พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 160 ลูกเดือยใส่ยา
เฟิ่งชิงหัวก็คิดไม่ถึงว่าแรงปะทะของตนเองจะรุนแรงขนาดนี้อย่างคาดไม่ถึง ก็เลยยังอึ้งอยู่บ้างในชั่วขณะหนึ่ง กำลังขี่อยู่บนท้องของจ้านเป่ยเซียว หลังจากหายใจผ่านไปไม่กี่ทีจึงรู้สึกว่าหัวเข่าเจ็บขึ้นมาโดยที่เพิ่งจะรู้ตัว น่าจะตอนที่ล้มลงมาเมื่อครู่โขลกลงมายังพื้นแรงเกินไป
พลิกตัวนั่งมายังด้านข้าง แล้วก็ฉีกกระโปรงออกเพิ่งคิดว่าจะดูแผลที่บาดเจ็บหน่อย แต่แค่เพิ่งจะฉีกกระโปรงออกเท่านั้นก็ถูกฝ่ายชายกดปิดลงไป เห็นบริเวณหัวเข่าพอดี เฟิ่งชิงหัวเจ็บจนดวงตาทั้งคู่ถลึงออกมาโตเลย ยื่นมือออกไปแล้วก็ปัดมือของเขาออกไปทันที
“ไม่เห็นเหรอว่าข้าโขลกจนเจ็บแล้ว!”
“เจ้าคิดว่าจะฉีกเปิดดูต่อหน้าสาธารณชนเช่นนี้งั้นเหรอ?” สีหน้าของจ้านเป่ยเซียวก็ดูแย่เช่นกัน
เฟิ่งชิงหัวกลอกตามองบน: “ข้าก็แค่ฉีกมาถึงหัวเข่าเท่านั้น เห็นน่องแล้วจะทำไมเหรอ เจ้าหัวโบราณและก้ยังน่าเบื่อจริงๆ”
“อย่าว่าแต่น่องเลย บนตัวของเจ้าแม้แต่ขนขาก็เป็นของข้า ข้าบอกว่าไม่อนุญาตให้ฉีก!”
“ขาของข้าโขลกจนเป็นเช่นนี้แล้ว อีกประเดี๋ยวหากกระดูกหัก เจ้าจะรับผิดชอบงั้นเหรอ”
ในขณะที่เฟิ่งชิงหัวพูดอยู่ก็จะลงมืออีก มือก็ถูกฝ่ายชายจับเอาไว้แน่นแล้วก็กล่าวออกมาอย่างบงการเป็นพิเศษว่า: “เจ้าอยากจะให้ข้ารับผิดชอบก็ได้ หากเจ้าหักจริงๆ ข้าเลี้ยงเจ้าเอง”
ในขณะที่พูดอยู่ก็จับให้เฟิ่งชิงหัวนอนลงแล้วก็อุ้มขึ้นมาทันที จวบจนเดินมาถุงด้านหน้าม้าตัวหนึ่ง แบกเฟิ่งชิงหัววงขึ้นไปบนหลังม้าและก็นั่งขึ้นไปเช่นกัน จากนั้นก็ขี่ม้าเคลื่อนที่ไป ท่าทางการเคลื่อนไหวงดงามราวกับน้ำไหลบนก้อนเมฆก็ไม่ปาน
พอมาถึงทางเข้าจวนอ๋อง จ้านเป่ยเซียวก็อุ้มเฟิ่งชิงหัวเข้าไปอีก คราวนี้เฟิ่งชิงหัวก็เลยกล่าวออกมาอย่างไม่สบอารมณ์: “เจ้าวางข้าลงเดี๋ยวนี้”
จ้านเป่ยเซียวก้มศีรษะมองไปที่นางแล้วกล่าวออกมาว่า: “เจ้ายังเคยอุ้มข้าเลย ข้าอุ้มเจ้าก็นับว่าสมเหตุสมผล เจ้าจะอายอะไร?”
