พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 205 ห่อลูกอมกระต่ายสีขาว
“หรือไม่ท่านก็หันหลังให้ข้า เดี๋ยวข้าจะเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ท่านฟังก่อนแล้วค่อยไปอาบน้ำ”
“ตัวเจ้าสกปรกขนาดนี้เจ้าไม่รำคาญตัวเองบ้างหรือไง เจ้าเป็นผู้หญิงอยู่หรือไม่” จ้านเป่ยเซียวกล่าวอย่างรังเกียจ
เฟิ่งชิงหัวเบะปาก เหตุการณ์มันคับขันขนาดไหนแล้วยังมีเวลามาสนใจเรื่องคนอื่นอาบหรือไม่อาบน้ำ สะอาดหรือไม่สะอาดอยู่อีก นางหันหลังเตรียมจะเดินไปข้างนอก แต่เดินไปได้แค่สองก้าวก็หันหลังมาเอ่ยว่า “หรือว่าข้าจะอาบน้ำตรงนี้ดี ส่วนท่านอยู่ด้านนอกฉากกั้น ข้าอยากเล่าให้ท่านฟังจริงๆ”
เหตุการณ์วันนี้น่าตื่นเต้นจะแย่ ไม่มีคนรับฟังจะได้อย่างไร
คืนที่ผ่านมานี้เป็นคืนที่นางไม่ได้ใช้ยาพิษและไม่ได้ใช้วรยุทธ์ แต่อาศัยเพียงความกล้าหาญและสติปัญญาของตัวเองเท่านั้นถึงสามารถพ้นวิกฤตครั้งนี้ออกมาได้
จ้านเป่ยเซียวมองนางด้วยสายตาลึกล้ำ “นี่เจ้ากำลังเชื้อเชิญข้าอยู่หรือ”
เฟิ่งชิงหัวรู้สึกหนาวสันหลัง จากนั้นรีบมองตัวเองแล้วเอ่ยอย่างเกินจริงว่า “โอ้โห ทำไมตัวข้าถึงสกปรกขนาดนี้นะ โธ่เอ๊ย สกปรกมาก ไม่ได้ๆ ข้าต้องไปอาบน้ำก่อน สกปรกขนาดนี้ทนไม่ไหวหรอก”
ระหว่างที่กล่าวก็รีบเปิดประตูขึ้นอย่างรวดเร็วแล้ววิ่งกลับไปยังที่พักของตนเอง และสั่งให้คนเตรียมอ่างอาบน้ำไว้ให้ตน
เมื่อเข้าไปนั่งในอ่างอาบน้ำแล้วโดยมีน้ำอุ่นๆ โอบรอบกายของตนเองไว้ เฟิ่งชิงหัวก็ส่งเสียงครางออกมาอย่างผ่อนคลาย
หลังจากที่แช่น้ำจากน้ำอุ่นกลายเป็นน้ำเย็นแล้ว เฟิ่งชิงหัวก็ลุกออกมาอย่างทำใจไม่ได้ นางเปลี่ยนชุดแล้วค่อยๆ เช็ดผมก่อนจะเดินออกมาข้างนอก ขณะที่เตรียมจะนอนลงบนเตียง นางก็เหลือบไปเห็นจ้านเป่ยเซียวกำลังนั่งจิบชาอยู่อีกด้านหนึ่ง
“เจ้าอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” เฟิ่งชิงหัวเอ่ยอย่างตกใจ ตอนนี้นางได้เปลี่ยนมาใช้ใบหน้าของหนานกงเยว่ลั่วแล้ว เนื่องจากคนในจวนอ๋องเจ็ดคนอื่นๆ ไม่มีใครรู้ว่านางคือพระชายาปลอม
