พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 172 คุณหนูสะโอดสะอง
พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 172 คุณหนูสะโอดสะอง
เมื่อจ้านเป่ยเซียวเห็นนางแอบหัวเราะเช่นนั้นราวกับหนูตกถังข้าวสารก็เลิกคิ้วขึ้น
เขาก็แค่รับปากว่าจะให้อิสระนางแค่นี้ นางถึงกับยิ้มอย่างเบิกบานใจเช่นนี้เชียวหรือ หรือว่าที่แท้แล้วผู้หญิงที่ซับซ้อนก็ไม่ได้เข้าใจยากนัก
เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้ว อารมณ์ของเขาก็ดีขึ้นมากจึงยื่นมือออกไปหวังจะลูบหัวของเฟิ่งชิงหัว แต่กลับไม่คิดว่าเมื่อไปถึงนอกเมือง รถม้าก็กระโดดจนเฟิ่งชิงหัวตัวโยนขึ้น ทำให้มือของเขาฟาดไปที่หัวของเฟิ่งชิงหัว
ผิวของนางบอบบาง ทำให้ปรากฎรอยแดงขึ้นมา
เฟิ่งชิงหัวชะงัก จากนั้นจึงเอามือกุมไปที่หน้าผากของนางที่ปรากฎรอยแดง จากนั้นจึงจ้องเขม็งไปที่จ้านเป่ยเซียว “ทำไมท่านต้องตีข้าด้วย”
จ้านเป่ยเซียวมีหรือจะยอมพูดความตั้งใจที่แท้จริงของตนเองออกมา จึงแสร้งทำเป็นกระแอมอย่างจริงจัง “ข้าอยากให้เจ้าระมัดระวังกิริยาของเจ้าเอาไว้บ้าง เวลาจะนั่งหรือเดินก็ต้องคอยระวังกิริยา ต่อให้ไม่มีคนนอก เจ้าก็ต้องระวัดระวังท่าทางของเจ้าให้ดี”
เฟิ่งชิงหัวมองไปที่ไหล่ของจ้านเป่ยเซียวที่ตรงราวกับผนังรถม้า ขาทั้งสองก็ราบไปกับพื้น ดูแล้วสง่างามอย่างยิ่ง เมื่อหันมาดูตัวเองแล้วก็รู้สึกไม่น่าดูเลยสักนิด
เฟิ่งชิงหัวบ่นเบาๆ “เมื่อครู่นี้ยังบอกว่าจะให้อิสระกับข้าอยู่เลย สุดท้ายตอนนี้ก็เริ่มควบคุมข้าเสียแล้ว นึกอยากเปลี่ยนก็เปลี่ยน”
เฟิ่งชิงหัวไม่อยากนั่งหลังตรงเช่นนั้น และกลัวว่าจ้านเป่ยเซียวจะบ่นให้นางฟังไปเรื่อยจึงรีบเลิกผ้าม่านขึ้น บรรยากาศที่ดูมืดสลัวจึงปรากฏแสงสว่างลอดเข้ามาและสาดแสงมาต้องใบหน้าของจ้านเป่ยเซียว เขาจึงยกแขนเสื้อขึ้นมาบังเอาไว้
จากนั้นจึงได้ยินเสียงของนางเอ่ยว่า “ท่านอ๋อง นอกเมืองทิวทัศน์ไม่เลวเลย ข้าว่าถนนเส้นนี้น่าจะพาไปทางหมู่บ้านนั้นของท่าน ไม่รู้ว่าข้าวที่พวกเราปลูกเอาไว้ครั้งที่แล้วเป็นอย่างไรบ้าง องุ่นที่อยู่ในไร่องุ่นไม่รู้ว่าใหญ่ขึ้นบ้างแล้วหรือยัง”
