พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 233 ปลอมเป็นองค์หญิงเพื่อเข้าวัง
พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 233 ปลอมเป็นองค์หญิงเพื่อเข้าวัง
เฟิ่งชิงหัวคิดไม่ถึงว่า จะได้พบกับองค์หญิงซีหลันอยู่ที่นี่ ความคิดบางอย่างได้ผุดขึ้นมาภายในใจ
นางได้จัดเตรียมอาหารอย่างรวดเร็ว แบ่งอาหารออกมาชุดหนึ่ง เทผลบางอย่างลงไปในโจ๊กเล็กน้อย และให้เด็กนำไปส่ง ส่วนตนนั้นได้ยกอาหารอีกชุดไปยังห้องอบร้อน
เพิ่งจะเข้าไป เฟิ่งชิงหัวก็แทบจะจำไม่ได้
พบเพียงว่าภายในห้องที่เรียบง่ายที่แต่เดิมมีเพียงตู้ยืนตัวหนึ่งเบาะรองผืนหนึ่ง ตอนนี้บนพื้นได้ปูเอาไว้ด้วยผ้าห่มนุ่ม ๆ จ้านเป่ยเซียวนอนพักผ่อนอยู่บนเบาะนุ่มอันใหม่
บุรุษที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จใหม่ ๆ ได้สวมเสื้อผ้าอย่างเป็นระเบียบ ในมือถือหนังสือเล่มหนึ่งเปิดอ่าน ท่าทางเช่นนั้น เกือบทำให้เฟิ่งชิงหัวคิดว่าตนเองได้กลับถึงจวนอ๋องเฉินแล้ว
“ท่านแค่อยู่ที่นี่เป็นการชั่วคราว ไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้กระมัง?” เฟิ่งชิงหัวมองไปรอบ ๆ และกล่าวอย่างแทบจะพูดไม่ออก
ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น พวกหลิวหยิ่งได้ก็ได้ยกโต๊ะและเก้าอี้ไม้เนื้อแดงตัวหนึ่งเข้ามา เพียงเพื่อให้จ้านเป่ยเซียวทานอาหาร
เฟิ่งชิงหัววางจานอาหารลงไปบนโต๊ะ: “มาทานอาหาร”
หลังจากที่วางลงก็เตรียมที่จะจากไป
“หยุดนะ” จ้านเป่ยเซียวลุกขึ้น ค่อย ๆ เดินเข้ามา
เฟิ่งชิงหัวสองมือกอดอก: “ท่านทานอาหารก่อน อีกเดี๋ยวจะเอายามาให้ท่าน ข้ามีเรื่องที่จะต้องไปทำ”
“เรื่องอะไร?”
“เรื่องนี้ท่านไม่ต้องมายุ่งหรอก ท่านทานเสร็จดื่มเสร็จก็พาทรัพย์สมบัติของท่านกลับจวนอ๋องเฉินไปเถอะ แล้วข้าจะตามกลับไปทีหลัง”
“ไม่ได้”
“ทำไมไม่ได้ล่ะ?”
“เจ้ามีเรื่องอะไรต้องทำ ให้พวกหลิวหยิ่งไปทำก็ได้” จ้านเป่ยเซียวนั่งลง และเริ่มทานอาหาร
ข้าวต้มโจ๊กนั้นหอมนุ่มเป็นพิเศษ แป้งทอดก็กรอบเป็นพิเศษ ไม่เลวเลยจริง ๆ ทำให้อารมณ์ของจ้านเป่ยเซียวดีขึ้นมาไม่น้อย
“ไม่สะดวกที่จะใช้พวกเขา ท่านวางใจเถอะ ท่านแม่ของข้ายังอยู่ที่จวนอ๋องเฉิน ข้างคงไปไม่ทิ้งท่านและไปเพียงลำพังหรอก”
“ไม่มีแม้แต่เหตุผล ยังคิดจะไปอีก?” จ้านเป่ยเซียวกล่าวอย่างสบาย ๆ แต่ทว่ากลับให้ความกดดันอย่างไร้ขอบเขตกับเฟิ่งชิงหัว
ตามหลักแล้ว ตอนนี้ตนจะอัดจ้านเป่ยเซียวนั้นถือเป็นเรื่องง่ายมาก เพราะตอนนี้เขาเป็นแค่เพียงเสือกระดาษที่ไร้พิษภัยเท่านั้น แต่ว่าอีกฝ่ายมีพวกมากมาย ถ้าหากทำตนเสียเรื่องขึ้นมา มันไม่คุ้มเอาเสียเลยจริง ๆ