สายตาของจ้านเป่ยเซียวมองผ่านใบหน้าของนางไปแล้วกล่าวช้าๆ ว่า “ไม่ค่อยได้เห็นใบหน้าของตัวเองเช่นนี้ วันๆ เอาแต่ใช้ใบหน้าของคนอื่น เจ้าไม่รู้สึกว่าเศร้าใจบ้างหรือ”
เฟิ่งชิงหัวสะบัดผ้าแห้งที่เอาไว้เช็ดผมแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน “ไม่เป็นไรสักหน่อย อย่างไรข้าก็มองไม่เห็นอยู่ดี”
“ตัวเองหน้าตาเป็นอย่างไรก็รู้อยู่แก่ใจไม่ใช่หรือ? คิดว่าอาศัยใบหน้าของคนอื่นแล้วจะไม่มีใครรู้งั้นหรือ ของที่ไม่ใช่ของของตนเองอย่างไรก็ไม่ใช่ เรื่องแค่นี้เจ้าไม่เข้าใจหรือ” จ้านเป่ยเซียวกล่าวพลางจิบน้ำชาและทำท่าทางราวกับผู้ทรงศีล
เฟิ่งชิงหัวได้ยินคำพูดของเขาก็อดไม่ได้ที่จะกัดฟันแน่น ยังดีที่เป็นเพียงเครื่องหนังเท่านั้น หากเป็นใบหน้าจริงๆ ของคน ถูกเขาต่อว่าขนาดนี้คงจะน่าสงสารแย่
และเพราะเหตุนี้เอง ทำให้อารมณ์ของนางที่เดินออกมาอย่างสบายใจหลังจากอาบน้ำเสร็จถูกทำลายไปแทบไม่เหลือ
“คำพูดพวกนี้ท่านเอาไว้พูดกับตัวเองเถิด! ท่านหน้าตาเป็นอย่างไรตัวท่านเองไม่รู้หรืออย่างไร คิดว่าใส่หน้ากากไปเรื่อยๆ แบบนี้แล้วคนอื่นจะไม่รู้หรือว่าท่านเสียโฉม หลอกลวงคนอื่นทั้งวันทั้งคืนแบบนี้สนุกมากหรือไว คิดว่าตัวเองยังเป็นชายรูปงามที่สุดที่เมืองเทียนหลิงอยู่อีกหรือ” เฟิ่งชิงหัวเอ่ยเสียงแข็ง
“เจ้าคิดว่าข้าสนใจชื่อเสียงจอมปลอมแบบนั้นหรืออย่างไร” จ้านเป่ยเซียวมองเฟิ่งชิงหัวอย่างดูแคลน
“ท่านไม่เห็นค่างั้นหรือ ท่านไม่เห็นค่าแล้วท่านต่อว่ารูปโฉมของข้าทำไม”
“ข้าไม่ได้ต่อว่าเจ้า เพียงแต่พูดไปตามความจริงเท่านั้น”
“อย่างนั้นท่านก็เผยใบหน้ามาให้ข้าดูตามความจริงสิ ท่านจะใส่หน้ากากอยู่ทำไม ให้ข้าได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของท่าน ให้ข้าได้เห็นว่าเสียโฉมไปมากถึงขั้นไหนแล้ว จะได้ดูว่าเสียโฉมแล้วยังดูดีกว่าข้าหรือไม่”
“แน่นอนว่าต้องดูดีกว่าเจ้าอยู่แล้ว”
“คำพูดลมปาก ไร้หลักฐาน ถอดหน้ากากออกเถิด”
“อยากดูรึ” จ้านเป่ยเซียวคล้ายรู้สึกสนุกขึ้นมา เขาวางถ้วยน้ำชาลงแล้วมองไปที่เฟิ่งชิงหัว
