พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 232 วิธีช่วยเหลือ
“ท่านไม่เข้าใจ นี่คือวิธีช่วยเหลืออย่างหนึ่ง” เฟิ่งชิงหัวกล่าวอธิบาย
จ้านเป่ยเซียวยิ้มอย่างเย็นชา: “ข้าไม่เคยเห็นวิธีช่วยเหลือเช่นนี้มาก่อนเลย”
“ท่านไม่เคยเห็นนั่นเป็นเพราะท่านขาดความรู้ ท่านไม่เห็นเหรอว่าข้าช่วยท่านกลับคืนมาได้ ก่อนหน้านี้ชีพจรของท่านได้ผสมเข้าด้วยกัน หากไม่ใช่เพราะข้า ตอนนี้ท่านคงพิการไปแล้ว ไม่ใช่แค่สองเท้าไม่สามารถเดินได้ แต่เป็นทั่วทั้งร่างกาย เข้าใจหรือไม่”
“วิธีช่วยเหลือของเจ้า ได้ใช้กับคนอื่นมากี่คนแล้ว?” จ้านเป่ยเซียวกลับจับใจความสำคัญได้ หรี่ตาลง และจ้องมองเฟิ่งชิงหัวด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยอันตราย
“เรื่องนี้ต้องดูที่สถานการณ์ วิธีนี่ใช่ว่าจะใช้ได้ผลกับทุกคน”
“ความหมายก็คือ ถ้าหากใช้ได้ผล ไม่ว่าเป็นผู้ใดเจ้าก็จะใช้วิธีนี้เช่นนั้นหรือ?” จ้านเป่ยเซียวเอ่ยถาม และออกแรงดึงเฟิ่งชิงหัวหนักขึ้น
“อืม” เฟิ่งชิงหัวกล่าวอย่างขอไปที ภายในใจกลับคิดว่า นอกเหนือจากคนที่ชอบเสี่ยงชีวิตอย่างท่าน เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดจำเป็นต้องใช้การรักษาอย่างอลังการเช่นนี้
เพราะไม่ว่าอย่างไรเสีย เกรงว่าบนโลกใบนี้ คงไม่มีใครสามารถทนรับกับความเจ็บปวดเช่นนี้ได้ โดยเฉพาะการที่ต้องทุกทรมานกลับไปกลับมาเช่นนี้
แต่ทว่า หลังจากที่ได้ฟังเช่นนี้จ้านเป่ยเซียวก็มีท่าทางไม่ค่อยจะดีนัก ยื่นมือแล้วดึงเฟิ่งชิงหัวเข้ามา: “ในเมื่อเป็นวิธีในการรักษา เช่นนั้นข้าก็ใช้ให้มันหมดก่อน ดูสิว่าต่อไปเจ้าจะไปใช้กับคนอื่นได้อย่างไร”
กล่าวไปก็พลันจุมพิตเฟิ่งชิงหัวอย่างดุเดือด ถึงกระทั่งที่ได้กัดมุมปากของนางอย่างเป็นการลงโทษ
รอจนกว่าเฟิ่งชิงหัวจะสามารถสลัดหลุดได้ ที่มุมปากของทั้งสองคนย้อมไปด้วยสีแดงสด ดูน่ากลัวเล็กน้อย
เฟิ่งชิงหัวเช็ดเลือดที่มุมปาก ถลึงตาใส่จ้านเป่ยเซียว: “นี่ท่านเกิดปีหมาหรืออย่างไร?”
จ้านเป่ยเซียวทำเสียงฮึดฮัดอย่างเย็นชา: “เจ้าลวนลามข้าตั้งหลายครั้ง ข้าเพียงแค่เอาคืนเล็กน้อยเท่านั้น”
“ประสาทหรืออย่างไร” เฟิ่งชิงหัวลุกยืนขึ้นคิดจะจากไป ทว่าแขนยังถูกจ้านเป่ยเซียวจับเอาไว้ นางกล่าวอย่างเย็นชา: “ปล่อยนะ”
“ไม่ปล่อย”
“ท่านคิดจะทำอะไรกันแน่?”