เฟิ่งชิงหัวครุ่นคิดอยู่สักพัก และยิ้มให้กับจ้านเป่ยเซียว: “ท่านอ๋อง ข้าจะไปทำเรื่องที่สำคัญมาก ๆ มาถึงมากที่สุดเรื่องหนึ่ง”
“อืม” จ้านเป่ยเซียวรับคำ และก้มหน้าดื่มโจ๊ก
ท่าทางเช่นนี้ ไม่ไว้หน้าเอาเสียเลยจริง ๆ ท่าทีราวกับว่าถ้าไม่อธิบายให้ละเอียดอย่าได้คิดที่จะไป
เฟิ่งชิงหัวครุ่นคิดอยู่สักพัก เดินเข้าไป นั่งลงที่ข้าง ๆ จ้านเป่ยเซียว และกล่าวด้วยใบหน้าเคร่งเครียด: “ท่านอ๋อง ข้าคิดว่า องค์หญิงซีหลันผู้นี้มีบางอย่างผิดปกติ”
“ท่านคิดดูนะ เป่ยเว่ยของพวกเขาทำศึกกับเทียนหลิงมานานหลายปี กว่าจะถูกท่านตีจนยอมแพ้ไปเมื่อคราวที่แล้ว แต่ก็เพียงแค่ยอมจำนนแค่ปากแต่ใจไม่ยอมอย่างแน่นอน มาที่นี่เพื่อสมรสสร้างความปรองดองต้องมีความลับบางอย่างแอบแฝงอยู่แน่ ข้าจะปลอมตัวเป็นองค์หญิงซีหลันไปสืบความจริงมาให้ท่าน ดีหรือไม่?” เฟิ่งชิงหัวมองดูเขาด้วยดวงตาเป็นประกาย
จ้านเป่ยเซียวจะเชื่อคำพูดนางง่าย ๆ แบบนี้ได้อย่างไร เด็กคนนี้ ตอนที่โกหกนั้นจริงจังกว่าตอนที่พูดความจริงเสียอีก เขาเชื่อนางสิถึงแปลก
ทว่ายังไม่ทันให้เขาได้เอ่ยอะไร มือที่เฟิ่งชิงหัวกอดแขนของเขาก็ได้เขย่าเบา ๆ : “ท่านอ๋อง ท่านให้ข้าไปเถอะนะ ข้ารับรองว่าเมื่อสืบได้ความแล้วจะรีบกลับมาทันที จะไม่ปล่อยให้ท่านอยู่เพียงลำลังนอนเกินไป”
จ้านเป่ยเซียวรู้สึกมาโดยตลอดว่าบุรุษลุ่มหลงสตรีนั้นช่างเป็นเรื่องที่ไร้สาระสิ้นดี ทว่าในเวลานี้ เขากลับคิดว่า เหมือนว่า ค่อนข้างจะน่าสนใจไม่น้อย
ในขณะที่ใจลอยอยู่นั้น เขาไม่รู้เลยว่าตนได้พูดอะไรออกไป ก็พบว่าเฟิ่งชิงหัวได้วิ่งออกไปอย่างแทบรอไม่ไหวอยู่แล้ว
รอจนเฟิ่งชิงหัวออกไป จ้านเป่ยเซียวก็ได้ร้องเรียก: “หลิวหยิ่ง”
หลิวหยิ่งรายงานอยู่ที่หนาประตู: “องค์หญิงซีหลันได้มาที่นี่ ที่นี่คือที่พักของหมอเทวดาผู้นั้น คิดว่าน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับคนผู้นั้น”
“ตามนางไป ดูว่านางคิดจะทำอะไร”
“ขอรับ”
ตอนที่เฟิ่งชิงหัวได้มาถึงนอกห้องขององค์หญิงซีหลันอู่ตู๋จื่อก็ได้รออยู่ที่ด้านนอกแล้ว: “นายท่าน นางได้สลบไปแล้วขอรับ ดูท่าแล้วอย่างน้อยน่าจะสลบไปสามวัน”
เฟิ่งชิงหัวเดินเข้าไป ผ่านไปไม่นานนัก ก็ได้เปลี่ยนไปสวมชุดขององค์หญิงซีหลันแล้วเดินออกมา มิได้สวมผ้าปิดหน้า รัศมีที่แผ่ซ่านออกมาแตกต่างไปจากคนเดิมโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้น ยิ่งทำให้อู่ตู๋จื่อไม่กล้าที่จะมองตรง ๆ”
“สามวันให้หลังข้าจะกลับมา สองสามวันนี้ เจ้าดูนางเอาไว้”
“ขอรับ”
เฟิ่งชิงหัวสวมผ้าปิดหน้า ถึงหน้าประตู เมื่อข้าหลวงพวกนั้นมองเห็น ก็ได้รีบเข้ามาทำความเคารพ
“กลับวัง” เฟิ่งชิงหัวกล่าว
