พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 19 ท่านอ๋องนกเขาไม่ขัน
พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 19 ท่านอ๋องนกเขาไม่ขัน
เฟิ่งชิงหัวก้มหน้ามองดูจุดแดงพรหมจรรย์บนข้อมือของตนเอง ใบหน้าแสดงท่าทีอึดอัดใจที่จะพูดออกมา ปิดใบหน้าของตนเอาไว้เหมือนว่าวินาทีต่อมาก็จะเป็นล้มอย่างไรอย่างนั้น “เซียงเสว่ ข้ามีเรื่องจะเล่าให้เจ้าฟัง ข้าเล่าให้เจ้าฟังคนเดียว เจ้าอย่าได้บอกคนอื่นอย่างเด็ดขาด”
ทันใดนั้นเซียงเสว่ก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา เห็นทีคงจะเป็นเรื่องที่เป็นความลับอย่างแน่นอน
ไม่แน่ว่าอาจจะสามารถเอาไปบอกกับฮูหยินเพื่อประโยชน์ของตนเองก็เป็นได้
ด้วยเหตุนี้เซียวเสว่ก็เริ่มทำการแสดงขึ้นมา รีบเดินเข้าไปประคองเฟิ่งชิงหัวเอาไว้ ประคองให้นางนั่งลงข้างๆ เอ่ยขึ้นราวกับเป็นคนรู้ใจของคุณหนู “คุณหนูพูดมาเถอะ เซียงเสว่ไม่มีทางบอกใครแน่นอน ”
เฟิ่งชิงหัวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเศร้า “เดิมทีข้าได้หมั้นหมายกับองค์รัชทายาท แต่คิดไม่ถึงว่าจะถูกเปลี่ยนเป็นท่านอ๋องเจ็ดอย่างกะทันหัน ข้าดวงชะตาไม่ดี แม้จะเสียใจแต่ก็ต้องยอมรับ ได้แต่หวังว่าท่านอ๋องจะรักและสงสารข้าบ้าง ให้ข้าได้มีที่ยืนในจวนอ๋อง แต่กลับคิดไม่ถึงว่า คิดไม่ถึงว่า ท่านอ๋องเขา นกเขาไม่ขันแล้ว”
เมื่อพูดถึงจุดที่เศร้าเสียใจ สองมือก็ปิดหน้าร้องไห้ออกมา เปล่งเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น
“ข้ารู้ ข้ารู้ ท่านอ๋องได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนั้น จุดนั้นจะไม่มีปัญหาได้อย่างไร ไม่เช่นนั้นจวนอ๋องที่ใหญ่โตขนาดนี้จะไม่มีแม้แต่รองพระชายาหรือเมียทาสเลยได้อย่างไร ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง เป็นเช่นนี้นี่เอง”สีหน้าของเซียงเสว่ผิดปกติไปเล็กน้อย
เดิมทีนางถูกส่งมาให้ปีนขึ้นเตียงท่านอ๋อง ขอเพียงสามารถอยู่ในสายตาของท่านอ๋อง ก็จะสามารถกดขี่หนานกงเยว่ลั่วไว้ในกำมือไม่ให้อยู่เหนือตนเองได้ แต่ว่าตอนนี้ ท่านอ๋องไม่เพียงแต่เป็นคนที่นกเขาไม่ขันแล้ว ยังชอบทรมานผู้หญิงเพราะอาการป่วยด้วย นางควรจะทำอย่างไรดี
เซียงเสว่รู้สึกสับสนในใจมาก
ฐานะสูงส่งก็อยากได้ แต่ชีวิตก็สำคัญมาก
“เซียงเสว่ เซียงเสว่ เจ้าว่าข้าควรจะทำอย่างไรดี”ท่าทีของเฟิ่งชิงหัวเต็มไปด้วยความสับสนและเจ็บปวด
“ไม่ได้การ ไม่ได้การ ข้าต้องคิดดูดีๆก่อน ต้องวางแผนดีๆ”สีหน้าของเซียวเสว่กระวนกระวายพยายามดิ้นรนให้พ้นจากมือของเฟิ่งชิงหัว วิ่งออกไปข้างนอกทันที
เฟิ่งชิงหัวเช็ดน้ำตาและลุกขึ้น เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์