จ้านเป่ยเซียวเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองการจะทำอะไร อย่างไรเสียก็คือไม่อยากจะปล่อยนาง ไม่อยากเห็นนางหลบหน้าตัวเอง
ทั้งสองคนเผชิญหน้ากันอยู่เช่นนี้
ทั้งสองมองสบตาซึ่งกันและกัน ราวกับกำลังแข่งขันกันอยู่
สุดท้ายเฟิ่งชิงหัวก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ นวดดวงตาที่รู้เจ็บเบา ๆ : “พอแล้ว เลิกเล่นได้แล้ว ข้าจะไปต้มยาให้ท่าน”
ได้ยินดังนั้น ท่าทีของจ้านเป่ยเซียวถึงได้อ่อนโยนขึ้นมาเล็กน้อย จ้องมองสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย เอ่ยถาม: “ที่นี่คือที่ไหน”
“ที่ของสหายของข้า ที่นี่มีสมุนไพรที่อุดมสมบูรณ์กว่า และยังอยู่ใกล้ เมื่อคืนจู่ ๆ ท่านก็สลบไป ข้าไม่มีเวลาส่งท่านไปรักษาที่วังหลวง”
สิ่งที่เฟิ่งชิงหัวไม่ได้กล่าวก็คือ จากอาการบาดเจ็บของจ้านเป่ยเซียว ถึงจะส่งเข้าวังไปก็ไร้ประโยชน์
จ้านเป่ยเซียวเอ่ยถามอย่างไม่ค่อยเชื่อนัก: “จะไปต้มยาให้ข้าจริง ๆ หรือ?”
“ไม่อย่างนั้นเล่า?” เฟิ่งชิงหัวเหลือบตามองบน
จ้านเป่ยเซียวพยักหน้า ถึงได้กล่าวขึ้นมา: “ทำอะไรทานด้วยนะ ข้าหิวแล้ว”
“จ้านเป่ยเซียว ข้ามิใช่แม่ครัวของท่าน!”
“ทานยาโดยที่ไม่ทานอาหาร ร่างกายของข้า จะสามารถย่อยได้หรือ?” จ้านเป่ยเซียวเลิกคิ้วมองนาง
เฟิ่งชิงหัวพูดไม่ออก ได้แต่กล่าว: “รู้แล้วน่า”
เมื่อจ้านเป่ยเซียวปล่อยมือ นางก็รีบวิ่งออกไปทันที ด้านนอกประตู หลิวหยิ่งได้หอบเสื้อผ้าชุดหนึ่งเอาไว้ และยังมีองครักษ์สองสามคนยืนอยู่ที่ด้านหลัง กำลังยกถังที่ใส่ไว้ด้วยน้ำสะอาดถังหนึ่งเอาไว้
เฟิ่งชิงหัวเข้าไปในห้องครัว ตักข้าวออกมาและเริ่มต้มโจ๊ก ไม่รู้ว่าอู่ตู๋จื่อมุดเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของนางก็รีบเข้ามาทันที: “เรื่องเช่นนี้จะให้ท่านลงมือได้อย่างไร ข้าทำเอง”
“ไม่ต้องหรอก เจ้าแค่ช่วยข้าต้มยาก็พอ ตำรับยาได้มอบให้เด็กไปแล้ว”
“ไม่เป็นไร ต้มยามอบให้เป็นหน้าที่ของพวกเขาก็พอ ท่านจะทำอาหารหรือขอรับ? ท่านอยากจะทานอะไร ข้าน้อยจะออกไปซื้อเอง”
“ไม่ต้อง ข้าจะต้มโจ๊ก”
“ข้าต้มโจ๊กเก่งมากเลยล่ะ ข้าทำเอง มือของท่านมิได้มีไว้ทำสิ่งพวกนี้”
“ไม่ต้อง” เฟิ่งชิงหัวขยับหลบ ไม่อยากจะบอกว่าตนทำให้กับบุรุษที่เรื่องเยอะเป็นพิเศษผู้นั้น อีกเดียวถ้าหากชิมแล้วรู้สึกว่ารสชาติไม่ดี คงต้องมีปากเสียงกันอีกเป็นแน่
เห็นแก่ที่เขายอมได้รับบาดเจ็บหนักเพื่อช่วยตนเองเช่นนี้ ก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรที่จะทำอาหารให้เขาทาน
อู่ตู๋จื่อไม่สามารถยื่นมือเข้ามาแทรกแซงได้ ได้แต่มองอาจารย์ย่าที่เปรียบเหมือนดั่งเทพเจ้าเริ่งลงมือนวดแป้ง ตั้งกระทะ รู้สึกเพียงว่าขัดหูขัดตาเอามาก
เมื่อเห็นว่าอู่ตู๋จื่อยังคงยืนอยู่ในห้องครัวยังไม่ออกไป เฟิ่งชิงหัวเลิกคิ้วกล่าว: “มีอะไรจะพูดหรือ?”
