พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 255 ตะคอกใส่กัน
พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 255 ตะคอกใส่กัน
“เถียนเถียน ทำยังไงดี เงินบนตัวของพวกเราไม่เพียงพอ พวกเขาบอกว่าหากรวบรวมไม่ได้ก็จะไปตามเอาที่จวนของพวกเรา อับอายขายขี้หน้าไปทั่วทั้งนครหลวงเลยนะ ข้าจะต้องถูกท่านพ่อของข้าตีตายแน่ๆ เลย”
“ใช่แล้วล่ะเถียนเถียน เรื่องก็เป็นเจ้าที่ก่อขึ้นมา องค์หญิงซีหลันเป็นคนที่เจ้ามาเข้ามา ฉากกั้นลมก็เป็นเจ้าที่ชนล้ม ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเราเลย”
“เงินพันตำลึง แม้ว่าจะไปเอาถึงที่จวนของข้า ข้าก็มีไม่พอหรอก เมื่อคืนวันก่อนข้ายังแอบฟังท่านแม่ของข้าคุยกับแม่นมว่าเดือนหน้าจะขายหญิงรับใช้สองสามคนทิ้ง มิเช่นั้นรายจ่ายแต่ละเดือนก็จะไม่พอจ่ายแล้ว”
สีหน้าของชายหนุ่มและหญิงสาวหลายคนต่างพากันกลัดกลุ้ม ร้อนใจราวกับมดที่เดินอยู่บนหม้อร้อนเสียอีก
แม้กระทั่งมีหลายคนที่ต่างเริ่มพูดจาบีบคั้นเหลียวเถียนเถียน ต่างแอบเป็นคำพูดที่กล่าวโทษนางอย่างลับๆ
เหลียวเถียนเถียนยืนอยู่ตรงนั้น ก็ทำตัวไม่ถูกเลยขึ้นมาในตอนนั้น
หากไม่ได้บอกว่าผู้หญิงเจนจัดกว่าผู้ชาย ในใจของเย่ฟางเฟยตอนนี้ก็ร้อนใจเช่นกัน ยิ่งโกรธเกลียดคนก่อเรื่องผู้นี้อย่างเหลียวเถียนเถียนมากขึ้น แต่ว่านางกลับดึงมือของเหลียวเถียนเถียนมาด้วยรอยยิ้ม แล้วปลอบนางอย่างอ่อนโยนเล็กน้อยว่า: “เถียนเถียนเจ้าอย่าโกรธไปเลยนะ แม้ว่าองค์หญิงซีหลันจะเป็นองค์หญิง ห็เป็นเพียงแค่คนเจ้าชู้คนหนึ่งเท่านั้น อย่าไม่ถือสาหาความกับนางเลย”
“เจ้าก็กำลังโทษข้าเช่นกันเหรอ? หรือว่าพวกเจ้าตั้งแต่เริ่มแรกก็เป็นกังวลว่าองค์หญิงซีหลันจะต้องหลุดจากตำแหน่งพระชายาไม่ใช่หรือ ดังนั้นจึงมาร่วมมือกับข้าเพื่อกดดันนางไม่ใช่หรือ?” เหลียวเถียนเถียนสะบัดมือของเย่ฟางเฟยออกพร้อมด้วยน้ำเสียงที่เกลียดชัง
บนใบหน้าของเย่ฟางเฟยกลับไม่โกรธเลยแม้แต่นิดเดียว จับมือนางแล้วกล่าวออกมาว่า: “เถียนเถียนของข้า โดยปกติเจ้าก็ฉลาดขนาดนั้น ทำไมตอนนี้จึงเลอะเลือนไปได้เล่า”
“อะไรนะ?”
“เจ้าก็ดูเอา พวกเราตรงนี้ 9 คน นั่นก็เป็นทั้งหมดเก้าพันตำลึง หนึ่งคนหนึ่งพันตำลึง ใครจะควักเอาออกมาได้ แม้ว่าจะเอาออกมา แพร่ออกไปจะกลายเป็นเรื่องราวอะไรขึ้นมา แต่ใดๆ ก็ตามหามีเรื่องของใครคนใดคนหนึ่งถูกแพร่ออกไป หรือว่าคนอื่นๆ จะไม่เอาเรื่องมาปะติดปะต่อกันว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น หากเรื่องในวันนี้ถูกคนรู้เข้า อนาคตของเจ้าและข้าจะไปดีได้อย่างไร เดือนหน้าก็เป็นการเลือกคู่ครองแล้วนะ” เย่ฟางเฟยพูดออกมาอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ละประโยคกลับพูดแทงใจดำของเหลียวเถียนเถียน ทำให้นางเริ่มลังเลขึ้น
เดิมทีเหลียวเถียนเถียนคิดว่าจะจ่ายหนึ่งพันตำลึงแล้วก็จากออกไปผู้เดียว สำหรับคนอื่นนั้นนางไม่คิดจะสนใจ ยังไงเมื่อครู่คนเหล่านั้นก็โยนความผิดมาบนตัวนางคนเดียวอยู่แล้ว
แต่ว่าในตอนนี้กลับเกิดความลังเลขึ้นมาเล็กน้อย
นางถึงขั้นจะเป็นพระชายาองค์รัชทายาทเชียวนะ อนาคตจะเป็นฮองเฮา จะไปให้มีราคีแม้แต่เล็กน้อยได้อย่างไร
แต่ว่าจะช่วยพวกนางควักเงินเก้าพันตำลึงหรือ?
