พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 188 ป้อนอาหาร
เฟิ่งชิงหัวมองดูจ้านเป่ยเฉินที่เต็มไปด้วยความเย็นชา จากนั้นก็หันไปมองท่านอ๋องเซลล์เดียว รู้สึกเพียงว่าเมื่อทั้งสองคนยืนอยู่ด้วยกันมันให้ความรู้สึกน่ารักอย่างตลก ๆ
“คือว่า ท่านอ๋อง พวกเราแน่ใจหรือว่าจะยืนอยู่ที่หน้าประตู เลี้ยงยุงต่อไป?” เฟิ่งชิงหัวกล่าว และดึงแขนเสื้อของตัวเองอย่างเป็นตุเป็นตะ
จ้านเป่ยเซียวได้ยินเช่นนั้น ก็จับมือของเฟิ่งชิงหัวด้วยมือข้างหนึ่ง และผลักจ้านชิงอิงออกไปหลายก้าว จากนั้นก็เดินเข้าไปในตำหนัก
จ้านชิงอิงเดินตามฝีเท้าของทั้งสองคนเข้าไป สายตาตกอยู่ที่ขาของทั้งสองคน
ขาของพี่เจ็ดหายดีแล้ว เดินได้อย่างมั่นคง ไม่เลวเลย
พี่สะใภ้เจ็ดของเขา เท้าก็ไม่ได้เดินกะโผลกกะเผลกเช่นเดียวกัน ดูท่าแล้วพี่เจ็ดยังคงมิอาจตัดใจ
ไทเฮามองดูทั้งสองคนที่มีท่าทางสนิทสนมกัน ก็ได้กล่าวขึ้นมาอย่างเย็นชา: “ข้าไม่สามารถแม้แต่จะเชิญพวกเจ้ามาทานอาหาร เจ้าเจ็ดตอนนี้เจ้าไม่เห็นข้ออยู่ในสายตาแล้วจริง ๆ”
จ้านเป่ยเซียวเงียบกริบ ไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว สวมหน้ากาก ทำให้มองสีหน้าของเขาไม่ออก ทว่าไม่ต้องดูก็สามารถรู้ได้ ไทเฮาถูกเขาเมินเฉยใส่จนชินแล้ว
จากนั้นก็ได้เลื่อนสายตาไปยังเฟิ่งชิงหัว: “อ๋องเจ็ดเป็นคนไม่เห็นผู้อื่นอยู่ในสายตาแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร แล้วชายาเจ็ดเล่า หรือว่าจะเลียนแบบเขาเช่นนั้นหรือ? จวนเฉิงเซี่ยงสอนให้เจ้าเป็นภรรยาคนอื่นเช่นนี้หรือ?”
กล่าวไป ข้ากล่าวหาเช่นนี้ก็ได้ถูกสวมให้กับนาง
เฟิ่งชิงหัวสัมผัสได้ว่าจ้านเป่ยเซียวที่อยู่ด้านข้างไม่ค่อยจะพอใจนัก บีบมือของเขา จากนั้นก็ดึงมือออกมาจากฝ่ามือของเขา เดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว และหยิบเอาถุงผ้าเล็ก ๆ ใบหนึ่งออกมาจากอ้อมแขน
“เสด็จย่าเข้าใจผิดแล้วเพคะ หลานสะใภ้ได้ยินมาว่าเนื่องจากไม่กี่วันนี้อากาศแห้งแล้ง ทำให้พระองค์อารมณ์ไม่ดีนัก ดังนั้นจึงให้ท่านอ๋องพาหลานสะใภ้ไปที่สวนบุปผาหลวงเพื่อทำถุงหอมดอกไม้สด นำติดตัวไว้ตลอดเวลา สามารถทำให้สมองตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา”