ถึงตอนนี้อู่ตู๋จื่อถึงได้เอามือลูบศีรษะของตนเอง: “อาจารย์ย่า ท่านมีแผนว่าอย่างไรกันแน่ เหตุใดถึงได้พาคนของหอไล่ตามเมฆามาที่นี่ด้วยเล่า พวกเขาและหอเงาโลหิตมีความสัมพันธ์ใกล้ชิด แถมยังเคยมีความขัดแย้งกับพวกเราอยู่สองสามครั้ง ถ้าหากตัวตนของพวกเราถูกเปิดเผยขึ้นมา จะไม่เท่ากับเป็นชักศึกเข้าบ้านหรอกหรือ?”
เฟิ่งชิงหัวกล่าวโดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้น: “ไม่เป็นไร มันคนละเรื่องกัน ข้าช่วยเขามิได้หมายความว่าจะกลายเป็นมิตรกับพวกเขา”
“เช่นนั้นท่านจะไม่ไปสนใจก็ได้นี่นา เหตุใดถึงได้ช่วยจ้านเป่ยเซียวเล่า หรือว่าท่านคิดจะรับสมัครเขาเข้ามาเป็นอาจารย์ปู่จริง ๆ”
บ้าบออะไรกัน?
เฟิ่งชิงหัวขมวดคิ้ว: “เจ้าน่ะต้องบำรุงสมองเยอะ ๆ หน่อย อย่าคิดมากจนเกินไป”
“อ่อ” อู่ตู๋จื่อกล่าวอย่างตะกุกตะกัก กำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูอย่างร้อนรนดังมาจากด้านนอก อู่ตู๋จื่อกล่าวอย่างหงุดหงิด: “ใครกันน่ะ แต่ละคนเคาะประตูราวกับจะรีบไปเกิดใหม่”
เฟิ่งชิงหัวไม่ได้ใส่ใจเรื่องที่เกิดขึ้นด้านนอก และทำงานในเมื่อต่อไป เป็นธรรมดาที่จะไม่รู้ว่าผู้ที่มาในเวลานี้นั้น คือแขกขาประจำของที่นี่ องค์หญิงซีหลันนั่นเอง
บาดแผบบนใบหน้าขององค์หญิงซีหลันได้ตกสะเก็ดไปนานแล้ว ทว่ากลับไม่หายดีเสียที แต่ไม่ได้ขยายใหญ่กว่าเดิม ซึ่งเรื่องนี้นั้นมันทำให้นางทั้งโกรธทั้งโมโห
“นี่ เจ้าอ้วน เจ้าใช่หมอเทวดาจริง ๆ หรือ นานขนาดนี้แล้วแผลของข้ายังไม่หายดีอีก!” เมื่อองค์หญิงซีหลันเข้าประตูมา ก็ได้เริ่มต่อว่าอู่ตู๋จื่อขึ้นมาทันที
อู่ตู๋จื่อมองดูองค์หญิงซีหลันที่สวมผ้าปิดหน้า หากไม่ใช่เพราะรู้ว่าคนผู้นี้อาจจะมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับอาจารย์ย่า แค่ที่นางบอกว่าตนเป็นหมอไร้ความสามารถก็เพียงพอให้เขาไล่นางออกไปแล้ว
อู่ตู๋จื่อไม่ได้พูดอะไรเลย เพียงแค่บอกว่า: “ก่อนหน้านี้เป็นช่วงการซ่อมแซมของผิวหนัง อีกครึ่งเดือน รับรองว่าใบหน้าของท่านจะต้องกลับเป็นเหมือนเดิมแน่”
“จริงหรือ?” องค์หญิงซีหลันสงสัยเล็กน้อย เพราะว่านางได้รับความทรมานจากบาดแผลนี้มานานมากจริง ๆ
“อีกครึ่งเดือนถ้าใบหน้าของเจ้ายังไม่หายดี ท่านสามารถเผาที่นี่ได้เลย”
“ได้ เช่นนั้นก็รักษาต่อไปเถอะ หากรักสามารถรักษาข้าให้หายดีได้ ข้ามีรางวัลให้อย่างงาม” องค์หญิงซีหลันกล่าว แล้วเดินตรงเข้าไปที่หลังเรือน ข้าหลวงที่ติดตามนางกำลังคิดจะเดินตามนางเข้าไป ได้ถูกอู่ตู๋จื่อขวางเอาไว้