เงินจำนวนนี้อย่าว่าแต่นางเลย ทั้งตระกูลเหลียวก็เอาออกมาให้ได้หรอก
เย่ฟางเฟยเห็นนางครุ่นคิดอยู่ ก็เลยจิ้มไปยังหน้าผากของนางด้วยรอยยิ้ม: “เถียนเถียนน่ะ เจ้าเดี๋ยวก็ฉลาดเดี๋ยวก็เลอะเลือนบ้างบางเวลา เมื่อครู่เจ้าไม่ใช่เพิ่งจพูดว่า เว่ยหย่วนโหวมีความสัมพันธ์ผ่านความเป็นความตายมาด้วยกันกับท่านอ๋องเจ็ด ในเมื่อก็เป็นการสนิทสนมกันเกินชีวิตนี้ นี่แค่ไม่กี่พันตำลึงเอง ไม่ใช่บอกว่าช่างมันก็ช่างมันได้หรือ?”
“แต่ว่าหากถูกท่านลุงของข้าทราบเข้า เขาก็จะโกรธมาก แม้ว่าท่านลุงของข้าจะรักเอ็นดูข้า แต่ว่าก็คงจะอารมณ์ไม่ดี” เหลียวเถียนเถียนกล่าวออกมาด้วยเสียงโทนต่ำ
อันที่จริงแล้วเมื่อครู่นางก็ประเมินเฟิ่งชิงหัวต่ำไป ยังไงก็ไม่กล้าให้ท่านลุงรู้ว่านางมาที่หอไล่ตามเมฆาเพื่อก่อเรื่อง
แม้ว่านางเคยได้ยินมาตลอดว่าท่านลุงกับท่านอ๋องเจ็ดมีความสนิทสนมอย่างเหนือชีวิต แต่ว่านางก็ไม่เคยเห็นท่านลุงไปจวนอ๋องเฉิน และท่านอ๋องเจ็ดก็ยิ่งไม่เคยมาประทับที่ประตูใหญ่ของจวนเว่ยหย่วนโหวมาก่อนเลย
เย่ฟางเฟยเห็นว่านางคิดจะละทิ้ง ก็รีบกล่าวออกมาว่า: “เถียนเถียน นี่มันเวลาอะไรแล้ว เจ้ายังเป็นกังวลว่าท่านลุงของเจ้าก็โมโหอีก เจ้าไม่ลองคิดดู หากเรื่องในวันนี้มีคนพูดออกไป งั้นเจ้าจะมีคุณสมบัติในการเลือกคู่ครองหรือไม่ก็พูดยากแล้วนะ อนาคตกับการโดนดุด่าว่ากล่าวเมื่อเปรียบกันแล้ว อันที่จริงก็เปรียบกันไม่ได้ เจ้าว่าไหมล่ะ?”
เหลียวเถียนเถียนได้ฟังนางวิเคราะห์ออกมาเช่นนี้ ความอึดอัดจู่ๆ ก็ถูกเปิดออก
ใช่สิ หากท่านลุงมาแล้ว อย่างมากที่สุดนางก็เพียงแค่ถูกท่านลุงด่าว่าไปยกหนึ่ง โมโหไปสองสามวันก็ย่อมดีกว่าที่จะตัดขาดอนาคตของตนไป
ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว เหลียวเถียนเถียนพยักหน้า: “ได้ ข้าจะให้ท่านลุงของข้ามาเดี๋ยวนี้แหละ”
ในขณะที่พูดอยู่เหลียวเถียนเถียนก็หันตัวไปกล่าวกับองครักษ์หญิงสองนายนั้นอย่างเข้มแข็งว่า: “บนตัวของพวกเราไม่มีเงินมากมายเช่นนั้น ท่านลุงของข้าเป็นเว่ยหย่วนโหว เป็นสหายในสนามรบกับนายท่านของพวกเจ้า ช่วยข้าไปบอกกับเว่ยหย่วนโหวว่าข้าอยู่ที่นี่”
องครักษ์หญิงสองนายได้ยินดังนั้น ก็สบตากันครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าวว่า: “งั้นคุณหนูเหลียวรอสักครู่”
พวกชายหนุ่มและหญิงสาวที่อยู่ในห้องได้ฟัง ต่างก็พากันถอนหายใจออกมาได้ แล้วก็เริ่มกล่าวยกย่อมเหลียวเถียนเถียนขึ้นมาอีก
และอีกทางด้านหนึ่ง เฟิ่งชิงหัวยืนอยู่ในลิฟต์ไม้ ตลอดทางเคลื่อนที่มาจนถึงชั้นบนสุด จากนั้นก็ให้เหลียนซินติดตามออกไปด้วย
“องค์หญิง ท่านระวัง หากเกิดมีกับดักขึ้นมาจะทำอย่างไร?” เหลียนซินกล่าวออกมาด้วยความกังวล
ตั้งแต่เข้ามาในหอไล่ตามเมฆา นางก็ไม่สงบสุขอย่างมาก โดยเฉพาะได้ยินว่านี่เป็นสถานที่ของท่านอ๋องเจ็ด
ท่านอ๋องเจ็ดไร้อารมณ์ขนาดนั้นต่อองค์หญิง เข้ามาในเขตจองเขา หากเกิดเสียเปรียบขึ้นมาจะทำอย่างไร?
