พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 157 หนังสือหย่าข้าลงลายลักษณ์อักษรแทนได้
เฟิ่งชิงหัวทราบดีว่าหนานกงจี๋ไม่กล้าที่จะเอาเรื่องห้องลับเปิดเผยต่อสาธารณชน ด้านในห้องลับนั้นไม่มีอะไร แต่ห้องลับที่อยู่ในห้องลับนั้น เป็นสถานที่ที่หนานกงจี๋ค่อนข้างให้ความใส่ใจเป็นพิเศษเลย ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าคนแซ่หยูได้ถูกนางช่วยออกมาแล้ว แน่นอนว่าไม่กล้าให้นางค้นพบได้เป็นแน่
หนานกงจี๋กล่าวกระแอมเสียงเย็นชาออกมา: “ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าอยู่ที่ใด เพียงแต่ห้องหนังสือเป็นสถานที่สำคัญ จะให้คนนอกเข้าไปได้ตามใจชอบได้อย่างไรกัน”
“เจ้าก็พูดว่าห้องหนังสือเป็นสถานที่สำคัญ งั้นเหตุใดเจ้าจึงไม่ส่งคนไปเฝ้าอารักขาไว้ให้ดีเล่า?”
“เจ้า” หนานกงจี๋กล่าวออกมาด้วยอารมณ์โมโห คราวนี้จึงดึงสติกลับมาได้ คนที่ตนเองส่งมาให้เฝ้าหน้าประตูตอนนี้ทำไมจึงไม่เห็นเลย
และในตอนนี้เอง ฮูหยินใหญ่ก็พุ่งเข้ามาในเฟยเก๋อหลิวตันแต่ไกล ไม่รอทำความเข้าใจกับสถานการณ์ให้แน่ชัดเสียก่อนก็เอ่ยปากด่าว่าเฟิ่งชิงหัวขึ้นมาทันที: “หนานกงเยว่ลั่ว เจ้าดาวมฤตยู ที่ไหนมีเจ้าที่นั่นก็ไม่มีเรื่องดีเลย เห็นได้ชัดว่าเจ้าเองเข้าไปขโมยของในห้องลับ แต่กลับไม่ยอมรับ ทำร้ายลูกข้าจนสภาพเป็นเช่นนี้ วันนี้เจ้าอย่าหวังว่าจะได้ออกไปจากที่นี่เลย!”
“ห้องลับ ห้องลับอะไร? ท่านแม่อย่าพูดจาไร้สาระนะ” เฟิ่งชิงหัวกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ
หนานกงจี๋จู่ๆ ก็โพล่งขึ้นมาทันที: “หุบปากเดี๋ยวนี้!”
ฮูหยินใหญ่ผู้นี้กลับไม่สนใจสีหน้าของใครทั้งนั้น ได้ยินคำพูดของหนานกงจี๋เช่นนี้ก็เข้าใจว่าเขากำลังคิดที่จะปกป้องลูกสาวที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าว่ามาจากไหนคนนี้อีกแล้ว ก็เลยพูดออกมาด้วยอารมณ์ในทันที: “ก็คือห้องลับ เจ้าได้รู้จากเยว่หลีทางนั้นว่าด้านในห้องลับซ่อนข่าวคราวของท่านแม่ที่ทอดทิ้งเจ้าไปนั้นก็เลยแอบเข้าไปในห้องลับ ตอนนี้ไม่เพียงแต่ไม่ยอมรับ ยังทำร้ายนางอีก ทำไมถึงได้มีคนที่จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตเช่นนี้อย่างเจ้าได้!”