อู่ตู๋จื่อกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม: “ด้านหลังเป็นพื้นที่ส่วนตัว พวกเจ้าจะเข้าไปไม่ได้”
“พวกเราเป็นคนขององค์หญิง”
“ต่อให้พวกเจ้าเป็นคนของฮ่องเต้ก็เข้าไปไม่ได้”
“เหตุใดเมื่อก่อนถึงเข้าไปได้เล่า”
“เจ้ายังอยากจะให้ใบหน้าองค์หญิงของเจ้าหายดีหรือไม่?” อู่ตู๋จื่อกล่าวเสียงเข้ม
องค์หญิงซีหลันหันกลับมา โบกมือ: “ไม่ต้องสนใจ เจ้าอ้วนคนนี้ไม่กล้าทำอะไรข้าหรอก”
ดังนั้น บรรดาข้าหลวงจึงได้พากันหยุดอยู่ที่หน้าประตู
องค์หญิงซีหลันเดินจากโถงด้านหน้าไปจนถึงหลังเรือน เดินอย่างหยิ่งผยอง ไม่เห็นตนเป็นคนนอกเลยสักนิด สายตามองไปมาอยู่ไม่หยุด
เหมือนว่า ธุรกิจของพวกเจ้าจะไม่ดีสักเท่าไหร่นะ ไม่เห็นจะมีคนมาเลย หากไม่ใช่เพราะว่าข้ามีบาดแผล เกรงว่าพวกเจ้าคงต้องปิดกิจการไปแล้วสินะ?” องค์หญิงซีหลันมีสีหน้าท่าทางได้ใจ ความหยิ่งผยองเต็มเปี่ยม
เมื่อหมอเทวดาที่เงินมากมายยังมิอาจเชื้อเชิญได้อย่างอู่ตู๋จื่อได้ยินเช่นนี้ก็เพียงยิ้มอ่อน ๆ รู้สึกเพียงว่าองค์หญิงท่านนี้ วัน ๆ เอาแต่เสแสร้งทำเป็นลึกล้ำมิอาจคาดเดา ความจริงแล้วก็เป็นเพียงแค่คนเขลาผู้หนึ่ง
เสียดายใบหน้าที่คล้ายคลึงกับอาจารย์ย่าของนางจริง ๆ เลย
“เอะ กลิ่นอะไร หอมจัง พวกเจ้าน่ะ ฝีมือด้านการแพทย์ไม่เท่าไหร่ แต่ฝีมือการทำอาหารกลับไม่เลวเลย เอามาให้ข้าหนึ่งชุด” องค์หญิงซีหลันกล่าวอย่างเย่อหยิ่ง
“ที่นี่ไม่มีอาหารขาย”
“ไม่ใช่ว่าข้าจะไม่ให้เงินเสียหน่อย รีบเตรียมให้ข้าชุดหนึ่งเร็วเข้า” องค์หญิงซีหลันขมวดคิ้วกล่าว วันนี้นางออกมาจากวังหลวงตั้งแต่เช้า ยังไม่ทันได้ทานอาหาร
อู่ตู๋จื่อกำลังจะปฏิเสธ เสียงของเฟิ่งชิงหัวก็ได้ดังมาจากทางห้องครัว: “เช่นนั้นก็ทำให้นางชุดหนึ่งแล้วกัน”
อู่ตู๋จื่อได้ยินดังนั้นก็ตอบขอรับ จากนั้นก็ได้พาองค์หญิงซีหลันเดินเข้าไปยังเรือนอีกด้านหนึ่ง จากนั้นก็โยนยาขี้ผึ้งขวดหนึ่งให้กับนาง: “ทาเอง”
“นี่นะหรือ?” องค์หญิงซีหลันมองดูขวดยาขี้ผึ้งที่เหลืออยู่เพียงนิดเดียวในมือของนาง ค่อนข้างสงสัยเล็กน้อย
อู่ตู๋จื่ออดไม่ได้ที่จะเหลือบตามองบน
ดังนั้นเขาเลยชอบที่จะเสแสร้งแกล้งทำ
“ท่านทาให้เสร็จก่อน แล้วข้าจะพาท่านไปขับพิษที่ห้องอบร้อน”
“อ้อ ได้” ถึงตอนนี้องค์หญิงซีหลันถึง ได้ปลดผ้าปิดหน้าออก ล้วงเอากระจกเล็ก ๆ ที่นำติดตัวออกมาและเริ่มทายาให้กับใบหน้าของตนเอง
พวกคนมีเงินนี่ช่างเรื่องเยอะเสียจริง เรื่องเล็กน้อยทำราวกับจะมีคนตายอย่างไรอย่างนั้น เจ้าให้วิธีรักษาง่าย ๆ กับนาง นางกลับคิดว่าเจ้าไม่ให้ความสำคัญกับนาง ให้สิ่งที่ไร้ประโยชน์กับนาง นางกลับคิดว่าตนเองได้พบเข้ากับหมอเทวดาแล้วจริง ๆ