พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 252 กระทบต่อผลลัพธ์
พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 252 กระทบต่อผลลัพธ์
“อ้าๆๆๆ!” ผู้หญิงหลายคนกรีดร้องแล้วก็กอดกันเข้าไว้ด้วยกัน หนึ่งในนั้นกล่าวออกมาด้วยอาการสั่นเทาว่า: “เป็นเขา ตอนที่เขาเข้าประตูมาเตะถูกไหกระเบื้องใบหนึ่ง อันนั้นด้านในเป็นเถ้ากระดูกน่ะ”
หลังจากเงียบไปสักพักหนึ่งทุกคนก็สงบลงมาได้
เหลียวเถียนเถียนมองดูเฟิ่งชิงหัวที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมแม้แต่นิดก็ไม่ขยับไปไหนเลย กล่าวออกมาด้วยอาการขบกรามว่า: “หนอนหนังสือนั้นถูกทำให้ตกใจจนบั้นท้ายนั่งลงไปบนพื้นเลย ไม่กล้ามองไปบนพื้น ได้เพียงคลานไปด้านหลังด้วยความพยายามอย่างมาก คลานไปตลานไป สุดท้ายคิดไม่ถึงว่าจะคลานมายังใต้โต๊ะที่เขานอนเอนกายแต่เดิมนั้น จากนั้นเขาก็พบกับมือที่เย็นเฉียบข้างหนึ่งเข้าให้”
“อ้าๆๆ ยังมีคน วัดซอมซ่อแห่งนี้ที่แท้แล้วมีผีเท่าไหร่กันแน่น่ะ หากข้าเป็นหนอนหนังสือผู้นั้น ข้าก็คงจะถูกทำให้ตกใจจนตายไปแล้วล่ะ!”
“ใช่สิ ไม่ใช่ว่าจะเป็นเชือกปอเส้นนั้นนะ ตอนที่เขาวิ่งเข้ามาดึงเชือกปอเส้นหนึ่งเอาไว้ อันนั้นไม่น่าจะเป็นที่ไว้ผูกคอตายของผีหรอกนะ?”
เด็กผู้หญิงหลายคนพูดวิเคราะห์อย่างตื่นเต้นและเคร่งเครียด
“หนอนหนังสือผู้นั้นตกใจไปครู่หนึ่ง ไม่กล้าหันหลังไป จากนั้นก็รู้สึกเหมือนว่าด้านหลังมีลมเย็นเยือกบางเบามาสัมผัสอยู่ตลอด เป่ามายังด้านหลังคอของตนไม่หยุด เขาได้ยินเสียงผู้หญิงสวยหยาดเยิ้มคนหนึ่งร้องครวญครางอยู่ข้างใบหูของเขาเบาๆ : ท่านพี่”
“เจ้าเป็นใคร ข้าไม่รู้จักเจ้า เจ้ารีบไปซะ หนอนหนังสือกล่าวออกมาด้วยท่าทางตัวสั่นงันงก ผู้หญิงที่อยู่ด้านหลังก็เอ่ยปากกล่าวว่า: ท่านพี่ เมื่อคืนท่านกับข้าได้นอนร่วมเตียงกัน ต่อไปข้าก็เป็นคนของท่านแล้ว ท่านไม่หันมาดูข้าหน่อยหรือ?”
