งสองข้างของฝ่ายชายสูงยาวฉลูด ฝีเท้าไม่รีบร้อนแล้วก็ไม่เชื่องช้า แต่กลับมีกลิ่นอายที่สะเทือนฟ้าดิน หน้ากากที่อยู่บนใบหน้าก็ยิ่งเข้ากันได้ดีกับรูปลักษณ์ของเขา
“ท่าน ท่านอ๋อง” หนานกงจี๋ยับยั้งการออกแรงที่อยู่ในใจไว้ มองมายังขาทั้งสองข้างของฝ่ายชายราวกับเหมือนคนธรรมดา มีอาการดึงสติกลับมาไม่ค่อยได้
จ้านเป่ยเซียวจ้องมาที่หนานกงจี๋ สีของดวงตาดูหม่นหมองเคร่งขรึม แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายแห่งความเย็นชาอึมครึมอยู่ในนั้น ทำให้หนานกงจี๋ตกใจไปจนไม่อาจดึงสติกลับมาได้จนต้องสำลักออกมาดัง “ตุ๋ม” ครู่หนึ่งแล้วคุกเข่าอยู่กับพื้นไปเลย
“เฉิงเซี่ยง นี่หมายความว่าอย่างไร? ฝึกการจัดกระบวนค่ายทหารอยู่ในจวนหรือ?” ในขณะที่จ้านเป่ยเซียวพูดอยู่นั้น สายตากลับมองไปยังเฟิ่งชิงหัว
หนานกงจี๋จะไปคิดได้อย่างไรว่าจ้านเป่ยเซียวจู่ๆ จะโผล่ออกมาได้ คราวนี้ใจเต้นไม่เป็นจังหวะเลย หาข้ออ้างที่สมควรไม่เจอไปชั่วขณะหนึ่งเลย
ยังไงเมื่อครู่เขาก็ได้ออกคำสั่งสั่งการไปที่วางแผนว่าจะลงมือกับเฟิ่งชิงหัวจริงๆ
จ้านเป่ยเซียวเดินมาข้างหน้าของเฟิ่งชิงหัว จ้องมองนางจากที่สูงลงต่ำ ทั้งเนื้อทั้งตัวต่างก็ปกคลุมไปด้วยความเย็นเยือกไว้หนึ่งชั้น
หากไม่ใช่เพราะที่นี่มีคน จ้านเป่ยเซียวอยากจะคว้าเอาตัวผู้หญิงคนนี้มาตบซะหลายฉาดอย่างเหี้ยมโหดไปเลย รู้ทั้งรู้ว่าร่างกายอ่อนแอ ก็ยังวิ่งมาที่จวนเฉิงเซี่ยงแห่งนี้ หากไม่ใช้เพราะเขามาทันเวลาพอดี เกรงว่านางก็จะกินยาเม็ดประหลาดอะไรนั่นลงไปแล้ว
มองดูยาที่ออกฤทธิ์วีรบุรุษนั้นของนาง แค่คิดก็รู้แล้วว่าไม่ใช่ของดีอะไร แน่นอนว่าจะต้องเป็นยาชั่วพิลึกที่เพิ่มพลังขึ้นอย่างยิ่งยวด
หากนางเกิดเรื่อง เอ่ยปากขอร้องเขา มีหรือที่เขาจะไม่ช่วยนาง หรือว่านางก็คิดว่าตนเองเป็นท่านอ๋องที่พิการคนหนึ่งแค่นั้นจริงๆ?
หากเป็นเช่นนี้จริงๆ พวกฮองเฮาและรัชทายาทเหตุใดจะต้องหวาดกลัวเขาเช่นนี้ด้วยเล่า
คราวนี้เฟิ่งชิงหัวเดาไม่ถูกเลยว่าทำไมจ้านเป่ยเซียวจู่ๆ ถึงไปมาที่จวนเฉิงเซี่ยงได้ มาช่วยนางงั้นเหรอ? แต่มองจากภายนอกยังไงนางก็เป็นลูกสาวของจวนเฉิงเซี่ยง ก็เป็นบ้านของตนเองจะมีอันตรายอะไรเหรอ?
มาหานางเพื่อคิดบัญชี? เพราะว่าตอนที่ตนเองออกมาทำองครักษ์ของเขาบาดเจ็บไป?