“ข้าอายเหรอ? ข้ากลัวว่าเจ้าอุ้มข้าแล้วขาทั้งสองข้างก็จะเกิดปัญหาอะไรขึ้นอีก ไม่ง่ายเลยที่จะลุกขึ้นมาเดินได้ เจ้าทำตัวเป็นคนหน่อยได้ไหม?” เฟิ่งชิงหัวกล่าวออกมาด้วยเสียงรำคาญ และประโยคสุดท้ายนั้นก็ยิ่งเปี่ยมไปด้วยความเหยียดหยามยิ่งยวด
จ้านเป่ยเซียวเลิกคิ้วขึ้น: “ดีที่เจ้าไม่หนัก หากกินเยอะกว่านี้อีกข้าก็จะอุ้มไม่ไหว”
ได้ยินคำพูดนี้ของเขา เฟิ่งชิงหัวก็ไม่อาจจะ “ทำคุณบูชาโทษ” ต่อเขาได้อีกอย่างแน่นอน ได้เพียงให้เขาอุ้มตนเองไปยังห้องอย่างนิ่งงันไป ในนั้นมีหมอหญิงท่านหนึ่งรออยู่แล้ว
เฟิ่งชิงหัวมองไปที่เขาครู่หนึ่ง ความหมายในคำพูดนั้นเห็นได้ชัดว่ากำลังดูถูกเหยียดหยามว่าเขาหัวโบราณ
ในสายตาของหมอนั้นไม่แบ่งแยกชายหญิง บาดเจ็บมาก็รักษา มีไข้ก็รักษา ช่วงเวลาคับขันเช่นนี้จะมีเวลาไปถือสาหาความเรื่องต้องห้ามของชายหญิงที่ไหนกัน
ไม่เพียงแค่ตรวจดูขา ดูหน้าอกก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แม้แต่ในโรงพยาบาลคนที่ผ่าตัดทำคลอดหญิงตั้งครรภ์ต่างก็เป็นผู้ชายหมด
เขาเป็นเช่นนี้ไม่ได้เรียกว่ารักษาพรหมจรรย์ แต่ที่แท้แล้วนั้นก็คือการงมงายหัวโบราณ
ก็โชคดีที่เขาเป็นคนโบราณ หากอยู่ในยุคปัจจุบันเจอกับผู้ชายที่ไม่อนุญาตให้ภรรยาของตนใส่ให้เห็นแขนเห็นขาแบบนี้ นั่นไม่ได้เรียกว่าบงการปกป้องภรรยา เช่นนั้นก็กลัวว่าอาจจะถูกบ่นจนตาย
เป็นครั้งแรกที่หมอหลวงหญิงเห็นจ้านเป่ยเซียว ไม่แปลกเลยว่าทำไมท่านอ๋องท่านนี้ “ชื่อเสียงขจรขจาย” โดยเฉพาะได้ยินว่าหลังได้รับบาดเจ็บยิ่งอารมณ์ไม่มั่งคงขึ้นๆ ลงๆ ดังนั้นตอนที่ได้รับเรื่องว่าจะต้องมาทำการรักษาที่จวนอ๋องก็เลยเป็นลมไปครู่หนึ่ง
หมอหลวงชายหญิงในวังไม่ได้อยู่ที่เดียวกัน แบ่งแยกทำหน้าที่แต่ละฝ่าย แต่ว่าโดยปกติก็มีการติดต่อสัมพันธืกันในเรื่องเทคนิควิชา สำหรับท่านอ๋องเจ็ดนั้นที่ว่าด่าว่าหมอหลวงแต่ละคนจนเลือดอาบศีรษะจนต้องสงสัยพิจารณาในชีวิตของคนแล้วไล่ออกไป เรื่องพวกนี้นางก็ได้ยินได้ฟังมานานแล้ว
ตอนนี้เห็นว่าเป็นการรักษาให้พระชายาก็ได้เพียงผ่อนคลายลงมาบ้างครึ่งหนึ่ง ตอนที่ดุอาการที่ขาให้พระชายานั้น สายตากลับจ้องไปยังท่านอ๋องเจ็ดทางนี้อย่างผิดปกติ
จ้านเป่ยเซียวเห็นสภาพแล้วก็เลยกล่าวด้วยเสียงเย็นชาออกมาว่า: “วิชาแพทย์ของสำนักหมอหลวงของพวกเจ้าสูงส่งขนาดที่ไม่ต้องมองไปที่บาดแผลแล้วก็สามารถรักษาได้แล้วงั้นหรือ?”