เฟิ่งชิงหัวกล่าวออกมาด้วยสีหน้างุนงง: “ท่านแม่ ท่านกำลังพูดถึงอะไรกัน ตอนนี้ท่านพ่อกำลังบอกว่าข้าเข้าไปในห้องหนังสือเพื่อขโมยเอกสารทางการของเขา มีห้องลับอะไรที่ไหน ข่าวคราวของท่านแม่ข้าอะไร? ท่านแม่ของข้าไม่ใช่ท่านหรือ? ใช่แล้ว เมื่อครู่พี่ใหญ่ยังด่าว่าข้าเป็นลูกของหญิงเต้นกินรำกินอีก เห็นได้ชัดว่านางกำลังด่าว่าท่านอยู่นะ ที่ข้าเห็นพี่ใหญ่ต่างหากที่ทำเกินไป จะต้องให้ท่านพ่อลงโทษให้เข็ดหราบถึงจะถูก”
ฮูหยินใหญ่สบถออกมาคำหนึ่ง: “ถุย เยว่หลีพูดเอาไว้ไม่มีผิดแม้แต่นิดเลย เจ้าไม่ใช่ลูกที่ข้าให้กำเนิดมาด้วยตัวเองอยู่แล้ว เป็นลูกที่ท่านพี่อุ้มมาจากข้างนอก แม่ของเจ้าเป็นหญิงเต้นกินรำกิน! จะต้องเป็นหลังจากที่เจ้าเข้าไปในห้องลับแล้วโกรธเกลียดท่านพี่อยู่ในใจก็เลยขโมยเอกสารทางการไป!”
เฟิ่งชิงหัวแบมือทั้งสองข้างออก มองมายังหนานกงจี๋แล้วกล่าวว่า: “ใต้เท้าเฉิงเซี่ยง คนอื่นไม่รู้ก็ยังปล่อยมันไปได้ หรือว่าท่านไม่รู้ เหตุใดข้าจะต้องเป็นเพราะข้ออ้างอันนี้แล้วไปห้องหนังสืออะไรนั่น แล้วก็ห้องลับด้วย ท่านอ๋องยังฟังอยู่ตรงนี้ ท่านอย่ามาปรักปรำข้าเชียวนะ”
ฮูหยินใหญ่กล่าวร้องออกมาอย่างอวดดี: “เจ้าเอาท่านอ๋องมาอ้างก็ไม่ประโยชน์ เมื่อก่อนเจ้าในฐานะคุณหนูสายตรงเพื่อให้คู่ควรแก่ท่านอ๋องอย่างไม่เต็มใจ ตอนนี้เจ้าก็เป็นแค่คนชั้นต่ำเท่านั้นเอง ฐานะของคนชั้นต่ำคนหนึ่งยังดูสะอาดหมดจดยิ่งกว่าเจ้าเสียอีก!”
“ท่านอ๋อง ข้าว่าท่านเขียนจดหมายหย่าเลยดีกว่า อย่าให้คนต่ำต้อยเช่นนี้มาทำลายชื่อเสียงของท่านให้เสียหาย” ฮูหยินใหญ่กล่าวแล้วก็มองมายังจ้านเป่ยเซียว
เฟิ่งชิงหัวไม่ได้สนใจอะไรอยู่แล้ว: “เรื่องนี้ตกลงกันได้ เพียงแค่เฉิงเซี่ยงยินดี ท่านอ๋องยินดี อยากจะปลดก็เชิญตามสบายเลย หากท่านอ๋องรังเกียจว่าจะต้องเสียเวลากับเรื่องไร้สาระ ข้าสามารถเขียนแทนทท่านได้ เฉิงเซี่ยงอยากจะตัดความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกกับข้า ข้าก็ยินดีอย่างที่สุดเลยเช่นกัน จะให้ข้าร่างลงนามแทนด้วยกันเลยไหมล่ะ?”
ฮูหยินใหญ่มองมายังเฟิ่งชิงหัวก็รู้สึกว่านางก็แค่สร้างสถานการณ์ขู่ขวัญตบตาไปเช่นนั้นก็เท่านั้นเอง หนานกงเยว่ลั่วในตอนนั้นดูต่ำต้อยมากแค่ไหนในจวนเฉิงเซี่ยง ยางอยากจะบีบเคล้นยังไงก็ได้ทั้งนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเปลี่ยนไปหลังจากที่นางแต่งเข้าไปในจวนอ๋อง จวนอ๋องก็คือที่พึ่งพิงของนาง เพียงแค่นางถูกปลดทิ้งไปซะ ดูว่าต่อไปนางจะทำอะไรได้อีก
นางก็จะแอบจับนางเอาไว้ ทรมานอย่างเป็นก็เหมือนตายจนหมดความโกรธเกลียดในใจได้ถึงจะสาสม
“ก่อเรื่องวุ่นวาย!” หนานกงจี๋กล่าวออกมาด้วยโทสะ: “เยว่ลั่ว ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกเป็นครั้งสุดท้าย อยู่ที่ในจวนเพื่อยอมรับการตรงสอบ เรื่องอื่นข้าจะไม่ถือสาหาความ”
เฟิ่งชิงหัวกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม: “ใต้เท้าเฉิงเซี่ยงคงจะจำได้ว่าก่อนที่ข้าจะอภิเษกนั้นเคยพูดคำพูดใดไว้นะ? หากจำไม่ได้ ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะช่วยท่ายย้อนความทรงจำเสียหน่อยไหมล่ะ? ข้าเคยบอกไว้ว่า ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ข้ากับจวนเฉิงเซี่ยงไม่มีอะไรต้องเกี่ยวข้องกันอีก! ตอนนี้ ท่านคิดว่าข้าจะยังอยู่ที่นี่ตามที่ท่านต้องการงั้นเหรอ?”