“ไม่ดู” เฟิ่งชิงหัวเบือนหน้าหนีแล้วกล่าวอย่างเย่อหยิ่งว่า “ข้าไม่ใช่คนฉวยโอกาสแบบนั้นและข้าก็ไม่ใช่คนไร้ยางอายที่เหยียบย่ำซ้ำเติมคนที่มีบาดแผลอยู่แล้วแล้วโรยเกลือซ้ำ”
“ความหมายของเจ้าคือ ข้าคือคนที่ฉวยโอกาสและไร้ยางอายเหยียบย่ำซ้ำเติมคนอื่นงั้นหรือ” แววตาอันตรายของจ้านเป่ยเซียวหรี่เล็กลงพร้อมจ้องไปที่เฟิ่งชิงหัว
“ข้าไม่ได้พูดแบบนั้น ท่านสรุปไปเอง” เฟิ่งชิงหัวแค่นเสียงตอบด้วยอารมณ์คุกกรุ่น และค่อยๆ ปีนขึ้นเตียงไปเตรียมจะพักผ่อน
เหนื่อยล้ามาตลอดทั้งคืน ขึ้นเขาลงเขาเช่นนี้ อย่าหาว่านางพูดเกินจริงเลย หากคนที่พื้นฐานไม่ดีแรงจะยืนก็คงไม่มีด้วยซ้ำ แถมคนผู้นี้ยังคอยทำร้ายจิตใจคนอื่นเช่นนี้อีก เป็นคนที่ไม่รู้จักทะนุถนอมจิตใจกันเลยสักนิด วันหน้าใครที่อยู่กับเขาจะต้องมีแต่ความร้อนใจแน่
เฟิ่งชิงหัวครุ่นคิดไปพลางเอนตัวลง นางห่มผ้าแล้วเริ่มหาว
“ไหนบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะพูดกับข้าไง” จ้านเป่ยเซียวมองไปที่นางที่เตรียมจะเข้านอนแล้ว เขามองไปด้านนอกจึงพบว่าฟ้ากำลังจะสว่างแล้ว
ผู้ที่ฝึกวรยุทธ์การไม่นอนเพียงวันสองวันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร อีกอย่างแสงแดดแยงตาแบบนี้จะนอนหลับได้อย่างไร
เฟิ่งชิงหัวหันหน้าออกไปด้านนอกเตียงแล้วกลอกตาใส่จ้านเป่ยเซียว จากนั้นจึงเอาผ้าห่มคลุมศีรษะเอาไว้ “ตอนนี้ข้าไม่อยากพูดกับท่านแล้ว ท่านไปเถิด อย่ามารบกวนเวลานอนเพื่อความงามของข้า”
“ความงาม?” จ้านเป่ยเซียวเลิกคิ้ว
“ได้ๆๆ นอนเพื่อปรับปรุงให้งามขึ้นก็ได้ ท่านรู้สึกว่าข้าขี้เหล่ไม่ใช่หรือ ข้าก็ต้องฉวยโอกาสนี้นอนชดเชยหน่อยอย่างไรเล่า” เฟิ่งชิงหัวเอ่ยอย่างเหลืออด คนผู้นี้เจ้าคิดเจ้าแค้น น่ารำคาญนัก
“เฟิ่งชิงหัว!” จ้านเป่ยเซียวเอ่ยเตือน
“ไม่ต้องคุยกับข้าแล้ว ตอนนี้ข้าไม่อยากคุยกับท่าน ข้าอยากนอน!” ระหว่างที่กล่าว เฟิ่งชิงหัวก็พลิกตัว
จ้านเป่ยเซียวไร้คำพูด ทั้งๆ ที่เขาเห็นว่านางมีเรื่องรีบร้อนอยากคุยกับเขา เขาจึงตามมา ปรากฎว่าพอเขามาถึงที่นี่ นางกลับไม่ยอมพูดแล้ว ผู้หญิงคนนี้น่ารำคาญนัก
แม้ว่าเขาจะบอกว่านางอัปลักษณ์ก็จริง แต่เขาก็ไม่ได้บอกว่ารังเกียจนางนี่?