ขึ้นไปนั่งบนรถม้าและเดินทางกลับวังหลวง บรรดาข้าหลวงรู้สึกเพียงว่าองค์หญิงเคร่งขรึมกว่าปกติมากนัก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะบาดแผลบนใบหน้าหรือไม่ ด้วยเหตุนี้แต่ละคนต่างพากันปรนนิบัติอย่างระมัดระวัง ไม่กล้าที่จะรบกวนนาง
หลังจากที่องค์หญิงซีหลันได้รับบาดเจ็บก็อยู่ในวังหลวงมาโดยตลอด วังลั่วเซี๋ยที่นางอยู่นั้นหญิงจัดเป็นตำหนักอันดับต้น ๆ ของวังหลวง ข้าหลวงยี่สิบกว่าคนของตำหนักต่างพากันมารอต้อนรับอยู่หน้าประตู
“พวกเจ้าลงไปเถอะ ให้คนที่คอยปรนนิบัติข้าทุกวันอยู่ก็พอแล้ว” เฟิ่งชิงหัวนั่งอยู่บนเบาะอ่อน กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
คนอื่น ๆ ต่างพากันถอยออกไป เหลือนางกำนัลอยู่เพียงสองคน ล้วนเป็นคนที่องค์หญิงซีหลันนำติดตัวมาด้วย
“องค์หญิง บาดแผลของพระองค์เป็นอย่างไรบ้างแล้ว ให้หม่อมฉันช่วยดูให้ไหมเพคะ”
“ใช่เพคะองค์หญิง เหตุใดวันนี้ก่อนที่จะกลับมาพระองค์ถึงไม่สั่งสอนหมอไร้ความสามารถผู้นั้นหน่อยล่ะเพคะ นานขนาดนี้แล้วบาดแผลบนใบหน้าของพระองค์ก็ยังไม่หายดีเลย หรือว่าพวกเรากลับแคว้นไปก่อน หรือไม่ก็ให้องค์ชายใหญ่หาหมอมาตรวจดูเป็นการส่วนตัว หม่อมฉันเกรงว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปจะส่งผลกระทบต่อบาดแผลของพระองค์”
เฟิ่งชิงหัวแววตาเปลี่ยนไปเล็กน้อย: “ตอนนี้องค์ชายใหญ่อยู่ที่ใด?”
“องค์ชายใหญ่น่าจะอยู่กับผู้ส่งสารคนอื่น ๆ ที่รงเตี๊ยมหลวงเพคะ เพื่อป้องกันไม่ให้ฮ่องเต้เซวียนถ่งพบเข้า สองสามวันนี้จึงมิได้ออกมาด้านนอก”
“เฟิ่งชิงหัวพยักหน้ากล่าว: “เจ้าไปเรียกเขาเข้ามาที่นี่ บอกว่าบาดแผลบนใบหน้าของข้ามีความผิดปกติ”
“เพคะ”
รอจนเหลือนางกำนัลเพียงหนึ่งคน เฟิ่งชิงหัวจ้องมองนางอยู่ครึ่งค่อนวัน แล้วถึงได้เอ่ยถามขึ้นมา: “เจ้าติดตามข้ามาทานเพียงใดแล้ว?”
“กราบทูลองค์หญิง หม่อมฉันรับใช้พระองค์มาสิบปีแล้วเพคะ”
“เช่นนั้นข้าจะลองทดสอบเจ้าหน่อย ดูสิว่าเจ้าจงรักภักดีกับข้าหรือไม่” เฟิ่งชิงหัวกวาดสายตาผ่านใบหน้าของนางกำนัล แฝงไปด้วยประกายแห่งคลื่น ทำให้นางกำนัลอายหน้าแดงเล็กน้อย
นางกำนัลกล่าวขึ้นมาโดยเร็ว: “เพคะ องค์หญิง”
“ข้าถามเจ้า ตอนที่อยู่ในวังความสัมพันธ์ของข้ากับพวกองค์ชายองค์หญิงเป็นอย่างไรบ้าง และมีความสัมพันธ์อย่างไรกับพวกข้าหลวงและนางสนม”
“กราบทูลองค์หญิง ปกติแล้วมีเพียงองค์หญิงสามที่พอจะพูดอะไรอยู่ตรงหน้าพระองค์ได้บ้าง องค์หญิงท่านอื่นต่างกลัวพระองค์ ไม่กล้าที่จะเข้าใกล้ ส่วนบรรดาองค์ชาย ท่านสนิทกับองค์ชายใหญ่ที่สุด แม้ว่าองค์ชายหกจะเป็นพี่น้องท้องเดียวกันกับพระองค์ แต่ความสัมพันธ์ค่อนข้างห่างเหิน ดังนั้นน้อยมากที่จะองค์จะได้พบกับเขา ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเจินเฟยเหนียงเหนียงก็พลอยห่างเหินไปด้วย จะไปเยี่ยมนางก็เมื่อตอนวันคล้ายวันประสูตินางเท่านั้น”