จ้านเป่ยเซียวยืนอยู่ข้างกายของเฟิ่งชิงหัวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์มาโดยตลอด จวบจนตอนนี้ สายตาจึงมองไปยังเฟิ่งชิงหัวแวบหนึ่ง เห็นว่าในดวงตาของนางไร้ความเจ็บปวดไร้ความยินดี ไม่มีความรู้สึกผูกพันใดๆ ต่อจวนเฉิงเซี่ยงเลยแม้แต่น้อย
ที่คนพวกนี้กล่าวมานั้นถึงชาติกำเนิดอะไรหรือการดูถูกด่าว่า สำหรับนางแล้วก็เป็นเพียงอากาศเท่านั้น ไม่มีผลกระทบอะไรต่ออารมณ์ของนางแม้แต่นิดเดียว
จ้านเป่ยเซียวเอ่ยกล่าวออกมาด้วยเสียงเคร่งขรึมว่า: “ในเมื่อพระชายาของข้าไม่ต้องการอยู่เพื่อให้ตรวจสอบ งั้นก็ไม่ต้องอยู่”
หนานกงจี๋กล่าวออกมาอย่างโมโห: “ท่านอ๋องเจ็ด ท่านจะยุ่งเรื่องภายในครอบครัวของข้าให้ได้ใช่ไหม?”
“นางเป็นคนของข้า เหตุใดจึงกล่าวได้ว่าเป็นเรื่องครอบครัวของเจ้า? นี่ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องของตระกูลหนานกงและจวนอ๋องเฉิน!”
ฮูหยินใหญ่เดินเข้ามาดึงเสื้อเพ้าของหนานกงจี๋เอาไว้แล้วกล่าวว่า: “ท่านพี่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่มีอะไรต้องพูดดีกับนางแล้ว ขับไล่นางออกไปนอกจวนเฉิงเซี่ยงเลยเถอะ ลูกสาวแบบนี้ ตระกูลพวกเราคงรับไว้ไม่ไหว”
คำพูดเพิ่งจะกล่าวออกไป ก็ถูกหนานกงจี๋สะบัดแขนเสื้อไปจนล้มไปกองกับพื้น ผมปลอมที่จัดวางเอาไว้เดิมก็หลุดออกมาจากหนังศีรษะไปเลย เผยให้เห็นศีรษะโล้นที่สุกสว่างของฮูหยินใหญ่
ฮูหยินใหญ่อึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เริ่มร้องห่มร้องไห้เสียงดังขึ้นมา: “ได้เลย เจ้าหนานกงจี๋ เรื่องมาถึงนี้แล้วเจ้ายังมีเยื่อใยกับลูกหญิงเต้นกินรำกินใช่หรือไม่! พวกเราเข้าไปในห้องหนังสือของเจ้า เจ้าไม่พูดพ่ำทำเพลงแม้แต่คำเดียว จะลงโทษให้ข้ากับเยว่หลีคุกเข่าอยู่ 3 วัน 3 คืนท่าเดียว แต่หนานกงเยว่ลั่วเข้าไปเจ้าก็แค่คิดไว้ว่าจะค่อยๆ ปล่อยไป เจ้าคิดว่าข้าเป็นของตายไปแล้วงั้นหรือ? เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเป็นใครกันที่ตอนนั้นเห็นเจ้าใกล้ตายให้ข้าวให้น้ำแก่เจ้า ยังเอาเงินทองให้เจ้าเข้าพระนครไปสอบให้ทันอีกด้วย สุดท้ายเจ้าคนทรยศ เอาแต่ละคนๆ เข้ามาในบ้านข้าไม่พูด แต่คิดไม่ถึงว่าเจ้ากลับไปหาเศษหาเลยอยู่ข้างนอก เจ้านี่มันไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์จริงๆ”