“หนอนหนังสือผู้นั้นฟังเสียงของหญิงสาวแล้วก็ไพเราะจริงๆ ในใจก็เกิดความสงสัยขึ้นมา ตนเองรู้ทั้งรู้ว่านอนหลับไปตามลำพังคนเดียว เหตุใดจึงกลายเป็นว่าได้หลับนอนเตียงเดียวกับหญิงสาวไปได้ เขาอดไม่ได้ที่จะหันไปมอง วันนี้ทั้งวันขนเปียกปอนทั้งร่างกายของเขาก็ลุกซู่ขึ้นมา เสียงกรีดร้องดังจนแทบจะทำให้วัดซอมซ่อพังพินาศไปเลย”
“วันถัดมาท้องฟ้าปลอดโปร่ง มีขอทานหลายคนเข้ามาในวัดซอมซ่อ เห็นหน้าประตูแขวนศพของหนอนหนังสือร่างหนึ่งเอาไว้อยู่ มือทั้งสองข้างของหนอนหนังสือผู้นั้นเต็มไปด้วยโคลนดินเหนียว และพื้นกระเบื้องที่อยู่ใต้โต๊ะถูกเปิดออก ดินที่อยู่ด้านในถูกพลิกออกมา ในหลุดมีศพหญิงสาวสวมชุดแต่งงานสีแดงร่างหนึ่ง ศพหญิงผู้นั้นทั้งเนื้อทั้งตัวมีหนอนแมลงวันคลานไปมาให้ทั่วเลย
หลังจากเหลียวเถียนเถียนพูดจบ ก็เป่าเทียนแดงนั้นดับไปในลมปากเดียว
ทันใดนั้นห้องทั้งห้องก็ปรากฏเป็นเสียงกรีดร้องที่ดังสนั่นหวั่นไหวไปหมดออกมา ดูเหมือนกับว่าคนทั้งหมดได้พุ่งทะยานกันออกไปแล้ว ก็เลยเปิดม่านที่ปิดเอาไว้เดิมออก ในห้องก็สว่างจ้าขึ้นมาอีกครั้ง บนใบหน้าแต่ละคนซีดเซียวกันไปหมด เกือบจะยืนไม่นิ่งแล้ว มีสองคนที่ถึงขั้นเปิดประตูห้องเตรียมจะหนีออกไปแล้ว
“เถียนเถียน เจ้า เรื่องหลอนๆ ของเจ้าเรื่องนี้ช่างน่าตกใจจริงๆ ช่างน่าหวาดกลัวอย่างสุดขีดไปเลย เจ้าแทบไม่ได้บอกเลยว่าหนอนหนังสือผู้นั้นเห็นอะไรบ้าง อีกอย่างก็ไม่ได้บอกว่าหนอนหนังสือถึงไปผูกคอตายได้”
“อย่าไปคิดเลยๆ ยิ่งคิดก็ยิ่งน่ากลัว ข้าขนลุกขนพองไปหมดแล้วเนี่ย”
ไม่เพียงแค่เด็กผู้หญิง แม้แต่ผูชายสองคนเท่านั้นที่อยู่ในห้องต่างก็มีท่าทีที่ได้รับความตื่นตระหนก
เหลียวเถียนเถียนลำพองใจอย่างมาก: “เรื่องนี้ข้าเอาออกมาจากหนังสือโบราณเล่มหนึ่ง เรื่องราวในนั้นปวดสมองเป็นพิเศษ ข้าเองได้อ่านเองตอนกลางคืนก็ยังไม่กล้าหลับนอนเลย”
เหลียวเถียนเถียนมองไปยังเฟิ่งชิงหัว แต่เห็นหญิงสาวยกขาขึ้นเท้าคางไว้ในท่าเดิมที่จุดเดิมไม่เปลี่ยนไป ก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า: “องค์หญิงซีหลัน ท่านน่าจะไม่ตกใจจนเอ๋อไปเลยนะ?”
เฟิ่งชิงหัวเงยศีรษะมองไปที่นางครู่หนึ่ง: “อ๋อ เรื่องนี้ของเจ้าก็พอได้นะ แต่ว่าตอนหลังต้องแก้หน่อยถึงจะดีกว่านี้อีก เช่นตอนที่หนอนหนังสือหันหลังกลับไป ใบหน้าของฝ่ายตรงข้ามแนบชิดกับเขาไปแนบแน่นเลย กอดเขาเอาไว้ ยังมีอีกก็คือศพหญิงสาวร่างนั้นก็ไม่ได้พรรณนาละเอียดด้วย เช่นบนร่างของศพหญิงสาวนั้นเป็นแผลเน่าเฟะไปหมด แต่ว่าบนใบหน้าของนางกลับไร้จุดบกพร่องใดๆ เลย ใบหน้านั้นเป็นใบหน้าของหนอนหนังสือผู้นั้น เรื่องนี้ของเจ้าค่อนข้างเริ่มเรื่องมาเหมือนจะน่ากลัวแต่จบแบบไม่น่าติดตามเลย ไม่ค่อยดีเท่าไร”
“องค์หญิงซีหลัน ท่านโหดเกินไปหรือเปล่า ใบหน้าของศพหญิงสาวผู้นั้นเป็นใบหน้าของหนอนหนังสือ แล้วใบหน้าของหนอนหนังสือนั้นไหนล่ะ?”