เฟิ่งชิงหัวเห็นนางเป็นกังวลตนเองจริงๆ ก็เลยหันมายิ้มกับนางครู่หนึ่ง: “เหลียนซิน เจ้าก็รอข้าอยู่ด้านนอกนี่แหละ หากข้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา เจ้าก็จะได้เข้ามาช่วยข้าได้”
บทละครนี้ก็จะต้องปลอบเหลียนซินเสียก่อน ใครจะไปรู้ว่าใบหน้าของเหลียนซินกลับเคร่งขรึมจริงจังขึ้นมา แล้วพยักหน้าอย่างหนักแน่น: “องค์หญิง ท่านวางใจ เหลียนซินจะเฝ้าอยู่ตรงนี้เอง ที่ไหนก็ไม่ไปเลย”
เฟิ่งชิงหัวตบบ่าของนางครู่หนึ่ง จากนั้นก็ก้าวเท้าเดินเข้าไปเหมือนดั่งว่าเข้าบ้านของตนเองก็ว่าได้ ดูเคยชินเป็นพิเศษ
เฟิ่งชิงหัวเข้าไปด้านใน หลังจากที่เห็นผู้ชายที่นั่งอยู่ด้านใน สีหน้าท่าทางก็เย็นชาขึ้นมาทันที
รอยเท้าที่เหยียบย่ำไปบนพรมนั้นต่างเปี่ยมไปด้วยแรงแห่งความแค้นอยู่ในนั้น ราวกับว่ากำลังเหยียบอยู่บนผู้ชายที่อยู่ตรงข้ามผู้นั้นก็ไม่ปาน
เดิมทีจ้านเป่ยเซียวรอมาครู่หนึ่งอย่างร้อนใจไปหมด ในมือถือหนังสือเอาไว้ด้วยท่าทางแสร้งว่าอ่านแต่กลับไม่ได้พลิกเปิดหน้าเลย หลังจากได้ยินเสียงขยับเขยื้อนก็รีบนั่งตัวตรงขึ้นมาทันที ปรากฏเป็นท่าทางที่ไม่ได้สังเกตเห็นว่ามีคนเข้ามา
เฟิ่งชิงหัวเดินมายังเบื้องหน้าของจ้านเป่ยเซียวโดยตรง กวาดสายตามองไปรอบๆ ไม่พบองค์ชายใหญ่ ดังนั้นมือทั้งสองข้างก็เลยตบลงไปบนโต๊ะอย่างรุนแรง ทำให้น้ำชาบนโต๊ะไหลหกออกมาไม่น้อยเลย
จ้านเป่ยเซียวขมวดคิ้วขึ้น: “ใจดียังไง!”
พอเจอหน้าอารมณ์โกรธก็ปะทุขึ้นรุนแรงเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าควรจะต้องเป็นเขาที่โกรธถึงจะถูกหรือเปล่า
ใครจะไปคิดว่าในตอนนี้เฟิ่งชิงหัวกลับไม่เป็นไปตามที่จ้านเป่ยเซียวคิดไว้ กล่าวออกมาด้วยเสียงเย็นชาว่า: “สนุกไหม? รู้ทั้งรู้ว่าข้ารีบร้อนหาเจอองค์ชายใหญ่เพราะมีธุระ เจ้าก็ทำให้คนเขามาที่นี่ได้ จ้านเป่ยเซียว เจ้ามีเจตนาที่จะเป็นปฏิปักษ์ต่อข้างั้นหรือ?”
