พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 169 ท่านอ๋องไร้หลักการ
คราวนี้พวกเขาทั้งสองไม่ได้แอบออกจากจวนอีกต่อไป แต่ขึ้นรถม้าของจวนอ๋องแล้วตรงไปที่ใต้อาคารของหอจุยหยุน
เฟิ่งชิงหัวกำลังจะลงจากรถม้า จู่ ๆ นางก็นึกบางอย่างขึ้นได้ นางหยุดและหันไปมองจ้านเป่ยเซียว “เจ้าจะลงจากรถม้าแบบนี้เลยหรือเพคะ?”
จ้านเป่ยเซียวขมวดคิ้ว “อย่างไร?”
“เจ้าจะปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนเช่นนี้หรือ?” เฟิ่งชิงหัวคิดถึงสิ่งที่หลิวหยิ่งพูด และรู้สึกใจอ่อน อีกอย่างขาของเขายังไม่ฟื้นตัวเต็มที่เลย แต่เป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น และอาจมีอันตรายซ่อนอยู่ได้ทุก
จ้านเป่ยเซียวมองนางพร้อมกับเลิกคิ้วและพูดอย่างมีความหมายลึก “ตอนแรกข้ากลัวปัญหา แต่ตอนนี้ข้าเต็มใจที่จะสร้างปัญหา”
เฟิ่งชิงหัวมองเข้าไปในดวงตาของเขา รู้สึกกระอักกระอ่วนใจอย่างอธิบายไม่ได้ รู้สึกอยู่เสมอว่าปัญหาที่เขาพูดถึงนั้นคือนาง
“ไม่มีปัญหาอะไร ไปกันเถอะ” เฟิ่งชิงหัวพูดพร้อมกระโดดลงจากรถม้าก่อน ไม่ทันสังเกตมือของหลิวหยิ่งที่ค้างอยู่กลางอากาศ เพียงรู้สึกว่าฉากนี้ค่อนข้างคุ้นเคย
“ท่านอ๋องขอรับ นี่…” หลิวหยิ่งมองไปที่เฟิ่งชิงหัวอย่างจนปัญญา พระชายาอ๋องตามใจเกินไปแล้ว นางจะลงจากรถม้าก่อนได้อย่างไร แล้วยังต้องกระโดดลงมาอีก
แต่จ้านเป่ยเซียวกลับไม่โมโห เพียงแต่มองแผ่นหลังของนางและพูดเสียงเรียบ “ตามใจนาง”
ในใจหลิวหยิ่งไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป นายท่าน ท่านเปลี่ยนไปแล้ว หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป พระชายาอ๋องจะยิ่งกลายเป็นคนไร้ระเบียบมากขึ้นไปอีก
เฟิ่งชิงหัวเดินไปถึงหน้าประตู มองห้องโถง กลับเห็นคนรู้จักคนหนึ่ง กำลังจะพูด แต่เห็นคนๆ นั้นเดินผ่านนางไปด้านหลังนาง
“ถวายบังคมท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ” เหยียนหรูชิงคือเจ้ากรมศาลาว่าการพระนคร ซึ่งไม่ตื่นตระหนกเหมือนคนทั่วไปเมื่อพบจ้านเป่ยเซียว แต่ค่อนข้างยินดีเล็กน้อย
หลิวหยิ่งที่ยืนอยู่ด้านข้างมองเห็นได้อย่างชัดเจน และรู้สึกประหลาดใจ
ใต้เท้าเหยียนผู้นนี้ เดิมทีไม่ค่อยชอบนายท่าน รู้สึกว่าเข้ากับคนได้ยากนัก เหตุใดวันนี้ถึงเริ่มมาหาก่อน?