จ้านเป่ยเซียวรู้ทั้งรู้ว่านางต้องการที่จะเบี่ยงเบนความสนใจ แต่ก็ยิ้มเพราะคำพูดของนางและเอ่ยปากว่า “หากเจ้าอยากเห็น เดี๋ยวข้าจะพาเจ้าไปดู”
กอต้นกกเขียวชอุ่มที่อยู่ชานเมืองเวลานี้ราบไปกับพื้น เมื่อเข้าไปลึกกว่านี้ก็จะถึงสถานที่เกิดเหตุ ปากทางเข้ามีเจ้าหน้าที่เฝ้าอยู่
ลึกเข้าไปในกอต้นกก มีศพอยู่สองสามร่างที่มีผ้าคลุมเอาไว้ด้านบนแล้ว และด้วยยังไม่รู้ว่าสามารถติดเชื้อได้หรือไม่จึงไม่มีใครกล้าสัมผัส แม้แต่ขุนนางชันสูตรศพเองก็ได้แต่ยืนมองอยู่ไกลๆและสืบข้อมูลจากเบาะแสรอบๆ เพื่อหาเวลาเสียชีวิต
บริเวณที่มีศพได้เอาเชือกมาล้อมรอบเอาไว้แล้วเป็นสี่เหลี่ยม นับว่าเป็นพื้นที่ปลอดภัย
ตอนนี้เหยียนหรูชิงกำลังยืนอยู่กับขุนนางชันสูตรศพสองสามคน และก้มหน้าคุยกันเป็นพักๆ
เขาสั่งคนให้ไปยืมตัวเจ้าหน้าที่จากกรมคลัง ทว่าหน่วยงานที่ปกติแล้วว่างจนนั่งตบยุง เมื่อได้ยินว่าอาจมีการติดเชื้อก็รีบบอกว่าช่วงนี้งานยุ่งจนไม่สามารถส่งเจ้าหน้าที่มาได้ แถมยังกล่าวถากถางอีกสองสามประโยค
“ใต้เท้าเหยียน เจ้าหน้าที่ศาลาว่าการพระนครของพวกท่านปกติแล้วก็มีความสามารถมากกว่ากรมคลังของพวกเราอยู่แล้ว ท่านมาขอยืมคนจากพวกเราเห็นว่าเป็นเรื่องตลกหรือ คนของพวกเราแต่ละคนไม่มีใครมีความสามารถขนาดนั้น จะไปสู้พวกของท่านที่มีฉลาดและไหวพริบดีเยี่ยมได้อย่างไร หากคนที่ข้าให้ท่านยืมไปก่อเรื่องเสื่อมเสียขึ้นมาจะทำอย่างไร”
“ใต้เท้าเหยียน ไม่ใช่ว่าข้าไม่ช่วยท่านนะ แต่เป็นเพราะไม่มีความสามารถจริงๆ ตอนนี้พวกเรามีคดีเยอะเกินไป ไม่สู้ท่านไปลองถามจากกรมพลเรือนดูล่ะ”
เหยียนหรูชิงเป็นคนเที่ยงตรง สิ่งที่ไม่ชอบมากที่สุดก็คือการใช้เส้นสายลับๆ กับขุนนาง ดังนั้นเขาจึงไม่ค่อยมีความสัมพันธ์กับคนอื่นมากเท่าไหร่นัก ต่อให้ไปกรมพลเรือนก็ต้องถูกไล่กลับมาอยู่ดี
ในตอนนั้นไป๋จื่อหยางกำลังเขียนรายงานอยู่อีกด้าน ส่วนขุนนางชันสูตรอีกสองคนก็กำลังอ่านเอกสารที่เกี่ยวข้องอยู่ และยังคงไม่สามารถสรุปใจความอะไรได้ทั้งนั้น
ขณะนั้นเอง เจ้าพนักงานที่เฝ้าอยู่ด้านนอกก็วิ่งเข้ามา “ใต้เท้า ท่านอ๋องเจ็ดและพระชายามาถึงแล้วขอรับ”
เหยียนหรูชิงได้ยินดังนั้นสีหน้าก็ชะงักไป จากนั้นจึงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงไม่ดีนัก “พวกเขามาทำอะไร ที่นี่ยังวุ่นวายไม่พออีกหรือ”