หมอหลวงหญิงได้ยินก็สำลักออกมาดัง “อุ๊ย” แล้วก็คุกเข่าลงทันที แล้วก็โขลกศีรษะมาทางรอยเท้าของจ้านเป่ยเซียวทันที: “ท่านอ๋องไว้ชีวิตด้วย ท่านอ๋องได้โปรดไว้ชีวิตด้วย”
เฟิ่งชิงหัวมองมายังหมอหลวงหญิงที่น่าจะอายุมากกว่าจ้านเป่ยเซียวหลายปีผู้นั้นกำลังทำตัวขี้ขลาดราวกับเป็นลูกไก่น้อยตัวหนึ่งต่อหน้าจ้านเป่ยเซียว ก็เลยอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้นมา: “เจ้าอย่าทำให้นางตกใจสิ เจ้าออกไปก่อน อีกประเดี๋ยวค่อยเข้ามา”
หมอหลวงหญิงพอได้ฟังก็ยิ่งหวาดกลัว ศีรษะก็ไม่กล้าจะเงยขึ้น ในใจคิดว่าพระชายาผู้นี้ไม่ใช่ว่าจะทำร้ายนาง คิดไม่ถึงว่าจะพุดกับท่านอ๋องเช่นนี้ได้
แต่กลับเห็นว่าจ้านเป่ยเซียวก้าวเท้าออกไปทางบริเวณด้านนอกแล้วก็กระแอมเสียงเย็นชาออกมา นั่งอยู่ข้างโต๊ะ แต่กลับไม่ได้ออกจากห้องไป แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้หมอหลวงหญิงผ่อนคลายลงมาได้บ้าง
“พอแล้วล่ะ เจ้าลุกขึ้นมาได้แล้ว เจ้าไม่ได้ทำผิดอะไรเสียหน่อย โขลกหัวให้เขาทำไมกัน” เฟิ่งชิงหัวกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“พ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงหญิงลุกขึ้น แต่กลับเห็นผู้หยิงที่อยู่บนเตียงได้หยิบเอายาทาที่อยู่ในกล่องยาของตนเองออกมาทาให้ตัวเองแล้ว
หมอหลวงหญิงแปลกใจว่าข้างในกล่องของนางโอสถที่ใช้ประจำต่างก็มี แต่ว่าก็ไม่ได้ระบุชื่อไว้ ขวดก็มีเยอะมากมายนับไม่ถ้วน เหตุใดพระชายาจึงหยิบยาทาแก้พกช้ำออกมาได้อย่างแม่นยำได้กัน
จากนั้นก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เป็นไปได้มากว่าเป็นความบังเอิญ และก็ไม่ได้คิดอะไรมากไปอีก
พระชายาเอางานที่นางต้องทำไปทำเองแล้ว ก็เห็นได้ชัดว่านางเป็นส่วนเกินไปหน่อย หมอหลวงหญิงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็กล่าวออกว่า: “พระชายา กระดูกบนร่างของท่านแข็งแรงดี บาดเจ็บเล็กน้อยแค่นี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร เพียงแต่เพื่อรับประกันยังคงต้องพักรักษาตัวอยู่บนเตียงเสียหลายวันแล้วค่อยออกไปเดินเหินได้จะดีกว่า”
เฟิ่งชิงหัวรับคำออกมาคำหนึ่งอย่างไม่ได้สนใจอะไร ศีรษะก็ยังไม่ได้เงยเลย ใช้มือนวดคลึงอย่างชำนาญ ยาก็ซึมเข้าไปในผิวหนังอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เอาขวดยาวางกลับเข้าไปที่เดิม
หมอหลวงหญิงก็หยิบออกมาอีก แล้วอธิบายอย่างละเอียดว่า: “ยานี้ต้องทาวันละ 3 ครั้ง 3 วันให้หลังข้าจะกลับมาตรวจอาการให้ท่านอีกที ท่าน……”
“ไม่ต้อง เจ้ากลับไปเถอะ ต่อไปก็ไม่ต้องมาแล้ว”
เฟิ่งชิงหัวกลัวว่าหมอหลวงหญิงผู้นี้หากมาหลายครั้งอีกก็จะถูกใบหน้าที่เย้นชาของจ้านเป่ยเซียวทำให้ตกใจกลัวไปอีก
หมอหลวงหญิงกลับรู้สึกว่าเฟิ่งชิงหัวไม่พอใจในฝีมือทางการรักษาของนาง เกรงว่าพอนางจากไป พอให้หลังท่านอ๋องก็จะไปร้องเรียนนาง แม้ว่านางจะไม่ได้พูดอะไรเลยก็ตาม แต่พระชายาหากไม่ทายาต่อเนื่องตามเวลา หลายวันแล้วก็ยังไม่ดีขึ้น ถึงตอนนั้นท่านอ๋องโมโหขึ้นมายกใหญ่ เวลานั้นทั้งครอบครัวของนางไม่ว่าใครก็ตามก็คงจะจบสิ้นกันไปเลย
“พระชายา นี่ท่านไม่ใช่การบาดเจ็บเล็กน้อย ยาทานี้มีสมุนไพรที่มีสรรพคุณบรรเทาและลดอาการบวม มีส่วนช่วยต่อการฟื้นฟูบาดแผลของท่าน กลิ่นก็ใช้เป็นกลิ่นมะลิสดชื่นไม่มีกลิ่นแปลกปลอมเลยแม้แต่นิดเดียว”
เฟิ่งชิงหัวหัวเราะ: “ยานี้เจ้าเป็นคนปรุงงั้นหรือ?”