เฟิ่งชิงหัวรู้สึกว่าการหลอกถามแบบนี้มันทรมาน แต่ตอนนี้พลังของนางยังมิได้ฟื้นฟู คิดจะควบคุมนางกำนัลคนนี้ก็มิใช่เรื่องง่าย ได้แต่ถามต่อไปอย่างเบื่อหน่าย: “ช่วงนี้เจินเฟยเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”
ข้าหลวงได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกแปลกใจ แต่ก็ยังคงกล่าวต่อ: “องค์หญิงไม่ค่อยใกล้ชิดกับนาง แต่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับฮองเฮาเหนียงเหนียง ดังนั้นเจินเฟยเป็นปรปักษ์กันมาตลอด ตอนที่พวกเราจากวังหลวงมา นางยังมิได้มาส่งองค์หญิงเลย ดังนั้น พระองค์จึงไม่อนุญาตให้พวกหม่อมฉันถามเกี่ยวกับนาง”
“เช่นนี้เองหรือ ตอนนี้ข้ายังเกลียดนางอยู่เลย เพียงแต่ว่าวันนี้ข้าได้ยินหมอไร้ความสามารถคนนั้นบอกว่า หากต้องการรักษาใบหน้าของข้าให้หายดี จะต้องใช้เลือดของญาติมาเป็นตัวกระตุ้น จะต้องเป็นสายเลือดเดียวกันเท่านั้น ตอนนี้ข้าค่อนข้างจะกลัดกลุ้ม” เฟิ่งชิงหัวจงใจกล่าวอย่างกลุ้มใจ
“องค์หญิง หากเป็นเช่นนี้ละก็ พระองค์มิลองเขียนจดหมายกลับไปอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้น เจินเฟยเหนียงเหนียงจะต้องยินยอมเป็นแน่”
เฟิ่งชิงหัวพยักหน้า: “ก็ได้ เรื่องนี้มอบให้เจ้าเป็นคนไปจัดการก็แล้วกัน ข้ารู้สึกปวดหัวเล็กน้อย อยากพักสักหน่อย เจ้าถอยออกไปก่อนเถอะ เสด็จพี่เข้าวังมาแล้วค่อยมาบอกข้า”
“เพคะ” จากนั้นนางกำนัลก็ได้ถอยออกไป
จนกระทั่งเหลือเฟิ่งชิงหัวอยู่ในตำหนักเพียงลำพัง นางถึงได้ลุกขึ้นมาจากเบาะนุ่ม จากนั้นก็เริ่มค้นไปทั่วตำหนัก ทว่าในนี้นอกจากพวกเสื้อผ้าอาภรณ์ ก็ไม่มีอย่างอื่นอยู่อีกเลย
แต่ทว่าเฟิ่งชิงหัวได้ค้นพบจดหมายสองฉบับซ่อนอยู่ใต้หมอน เป็นจดหมายที่องค์หญิงซีหลันได้เขียนเอาไว้แต่ยังไม่ทันได้ส่งออกไป ในจดหมายมีเนื้อหาโจ่งแจ้ง เต็มไปด้วยคำสารภาพรัก อ่อนดูแล้วทำให้คนรู้สึกขนลุก สามารถดูออกว่า คนภายในใจของนางมีสถานะค่อนข้างสูงทีเดียว นับได้ว่าสูงส่ง ยุคสมัยนี้ มีคนที่สูงศักดิ์กว่าองค์หญิงอีกหรือ?
ฉบับที่สองนั้นมีเนื้อหาเกี่ยวกับการบ่นว่าวังหลวงน่าเบื่อ และอารมณ์หดหู่จากบาดแผลที่ใบหน้าของตน
คำเรียกในตอนขึ้นต้นนั้นคือคนที่มีชื่อว่า “ฮ่าว” ผู้หนึ่ง นอกเนื้อจากนี้แล้วก็ไม่มีสถานะอื่น ๆ อีกเลย
เฟิ่งชิงหัวหลุดยิ้ม องค์หญิงซีหลันผู้นี้ทั้ง ๆ ที่ในใจมีคนอื่นอยู่แล้วยังมาที่เทียนหลิงเพื่อผูกสมรสอีก เห็นได้ชัดว่ามีเป้าหมายอื่นอยู่ ไม่รู้เหมือนกันว่าคนที่นางชอบคือผู้ใดกัน