เหตุผลนี้ดูค่อนข้างเป็นไปได้มากกว่า
ในขณะที่คิดเช่นนี้อยู่ เฟิ่งชิงหัวเงยศีรษะยืดอกขึ้น จ้องมาที่เขาด้วยความหาญกล้าอย่างยิ่งยวด ความสูงสู้ไม่ได้ เอาพลังที่แสดงออกมาข่มแทน
จากนั้นภาพที่ปรากฏนี้ได้อยู่ในสายตาของจ้านเป่ยเซียว แต่กลับเหมือนลูกจิ้งจอกตัวหนึ่งที่เพิ่งหลุดออกมาจากฝูงจิ้งจอกเป็นอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าข้างนอกทำเป็นแข็งแกร่งแต่ภายในไม่มีอะไรเลย ยังกลับจะแสร้งทำท่าทางว่าข้าไม่กลัวเจ้าออกมาได้ ทำท่าทางว่าเจ้าเข้ามาข้าก็จะกัดเจ้าอีก อันที่จริงแล้วมันก็น่ารักซะเหลือเกินเลยเชียว
จ้านเป่ยเซียวยกมือขึ้นก็จะไปสัมผัสเส้นผมที่อยู่บนศีรษะของนางตามความรู้สึก เฟิ่งชิงหัวกลับถอยห่างออกไปหนึ่งก้าว และสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความระวังตัว: “ลงมือได้ แต่พวกเราต้องตัวต่อตัวนะ”
ในใจของจ้านเป่ยเซียวไร้ซึ่งคำพูดใด กล่าวออกมาด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมและเย็นชาว่า: “บัญชีของพวกเรา เอาไว้เดี๋ยวค่อยคิด”
ในขณะที่พูดอยู่นั้น จ้านเป่ยเซียวก็หันหน้ามาปกป้องเฟิ่งชิงหัวไว้ด้านหลัง สายตาคมกริบนั้นจ้องไปยังหนานกงจี๋ที่อยู่บนพื้น: “เฉิงเซี่ยงมาอธิบายให้ข้าฟังสักหน่อยจะดีกว่าไหม? ว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? พระชายาของข้าทำความผิดอะไรอย่างนั้นหรือ จนทำให้เจ้าควรค่าที่จะต้องตั้งกระบวนใหญ่โตเช่นนี้ได้”
ในใจของหนานกงจี๋ตอนนี้ก็มีทางออกขึ้นมาแล้ว ความตื่นตระหนกลดน้อยลงไปบ้างแล้ว ค่อยๆ กล่าวออกมาว่า: “ท่านอ๋อง เรื่องเป็นเช่นนี้ ลูกสาวของกระหม่อมเห็นพระชายาเข้าไปในห้องหนังสือของกระหม่อมกับตาตัวเอง ในห้องหนังสือมีเอกสารราชการที่สำคัญหายไปหนึ่งฉบับ เดิมทีพระชายายอมรับว่าเข้าไปหยิบเอกสารราชการ กระหม่อมก็ย่อมไม่ทำให้ยุ่งยากเช่นนี้แน่นอน แต่นางไม่เพียงปฏิเสธไม่ยอมรับ ยังทำร้ายพี่ใหญ่ของนางด้วย ทำให้นางถูกพิษเป็นลมหมดสติไปยังไม่ฟื้น ที่กระหม่อมทำเช่นนี้ก็คิดเพื่อประชาชนชาติบ้านเมืองส่วนรวม”
“เพี๊ยะๆๆ” จ้านเป่ยเซียวตบมือดังขึ้นสามครั้ง กล่าวออกมาอย่างไม่ร้อนไม่หนาวอะไรว่า: “คิดไม่ถึงว่าเฉิงเซี่ยงจะจงรักภักดีเช่นนี้ เพื่อเอกสารทางการฉบับเดียวคิดไม่ถึงว่าแม้แต่ลูกสาวของตนเองก็สามารถสั่งการให้จับกุมได้ ข้านับถือในตัวท่านจริงๆ เดี๋ยวไว้คราวหน้าเข้าวังข้าจะทูลความดีความชอบให้ท่านเสียหน่อย”
หนานกงจี๋กล่าวออกมาด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความอับอาย: “ท่านอ๋องอย่าได้ขำขันในตัวกระหม่อมเลย กระหม่อมเพียงแค่เอาเอกสารทางการกลับมาให้ได้ เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดเป็นเรื่องใหญ่ต่อราชสำนักก็เท่านั้นเอง”
ในขณะที่พูดอยู่นั้นสายตาก็มองไปยังเฟิ่งชิงหัวอย่างลึกล้ำอยู่
เฟิ่งชิงหัวกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มว่า: “ในเมื่อใต้เท้าเฉิงเซี่ยงบอกว่าข้าไม่มีทางยืนยันได้ว่าตนเองไม่ได้เข้าไปในห้องหนังสือ ก็ไม่สามารถยืนยัยได้เช่นกันว่าข้าได้เข้าไปในห้องหนังสือ ไม่งั้นก็เปิดห้องหนังสือของท่านออกต่อหน้าท่านอ๋องเลย ดูว่าเอกสารนั้นของท่านเดิมแล้วมันวางอยู่ที่ใดกัน มีร่องรอยของหยักไย่หลงเหลือไว้บ้างหรือไม่?”
ได้ยินดังนั้นสีหน้าของหนานกงจี๋ก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป จ้องมายังเฟิ่งชิงหัวด้วยแววตาที่แฝงไว้ด้วยการเตือน
เฟิ่งชิงหัวกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม: “ทำไมล่ะ หรือว่าใต้เท้าเฉิงเซี่ยงตาฝ้าฟางไป ตนเองก็ลืมไปว่าเอกสารทางการนั้นวางเอาไว้ที่ใด?”