ฮึ ไม่ให้ข้ากินข้าว ข้าก็จะทำให้ข่าวลือเรื่องนกเขาไม่ขันของท่านแพร่กระจายจนรู้กันทั่ว
เฟิ่งชิงหัวฮัมเพลงเดินกลับไปนอนกลางวันที่ห้อง
พอนอนก็หลับไปสามชั่วยามเต็มๆ รู้สึกแจ่มใสมาก หลังจากนอนตื่นแล้วเฟิ่งชิงหัวก็รู้สึกหิวขึ้นมาบ้างแล้ว
คิดว่าจะไปหาของกินที่ห้องครัวของจวนอ๋องสักหน่อย เมื่อเดินผ่านเรือนหลังหนึ่งก็ได้ยินเสียงร้องของสัตว์จำนวนไม่น้อยเลย ด้วยเหตุนี้จึงใช้วิชาตัวเขากระโดดขึ้นไปดูบนหลังคา
ที่แท้ก็มีการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงไว้ในเรือนไม่น้อยทีเดียว มองดูทุกตัวที่ดูจะกระตือรือร้นมาก ทำเอาความอยากอาหารเพิ่มขึ้นเป็นกอง ในสมองเกิดรายการอาหารต่างๆขึ้นมาเป็นพรวน
**
ในห้องหนังสือ จ้านเป่ยเซียวกำลังอ่านม้วนหนังสือในมือ จิ่งยี่เดินไปมาอยู่ข้างๆไม่หยุด
“นี่เป็นการลงโทษอะไรของท่าน ท่านจะลงโทษก็ต้องให้นางคุกเข่าจนแผ่นหินสึกสักสามแผ่น ใช้ปากปลอกเปลืองเหอเถาสิบชั่ง ให้คัดลายมือคัมภีร์ลัทธิเต๋าร้อยรอบ นับเมล็ดถั่งแดงหนึ่งหมื่นเมล็ด”จิ่งยี่เอามือไขว้หลังพลางพูดอย่างตำหนิ
“อืม ข้อเสนอแนะไม่เลว เตรียมไว้ใช้ครั้งหน้าแล้วกัน”จ้านเป่ยเซียวยิ้มมุมปาก เมื่อนึกขึ้นมาว่าหญิงคนนั้นชอบการกินขนาดไหน ไม่ให้นางกิน ต้องทำให้นางโมโหมากแน่ๆ
จิ่งยี่นึกถึงหญิงคนนั้นที่ดูอวดดีมาก ก็ส่ายหน้าไปมา “ไม่ได้ ข้าคิดว่าหญิงคนนั้นไม่มีทางเชื่อฟังสิ่งที่ท่านลงโทษโดยดีแน่ ข้าต้องไปดูเสียหน่อย ข้าต้องไปจับตาดูเอาไว้”
จิ่งยี่ว่าแล้ว ก็มองศิษย์พี่ของตนเอง เห็นดวงตาที่ขรึมเข้มของชายหนุ่ม ลึกล้ำยากจะคาดเดา ทำให้ไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ
เขาไม่ได้คัดค้าน และไม่ได้เห็นด้วย ทำหน้าเหมือนไม่สนใจ ยิ่งทำให้เดาใจได้ยากมากขึ้น
“ศิษย์พี่ ท่านจะไปดูพร้อมกับข้าหรือไม่”
จิ่งยี่จ้องมองจ้านเป่ยเซียว รอเขาตัดสินใจ ถ้าหากเขาบอกไม่ไป เช่นนั้นเขาก็ไม่ไป จะเป็นการแสดงออกมาเขาให้ความสนใจหญิงสาวคนนั้นมากเกินไป
ใบหน้าที่เย็นชาราวกับน้ำแข็งของเขามีอารมณ์อย่างหนึ่งผุดขึ้นมา รวดเร็วมาก ทำให้จิ่งยี่ไม่ทันจับสังเกต และได้ยินชายหนุ่มพูดขึ้นว่า “แล้วแต่เจ้า”
แล้วแต่เขา
จิ่งยี่นิ่งอึ้งไป จากนั้นก็หัวเราะออกมา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็ไปกันตอนนี้เลย ถึงตอนนั้นพวกเราค่อยไปจัดเลี้ยงที่เรือนของนาง กินอาหารมื้อใหญ่ต่อหน้านาง ให้นางเห็นแต่ไม่ได้กิน ให้นางอกแตกตายไปเลย”
จ้านเป่ยเซียวมองดูเขาที่ทำท่าขยิบตา มุมปากก็กระตุกขึ้นมา เบือนสายตาไปทางอื่น
ทั้งสองคนไม่ทำให้คนอื่นรู้ตัว ไปที่เรือนของเฟิ่งชิงหัวอย่างไร้สุ้มเสียง