“อืม” จ้านเป่ยเซียวตอบรับและยกมือขึ้น แสดงอำนาจและศักดิ์ศรีของราชวงศ์
“ท่านอ๋อง ข้าน้อยอยากมาหาคนๆหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ ไม่ทราบว่าตอนนี้เฟิ่งชิงอยู่ไหนพ่ะย่ะค่ะ?” เหยียนหรูชิงกล่าวอย่างเคารพ
เฟิ่งชิงหัวเลิกคิ้วเมื่อได้ยิน พิงกรอบประตูมองแผ่นหลังเหยียนหรูชิง ในใจเดาว่าคนๆ นี้ตามหานางเพื่ออะไร
นางทำงานอยู่ในศาลาว่าการพระนครเจ้ากรมหลายวัน และได้พบกับเหยียนหรูชิงเพียงไม่กี่ครั้ง ถ้าพูดกันตามเหตุผลแล้ว ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน
“ตามหาเขามีเรื่องอะไร?” น้ำเสียงของจ้านเป่ยเซียวต่ำเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ไม่ค่อยดี
เหยียนหรูชิงรู้อยู่แล้ว แต่ยังคงถามต่อ “ท่านอ๋อง คือแบบนี้พ่ะย่ะค่ะ เมื่อเจ็ดวันที่แล้ว ข้าน้อยพบศพหลายศพ ศพเหล่านี้ล้วนเป็นสีแดงสด แต่ดูไม่เหมือนเลือด ดูเหมือนถูกตีตราสีแดงแต่ไม่มีบาดแผลใดๆ ราวกับว่าพวกเขาเกิดมาก็เป็นเช่นนี้และร่างกายของคนเหล่านี้แตกต่างกัน แล้ยังไม่สามารถหาเบาะแสใด ๆ ได้อีกด้วย ดังนั้นข้าน้อยจึงมาขอความช่วยเหลือจากท่านอ๋อง อยากทราบว่าเฟิ่งชิงอยู่ที่ไหนพ่ะย่ะค่ะ หวังว่าเขาจะสามารถตรวจสอบศพเหล่านี้ ช่วยข้าน้อยตามหาฆาตกรโดยเร็วที่สุดพ่ะย่ะค่ะ”
“หน้าที่ของเจ้าคือจับผู้ร้ายตัวจริง ตรวจสอบศพเป็นหน้าที่ของสวี่โจ้ว ขุนนางชันสูตรศพ แต่ตอนนี้เจ้าต้องพึ่งพาคนที่อยู่ที่ไหนก็ไม่ทราบ ตอนนี้ศาลาว่าการพระนครของพวกเจ้าแย่ลงกว่าเมื่อก่อนแล้วหรือ?” จ้านเป่ยเซียวเย้ยหยันเห็นได้ชัดว่าเขาไม่อยากบอกที่อยู่ของเขา
ตอนนี้จ้านเป่ยเซียวอยากจะให้เฟิ่งชิงหัวอยู่ในจวนอ๋องทุกวันและออกไปข้างนอกให้น้อยลง ตอนนี้จะช่วยเหยียนหรูชิงได้อย่างไร
เหยียนหรูชิงทนต่อแรงกดดันและพูดต่อ “ท่านอ๋องโปรดเมตตาด้วยพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยเป็นห่วงว่าศพเหล่านั้นจะมีพาหะของโรค ตอนนี้ยังอยู่นอกชานเมืองไม่กล้านำกลับมา”
จ้านเป่ยเซียวเยาะเย้ยเสียงเย็น “ในเมื่อเจ้าตัดสินว่าคนเหล่านั้นเป็นพาหะของโรค เจ้าคิดว่าข้าจะมอบคนของข้าให้กับเจ้าหรือ?”
“ท่านอ๋อง ได้โปรด” เหยียนหรูชิงต้องการที่จะพูดอะไรมากกว่านี้ แต่จ้านเป่ยเซียวขัดจังหวะโดยตรง “ถ้าเจ้าต้องการคนก็ไปกรมคลัง อย่ารบกวนข้า”
จ้านเป่ยเซียวเดินไปที่ประตูและเอื้อมมือไปจับมือเฟิ่งชิงหัว “ไปกันเถอะ”
ว่าแล้วก็จะพานางเข้าไป แต่กลับได้ยินเสียงของเฟิ่งชิงหัวดังแว่วมาทางหูของเขา “ใต้เท้าเหยียนใช่ไหม”
เหยียนหรูชิงหันกลับมา สีหน้าดูไม่ค่อยดีนัก แต่เมื่อมองไปที่เสื้อผ้าของหญิงสาวและท่าทางของทั้งสอง ก็สรุปได้ว่าคนผู้นี้คือพระชายาเจ็ด เขาประสานมือ ก้มศีรษะลงแล้วพูดด้วยความเคารพ “ถวายบังคมพระชายาอ๋อง”
เห็นเพียงพระชายาอ๋องเจ็ดยิ้มและพูดว่า “เมื่อครู่นี้ข้าก็ได้ยินแล้ว และบังเอิญว่าข้ามีประสบการณ์เกี่ยวกับโรคที่เจ้าพูดถึง เดี๋ยวข้าจะไปกับเจ้า”