หมอหลวงหญิงพยักหน้ารับ: “เป็นกระหม่อมปรุงเองไม่ผิด ตัวยาในนั้นแต่ละชนิดกระหม่อมเป็นคนล้างทำความสะอาด แช่อบ บดให้ละเอียด ผึ่งให้แห้งด้วยตัวเอง รับรองว่าจะไม่ทำให้ผิวหนังของท่านมีผลข้างเคียงใดๆ เกิดขึ้นแน่
เฟิ่งชิงหัวเลิกคิ้วขึ้น: “เหตุใดจึงไปเพิ่มลูกเดือยในนั้นล่ะ?”
“ลูกเดือย? พระชายาชอบสิ่งนี้เหรอ? แต่ว่าโดยปกติแล้วลูกเดือยเพียงแค่มีสรรพคุณช่วยขจัดรอยสิวให้จาง จุดด่างดำ ปรับสีผิวเท่านั้น แม้ว่าจะมีประโยชน์ต่อรอยบาดแผล แต่ว่าประโยชน์ของมันก็ไม่ได้มาก
เฟิ่งชิงหัวกล่าวด้วยรอยยิ้ม: “จะเป็นไปได้ยังไง ลูกเดือยสามารถลดอาการบวมน้ำได้ ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ขจัดการเกร็งของกล้ามเนื้อ ขจัดความร้อนและขับหนองออก อีกอย่างสิ่งนี้เมื่อเพิ่มเติมเข้าไปแล้วราคายังมีมูลค่าต่ำกว่าพวกโสมแดงพวกนั้นที่เจ้าใส่เข้าไปเยอะเลย ในเมื่อมีสิ่งที่ดีกว่ามันมาก และมีสรรพคุณที่ดียิ่งกว่ามาแทน เหตุใดจึงยังจำเป็นจะต้องใช้โสมแดงล้ำค่าหายากราคาแพงใส่มาเพื่อเพิ่มเติมเลือดลมอีกด้วย?”
หมอหลวงหญิงก้มศีรษะครุ่นคิดพิจารณา หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งก็เอามือประกบกันมาทางเฟิ่งชิงหัวแล้วกล่าวว่า: “ขอบังอาจถามพระชายาว่าทราบได้อย่างไรว่าลูกเดือยยังมีสรรพคุณถึงเพียงนี้ กระหม่อมผู้น้อยเรียนรู้มายังอ่อนหัดผิวเผินนัก รุ่นพ่อรุ่นพี่ต่างก็ทำหน้าที่อยู่ในสำนักหมอหลวง แต่ก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าลูกเดือยยังมีสรรพคุณที่ยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้”
“ตำราเล่มไหนก็ไม่ต้องแล้วล่ะ เจ้าก็แค่ไปลองดูด้วยตัวเจ้าเอง ดูผลจากการใช้ก็พอ”
“ขอบพระทัยพระชายา กระหม่อมขอทูลลา” ในขณะที่พูดอยู่นั้นก็แบกกล่องแล้วก็เดินออกไปด้านนอก จู่ๆ ก็ลืมท่านอ๋องเจ็ดที่ยังนั่งอยู่ที่ข้างโต๊ะไปเลย