จ้านเป่ยเซียวเลิกคิ้วขึ้น: “เป็นข้าที่เป็นปฏิปักษ์ต่อเจ้าหรือว่าเจ้าไม่รู้จักชั่วดี?”
“แน่นอนว่าเป็นเจ้าที่จะเป็นศัตรูต่อข้า!” เฟิ่งชิงหัวรีบกล่าวออกมาอย่างตรงไปตรงมา
สีหน้าท่าทางของจ้านเป่ยเซียวอึ้งไปอย่างผิดคาด เพียงแค่รู้สึกว่าการดำเนินเรื่องแบบนี้ไม่ค่อยถูกนัก
ไม่ใช่ว่าควรจะมาขอโทษตน จากนั้นก็ขอร้องให้ตนมอบตัวองค์ชายใหญ่ออกมาให้นางไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงกลายเป็นน้ำเสียงเฉกเช่นการซักไซ้เอาความเช่นนี้ได้
จ้านเป่ยเซียวกล่าวออกมาอย่างมึนๆ ว่า: “เจ้ารู้ว่าผิดแล้วใช่ไหม?”
เฟิ่งชิงหัวหัวเราะ “ฮ่า” ออกมาครู่หนึ่งแล้วชี้มาที่ตนเอง: “ข้าผิดงั้นหรือ? จ้านเป่ยเซียว คนเช่นเจ้าแบบนี้ทำไมถึงได้น่าขำเช่นนี้ เจ้าทำลายเรื่องดีๆ ของคนอื่น ตอนนี้ยังมาถามว่าข้าทำผิดหรือเปล่า เจ้านี่ทำไมถึงได้วางอำนาจบาตรใหญ่เช่นนี้ฮะ”
“เป็นข้าที่วางอำนาจบาตรใหญ่? เห็นได้ชัดว่าเป็นเจ้าที่ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี!” จ้านเป่ยเซียวก็ถูกเฟิ่งชิงหัวทำให้เลอะเลือนไปเช่นกัน ลืมการวางตัวของตนเองที่มีในปกติไปเลย ก็หันมาตะคอกใส่เฟิ่งชิงหัวไปหนึ่งประโยค
เฟิ่งชิงหัวทำมือทำไม้เป็นการหยุดชั่วคราวออกมา: “พอแล้ว ข้าไม่อยากทะเลาะกับเจ้า คนอยู่ที่ไหน ข้าจะพาไป ข้าไม่มีเวลาจะมาสิ้นเปลืองกับเจ้า”
ท่าทางเช่นนี้ที่ว่าข้าไม่อยากจะถือสาเอาความเจ้ามันช่างทำให้จ้านเป่ยเซียวโกรธขึ้นมา
เดิมก็โมโหจนมึนไปหมดมาทั้งคืนแล้ว ในตอนนี้ไม่ง่ายเลยที่จะทำให้คนมาหาที่นี่ด้วยตัวเอง สุดท้ายฝ่ายตรงข้ามกลับมีท่าทางไม่อยากถือสาเอาความแสดงออกมา
สีหน้าของจ้านเป่ยเซียวในตอนนี้ดูแย่มากๆ หน้าตาทะมึนทึงไปหมด เพียงแค่มีหน้ากากบดบังไว้อยู่ เฟิ่งชิงหัวก็เลยมองไม่เห็น
จากนั้นบรรยากาศรอบๆ กลับดูเย็นเยือกขึ้นมาทันที
ในใจของเฟิ่งชิงหัวก็ยิ่งเสียใจเข้าไปอีก เห็นได้ชัดว่าเป็นเขาที่ทำธุระของนางพังแต่เช้าตรู่เลย ตอนนี้เขากลับมาแสดงท่าทางชั่วร้ายต่อนางได้
อนุญาตให้ขุนนางวางเพลิงได้แต่ไม่อนุญาตให้ประชาชนจุดไฟงั้นสิ
“เจ้ามาจ้องข้าทำไม อย่าคิดว่าเจ้ามีอำนาจเจ้าก็มีเหตุผลนะ วันนี้ข้าไม่ผิด พวกเจ้าแต่ละคนต่างมารังแกข้าใช่ไหม? ก็ไม่ใช่แค่มีภูมิหลังมีคนคอยหนุนหลังหรอกเหรอ มีอะไรเหนือคนอื่นนักหรือ มีความสามารถก็มาสู้กันตาต่อตาฟันต่อฟันสิฮะ? หากข้าแค่กะพริบตาแม้แต่นิดข้าก็ไม่ได้ชื่อว่าเฟิ่งชิงหัว!”
จ้านเป่ยเซียวได้ยินคำพูดที่ไม่มีหัวมีท้ายนี้ก็อึ้งอย่างผิดคาดไปเล็กน้อยแล้วกล่าวถามว่า: “ยังมีใครรังแกเจ้าอีกหรือ?”