“ก็ใช่น่ะสิ ยังจะแนบชิดอีก หากข้าได้แนบชิดใบหน้ากับผีหญิงสาวนั้น ข้าอาจจะไม่ต้องไปแขวนคอตายก็ได้ ก็คงจะถูกทำให้ตกใจจนตายไปเลย”
เหลียวเถียนเถียนได้ยินก็กล่าวออกมาด้วยเสียงเย็นชาว่า: “ในเมื่อท่านวิเคราะห์อย่างละเอียดเป็นฉากๆ เช่นนี้ งั้นเรื่องถัดไปก็ให้ท่านมาเล่าจะไม่เป็นการดีกว่าหรือ? ยังไงตอนนี้เรื่องนี้ที่ข้าเล่าก็ทำให้ทุกคนลุกออกจากที่นั่งไปหมดเลย ตอนนี้ท่านก็ทำได้เพียงแค่ให้ข้าตกใจจนลุกออกจากที่นั่งไปเท่านั้น ก็นับว่าท่านชนะแล้ว”
เฟิ่งชิงหัวลูบคางไปมา: “ก็ได้ งั้นข้ามาพูดสักสองประโยคก็แล้วกัน”
เหลียวเถียนเถียนกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มเย็นชา: “ท่านจะต้องกล่าวกับคนด้านนอกสักหน่อยหรือไม่ ให้พวกเขาจัดแจงให้ท่านบ้าง เช่นนี้ก้จะสร้างบรรยากาศขึ้นมาได้บ้าง เพียงแต่ข้าขอบอกท่านไว้ว่าเรื่องหลอนๆ ที่ข้าเคยดุนั้นมีไม่น้อยเลยทีเดียว ท่านอย่าคิดที่จะพูดจาแบบขอไปทีเพื่อมาหลอกข้าก็แล้วกัน”
“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องเสียแรงมากมายเช่นนั้น” เฟิ่งชิงหัวเอ่ยปากกล่าวขึ้น: “เพียงแค่ให้ปิดตาของเจ้าเอาไว้ก็พอแล้ว แค่หลังจากที่เรื่องของข้าเล่าจบเจ้ายังนั่งอยู่บนอาสนะที่เดิม นั่นก็เท่ากับว่าข้าแพ้”
“เหอะ นี่มันมีอะไรยาก” เหลียวเถียนเถียนหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าของตนเองขึ้นมาปิดตาของตนเองไว้ แล้วนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างตัวตรง: “เริ่มเลยเถอะ”
เฟิ่งชิงหัวลุกขึ้นยืนด้วยรอยยิ้ม เดินมายังข้างกายของเหลียวเถียนเถียน ซัดไปยังข้างหูของนาง ยังไม่ได้เอ่ยปากพูดเลย เหลียวเถียนเถียนก็กล่าวออกมาอย่างระแวดระวังว่า: “ท่านทำอะไรน่ะ?”
“เล่าเรื่องหลอนๆ ไงเล่า ไม่ใช่เพื่อให้เกิดบรรยากาศเหรอ หากข้าพูดออกมาก็จะทำให้พวกเขาได้ฟังถูกการรบกวนได้ งั้นไม่ใช่ว่าจะกระทบต่อผลลัพธ์หรอกหรือ?”
เหลียวเถียนเถียนกระแอมเสียงเย็นชาออกมา: “ทำอะไรผิดแปลกพิสดารอยู่ได้ ท่านรีบเล่ามาเถอะ”
เฟิ่งชิงหัวหัวเราะอยู่ครู่หนึ่ง แขนเสื้อสะบัดขึ้นไปพักหนึ่ง เหลียวเถียนเถียนก็ได้กลิ่นหอมที่พิเศษกลิ่นหนึ่งขึ้นมา ยังไม่ได้เริ่มพูดอะไร เบื้องหน้าของนางก็ปรากฏเป็นฉากฉากหนึ่งขึ้นมา ข้างหูผสานเข้ากับเสียงเล็กเสียงน้อยเบาๆ ของเฟิ่งชิงหัวอยู่ด้วย