“หนานกงเยว่ลั่ว!” เสียงเตือนของจ้านเป่ยเซียวดังขึ้นจากด้านข้างของนาง
เฟิ่งชิงหัวมองเหยียนหรูชิงด้วยรอยยิ้ม กลับเอื้อมมือตบมือของจ้านเป่ยเซียวที่จับนางไว้ด้วยความหมายที่ปลอบโยน “ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แค่ไปดู มันไม่ใช่โรคอะไร ท่านอ๋องไม่ต้องกังวลเพคะ”
เหยียนหรูชิงดูออกแล้วว่าจ้านเป่ยเซียวไม่ต้องการให้พระชายาอ๋องไป และเขาก็ไม่คิดว่านางจะรู้อะไรในฐานะหญิงสาวอ่อนแอ แค่นึกว่านางรู้สึกแปลกใหม่อย่างจะไปดูเท่านั้น เรื่องนี้เป็นเรื่องอันตราย จะปล่อยให้นางมารบกวนได้อย่างไร
“ขอบพระทัยพระชายาอ๋องสำหรับความกรุณา โรคนี้แปลกจริงๆ ในชีวิตนี้ข้าน้อยไม่เคยเห็นมาก่อน พระชายาอ๋องอย่าเข้าใกล้จะดีกว่า ข้าน้อยลาก่อนพ่ะย่ะค่ะ” เหยียนหรูชิงเป็นคนเย็นชาและเที่ยงธรรม ไม่ประจบสอพลอและยอมจำนนต่อผู้อื่นอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องของเฟิ่งชิง เขาคงไม่ถ่อมตัวขนาดนี้
เมื่อเห็นว่าเขาไม่เชื่อ เฟิ่งชิงหัวจึงพูดต่อ “ถ้าท่านต้องการพบเฟิ่งชิง ข้ารู้หาเขาอยู่ที่ไหน”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เหยียนหรูชิงซึ่งหันกลับไปแล้วก็หันกลับมาทันที มองเฟิ่งชิงหัวอย่างกระตือรือร้น “พระชายาอ๋องโปรดแจ้งให้ข้าทราบพ่ะย่ะค่ะ!”
เฟิ่งชิงหัวรู้สึกถึงแรงที่ข้อมือของนางเพิ่มขึ้น เงยหน้าขึ้นมองจ้านเป่ยเซียว สายตาของชายหนุ่มเตือนว่าอย่าเข้าไปยุ่ง
เฟิ่งชิงหัวพูดด้วยรอยยิ้ม “เฟิ่งชิงผู้นี้แต่เดิมเป็นญาติห่างๆ ของข้า ก่อนหน้านี้มาอยู่ที่จวนอ๋อง ท่านอ๋องเมตตา ได้หาที่พักให้เขา แต่บังเอิญว่าเขาออกจากเมืองหลวงไปแล้วเพราะมีธุระบางอย่าง แต่พระชายาอ๋องสามารถไปดูได้ พร้อมบันทึกแล้วเขียนจดหมายถึงเขา”
“ถ้าอย่างนั้น พระชายาอ๋องบอกที่อยู่ของเขาให้ข้าน้อยจะดีกว่า ข้าน้อยจะไปหาเขาเองพ่ะย่ะค่ะ” เหยียนหรูชิงกล่าว
เฟิ่งชิงหัวส่ายหัว “ข้าเกรงว่าจะไม่สะดวก”
นั่นหมายความว่านางต้องไปให้ได้
เหยียนหรูชิงมองไปยังท่านอ๋องเจ็ด ท่านอ๋องเจ็ดพูดอย่างเฉยเมยว่า “สถานที่นั้นอยู่ที่ใด?”
เหยียนหรูชิงไม่กล้าปิดบังอะไร บอกสถานที่ทันที แต่กลับเห็นว่าทั้งสองไม่พูดอะไร เข้าไปในหอจุยหยุนโดยตรง
เหยียนหรูชิงรู้สึกหมดหนทาง เรื่องนี้คงต้องรายงานไปยังราชสำนักเท่านั้นแล้วล่ะ ส่งคนมาสอบสวนด้วยกัน
ภายในลิฟต์เทียมที่กำลังขึ้นไป แสงสว่างค่อนข้างสลัวเล็กน้อย เฟิ่งชิงหัวยืนอยู่ตรงข้ามจ้านเป่ยเซียว สีหน้าของจ้านเป่ยเซียวดูไม่ดีอย่างเห็นได้ชัด
หลังจากถึงชั้นแล้ว ประตูลิฟต์ไม่ได้เปิดออก จ้านเป่ยเซียวก็ยังคงยืนนิ่งอยู่
เฟิ่งชิงหัวรู้สึกประหลาดใจ “ไม่ไปหรือ?”
เฟิ่งชิงหัวว่าแล้วก็ยื่นมือออกเพื่อผลัก แต่ประตูไม้ดูเหมือนจะถูกเชื่อมจนตาย ไม่สามารถผลักหรือดึงได้เลย
เฟิ่งชิงหัวหันไปมองจ้านเป่ยเซียว “เจ้าเป็นอะไรไปอีกเพคะ?”
จ้านเป่ยเซียวโบกมือ เฟิ่งชิงหัวก็รู้สึกได้ถึงแรงดึงดูด แล้วนางก็ถูกจับไว้ในอ้อมแขนของจ้านเป่ยเซียวอย่างแน่นหนา