ข้าหลวงได้ยินดังนั้นก็ได้นำกระเป๋าผ้าไปมองให้กับไทเฮา
ไทเฮาถือขึ้นมาลองดมดู กลิ่นหอมทำให้นางชอบจริง ๆ ไม่นับว่าหอมจนเกินไป และไม่ฉุนจมูก ดูแล้วไม่เลวเลย ทำให้ความโมโหหายไปถึงสามส่วน ได้แต่กล่าวด้วยน้ำเสียงฮึดฮัด: “ต่อให้ทำไปเพื่อข้าก็ไม่ควรที่จะให้ข้ารอนานเช่นนี้”
เฟิ่งชิงหัวพยักหน้าแต่โดยเร็ว: “เสด็จย่าทรงตรัสถูกต้องเพคะ คราวหน้าหลานสะใภ้จะต้องรีบมารับฟังคำสั่งสอนของเสด็จย่าแต่โดยเร็ว”
คราวนี้ แม้แต่คำพูดสุดท้ายที่ไทเฮาต้องการจะพูดยังถูกตัดหนทาง จึงได้แต่อืมยาว ๆ หนึ่งครั้ง: “นั่งเถอะ”
ฮองเฮาที่อยู่ด้านข้างต่างตกตะลึงด้วยความประหลาดใจ
จะต้องรู้ว่า เคยมีพระชายาองค์หนึ่งที่ไม่เป็นที่รักของไทเฮา ถูกจงใจหาเรื่องเอาผิดเพื่อลงโทษ สุดท้ายก็ได้ร้องไห้กลับไป
คิดไม่ถึงว่าหลานสาวคนนี้ของตน อายุยังน้อย แต่กลับเฉลียวฉลาดทันคน
คิดถึงตอนที่ตัวเองข่มขู่นางต้องการให้นางเป็นหูเป็นตาให้ตน มันช่างตลกเสียจริง ไม่แน่ว่าตอนนั้นภายในใจของนานคงเย้ยหยันตนเองมาก คิดอยู่เช่นนี้ ฮองเฮาก็อดไม่ได้ที่จะถลึงตาใส่เฟิ่งชิงหัว
ไม่นานนัก เครื่องเสวยก็ได้ถูกนำมาวาง อาหารยี่สิบกว่าชนิดถูกวางอยู่เต็มโต๊ะ ทั้งหกคนนั่งลงรอบโต๊ะกลม มิได้สนทนาใด ๆ ต่างพากันต้องใจเสวยอาหาร
ทันใดนั้นเอง สายตาของฮ่องเต้เซวียนถ่งก็ได้จับจ้องมองไปยังจุดจุดหนึ่ง จากนั้น ก็เป็นฮองเฮา ไทเฮา และท้ายที่สุดจ้านชิงอิงผู้โง่เขลาก็ได้รู้สึกตัวขึ้นมาอย่างเชื่องช้าและมองไปยังจุดนั้นอย่างพร้อมเพรียง
ก็ได้พบว่าจ้านเป่ยเซียวได้ใช้ตะเกียบกลางคีบอาหารใส่ถ้วยของพระชายาเจ็ดอย่างไม่หยุด ในถ้วยใบนั้นมีอาหารกองกันอยู่จนแทบจะกลายเป็นภูเขาลูกเล็ก ๆ อยู่แล้ว
เดิมทีเฟิ่งชิงหัวมิได้ใส่ใจนัก ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นและเผชิญเข้ากับสายตาของผู้คนที่อยู่ตรงข้าม จึงได้มองลงไปยังถ้วยใบเล็กด้วยเหมือนกัน
เฟิ่งชิงหะวรู้สึกตัวกลับคืนมา ยิ้มกล่าว: “ท่านอ๋อง อาหารพวกนี้ไม่เลวเลย ท่านสามารถทานได้อย่างวางใจ”
ได้ยินดังนั้น สีหน้าของทุกคนถึงได้ผ่อนคลายลง ที่แท้ก็เพียงแค่ลองอาหารเท่านั้นเอง
จ้านเป่ยเซียวไม่ได้อธิบายอะไร เพียงแต่ก็ยังคงคีบอาหารให้เฟิ่งชิงหัวต่อไป ด้วยท่าทางที่ว่าจะต้องเลี้ยงจนเจ้าอิ่มอย่างไรอย่างนั้น