อีกอย่างเขาก็บอกกับนางไปแล้วว่าจะช่วยนางหาของบำรุงความงามมาให้ นางต้องแอบดีใจไม่ใช่หรือ
แต่ตอนนี้กลับให้เขานั่งรออยู่บนตั่งเย็นๆ แบบนี้อีก
จิตใจของผู้หญิงชั่งซับซ้อนยิ่งนัก
ยิ่งจ้านเป่ยเซียวคิดก็ยิ่งเสียใจ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่ยุติธรรม สุดท้ายเขาจึงรู้สึกโกรธขึ้นมา
ด้วยเหตุนี้เอง ท่านอ๋องเจ็ดที่ปกติมีนิสัยเงียบสุขุมตลอดมา ก็ได้ทำเรื่องที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังคิดไม่ถึง
เขาลุกยืนพรวดขึ้นแล้วเดินไปยังหัวเตียง จากนั้นยื่นมือออกไปอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าเพื่อหยิบฟูกที่นอนของเฟิ่งชิงหัวขึ้นมาแล้วขยับเปลี่ยนที่อย่างรวดเร็ว
เมื่อคืนมีฝนตกลงมาตลอดทั้งคืน ตอนเช้าอากาศจึงเย็นสบาย เมื่อโดนจ้านเป่ยเซียวรบกวนเช่นนี้ เฟิ่งชิงหัวจึงพยายามหดตัวหนี มือทั้งสองกอดตัวเองเอาไว้แล้วหลับตาลง
อุณหภูมิรอบกายของจ้านเป่ยเซียวเย็นยะเยือกลง เขายกมือเอาฟูกที่นอนพันรอบตัวของเฟิ่งชิงหัวเอาไว้จนมีสภาพราวกับลูกอมกระต่ายรสนมสีขาวเม็ดหนึ่ง
เฟิ่งชิงหัว “……”
จ้านเป่ยเซียวมองไปที่เฟิ่งชิงหัวจึงเห็นว่านางไม่ได้นอนหลับแต่แกล้งทำเป็นหลับ แววตาของเขาหมองคล้ำพลางเอื้อมมือไป
เปลือกของลูกอมกระต่ายรสนมถูกกระชากออก ทำให้อากาศเย็นๆ เคลื่อนผ่านเข้ามาอีกครั้ง
เขายกมือขึ้นอีกครั้งแล้วออกแรง
เฟิ่งชิงหัวถูกห่อเอาไว้แบบนั้น และถูกกระชากดึงออก หลังจากโดนจ้านเป่ยเซียวออกแรงซ้ำแล้วซ้ำเล่า สุดท้ายเฟิ่งชิงหัวก็รู้สึกคันจมูกจนจามออกมาเสียงดัง
นางจะเป็นหวัดเสียแล้ว!
ตอนนี้อารมณ์เดือดดาลของเฟิ่งชิงหัวก่อตัวขึ้นจนเอ่อล้น ราวกับกำลังจะปะทุออกมา
ทันใดนั้นเองนางก็ลุกพรวดขึ้นจากเตียง มือทั้งสองของนางเท้าเอวเอาไว้แล้วจ้องเขม็งไปที่จ้านเป่ยเซียว
“จ้านเป่ยเซียว! ท่านอายุกี่ขวบกันแล้ว! ท่านอย่าทำตัวปัญญาอ่อนแบบนี้! แก้แค้นข้าแบบนี้สนุกมากนักหรือ!” เฟิ่งชิงหัวอารมณ์เดือดปุดๆ
“ข้าบอกแล้วว่าข้าง่วง ท่านหูหนวกหรืออย่างไร ท่านลองขี่ม้าติดต่อกันสามชั่วยามดูบ้างสิ และลองเป็นเป้าให้คนอื่นสาดลูกธนูใส่และวิ่งพล่านไปทั่วภูเขาดูสิ? หากไม่ใช่เพราะข้าเป็นคนแข็งแกร่ง ป่านนี้ข้าคงตายอยู่บนภูเขาแล้ว!”