ไป๋จื่อหยางได้ยินดังนั้นกลับเงยหน้าขึ้นมาทันที ในสายตาของเขาเต็มไปด้วยความยินดี “พระชายามาหรือ อยู่ที่ไหน ข้าจะไปเชิญ”
“จื่อหยาง เจ้า……”
“ใต้เท้าอาจจะไม่รู้ว่าคดีศพกระดูกขาวที่เกิดขึ้นในวังหลวงก่อนหน้านั้น ตอนที่เหตุการณ์เกิดขึ้นพระชายาอ๋องเจ็ดก็อยู่ในที่เกิดเหตุด้วย และได้กล่าวความเห็นมากมายที่จื่อหยางไม่เคยอ่านเจอมาก่อนจากในตำรา บางทีรอยสีแดงแปลกประหลาดบนร่างสองสามร่างนี้ ด้วยความรู้อันกว้างขวางของพระชายาอาจจะพอรู้ข้อมูลอะไรบ้างก็เป็นได้”
เหยียนหรูชิงได้ยินดังนั้นก็เอามือลูบเคราของตนเอง แต่ยังคงกล่าวอย่างลังเลว่า “แต่ว่าด้วยฐานะของพวกเขา หากเกิดเรื่องอะไรผิดคาดขึ้น ข้าจะปฏิเสธความรับผิดชอบก็คงไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น……”
เหยียนหรูชิงไม่กล้าพูดคำพูดหลังจากนั้น สิ่งที่เขาคิดก็คือ ท่านอ๋องเจ็ดมีนิสัยแปลกประหลาด หากเกิดเรื่องขึ้นกับพระชายาอ๋องเจ็ด ความรับผิดชอบทั้งหมดคงตกมาอยู่ที่เขา
เขาไม่เคยแอบทำเรื่องหมกเม็ด และไม่เคยกลัวอะไร แต่หากต้องทำให้ครอบครัวเดือดร้อนเพราะเรื่องนี้ เขาก็คงไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น
ในขณะที่กำลังลังเลอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงก้องกังวานของสตรีดังลอยมาตามลมจากไกลๆ “กอกกพวกนี้สูงใช้ได้เลย ตอนแรกคิดว่าเดินไม่กี่ก้าวก็ถึง คิดไม่ถึงว่าจะไกลขนาดนี้ รู้แต่แรกคงตัดต้นกกพวกนี้ทิ้งแล้วเอารถม้าเข้ามาก็ดี”
เหยียนหรูชิงได้ยินดังนั้นก็ส่ายหน้า ในใจของเขาคิดว่า คงเป็นคุณหนูอ่อนแอคนหนึ่งถึงคิดได้พูดว่าจะเอารถม้าเข้ามาในสถานที่แบบนี้ได้
แม้ว่าจะคิดเช่นนี้กลับเดินเข้าไปข้างหน้าแล้วทำความเคารพ “คารวะท่านอ๋อง พระชายา”
คนอื่นๆ ต่างพากันนั่งคุกเข่าลง
หลังจากลุกขึ้นยืนแล้วไป๋จื่อหยางก็รีบเอ่ยอย่างร้อนใจว่า “พระชายาขอรับ เชิญพระชายาช่วยตรวจสอบว่าศพสองสามร่างนี้มีอะไรผิดแปลกตรงไหนหรือไม่”
เฟิ่งชิงหัวพยักหน้าจากนั้นเดินเข้าไปใกล้เขตที่ล้อมเอาไว้อย่างสบายใจ จากนั้นจึงเลิกผ้าคลุมศพออก ทุกคนที่เห็นการกระทำของนางเช่นนั้นก็ได้แต่จ้องจนตาเบิกค้าง