ฮูหยินใหญ่ด่าได้ทิ่มแทงและแย่มาก สีหน้าของหนานกงจี๋ก็ยิ่งกระโจนหน้าดำหน้าแดงไปใหญ่
“เจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้! เชื่อไหมว่าข้าจะปลดเจ้าก็ได้!” หนานกงจี๋กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงโมโห
“ปลดข้างั้นเหรอ? คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะปลดข้า หนานกงจี๋ เจ้าปีกกล้าขาแข็งแล้วจริงๆ เจ้าปลดสิ เจ้าปลดเลย เจ้าเชื่อไหมว่าข้าจะไปเขียนคำร้องวิงวอนทันทีที่หน้าประตูวัง! เห็นได้ชัดว่าชีวิตส่วนตัวของเจ้าไม่ระวัง คิดไม่ถึงว่ายังกล้าจะมาข่มขู่ข้าได้ เจ้ากล้าปลดข้า ข้าก็จะทำให้เจ้าไม่มีหน้ามีตาไปพบใครเลย!” คราวนี้ฮูหยินใหญ่ไม่กลัวว่ามีอะไรจะต้องเสียอีกแล้ว คำพูดอะไรที่มาน่าฟังก็พูดออกมาหมดเลย
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ค่อยๆ กลายเป็นละครน้ำเน่าไปแล้ว เฟิ่งชิงหัวก็กล่าวออกมาด้วยคำพูดท่าทางที่ห้ามปราม: “ใต้เท้าเฉิงเซี่ยง ฮูหยินเฉิงเซี่ยง พวกท่านทั้งสองคนหากจะทะเลาะหรือแยกทางกันช่วยจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยก่อนค่อยมาว่ากันไม่ได้หรือ เมื่อครู่ฮูหยินเฉิงเซี่ยงไม่ใช่บอกว่าข้าเข้าไปในห้องลับเหรอ? ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นก็คงจะไม่เป็นการรบกวนเกินไปให้ใต้เท้าเฉิงเซี่ยงเปิดห้องลับต่อหน้าให้พวกเราได้ตรวจสอบกันไปเลย ดูว่าเอกสารทางการนี้ที่แท้แล้วถูกข้าเอาไปหรือเปล่า ข้าก้ไม่อยากจะต้องก้าวหนึ่งออกไปจากจวนเฉิงเซี่ยง ก้าวหลังกลับถูกพวกท่านไปป่าวประกาศบอกว่าข้าขโมยเอกสารทางการ กลับกลายจับข้าไปเป็นสายลับสอดแนมของศัตรูไป
แน่นอนว่าหนานกงจี๋ไม่ยินยอม แต่ฮูหยินใหญ่กลับไม่ได้คิดเช่นนี้ เมื่อได้ยินดังนั้นก็หยุดเสียงร้องไห้ทันที ยันตัวลุกขึ้นมาจากบนพื้นทันที ประโยคเดียวก็ไม่พูดก็พุ่งไปทางห้องหนังสือเลยทันที ยังไปไม่ถึงทางเข้าเลยก็ถูกองครักษ์ขวางทางเอาไว้
“หนานกงจี๋ เจ้าเปิดห้องลับเดี๋ยวนี้นะ ดูว่านางยังจะมีข้อโต้แย้งอะไรอีกไหว ข้ารู้ว่าเจ้าสาดผงยาพวกนั้นอยู่ด้านในห้องลับ เพียงแค่มีคนไปสัมผัสถูกก็ไม่สามารถล้างออกได้ภายในครึ่งเดือนได้ เพียงแค่นางเคยเข้าไปในห้องลับ ก็สามารถพิสูจน์ได้แล้วว่านางกำลังพูดโกหกอยู่!”