พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 256 ใช้สำนวนมั่วซั่ว
พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 256 ใช้สำนวนมั่วซั่ว
เฟิ่งชิงหัวได้ยินคำพูดนี้ของเขาก็อารมณ์พลุ่งพล่านจนลงไปนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น มือทั้งสองข้างกอดอกเอาไว้ เชิดคางขึ้นไปสูงๆ : “เจ้าก็รู้ว่าเจ้ารังแกข้างั้นหรือ?”
จ้านเป่ยเซียวในตอนนี้ไม่ได้ว่างที่จะมาต่อปากต่อคำกับนาง นางมักจะมีเหตุผลเป็นกองเพื่อหาทางรอดไปได้ตลอด
จ้านเป่ยเซียวกล่าวถามอีกครั้งว่า: “ที่แท้แล้วยังมีใครที่รังแกเจ้าอีก?”
“เฉกเช่นข้าที่ไม่มีภูมิหลังเช่นนี้ แม้แต่ประตูก็ยังเข้าไม่ได้เลย แน่นอนว่าย่อมเป็นที่เหยียบย่ำของคนอื่นๆ อยู่แล้ว มีอะไรต้องแปลกใจด้วย มีคนรังแกข้าก็ไม่ใช่ว่าเป็นปกติหรือ?” เฟิ่งชิงหัวทำปากเบะ ทั้งในและนอกคำพูดต่างก็ฟังดูเศร้าโศก
“ใครว่าเจ้าไม่มีภูมิหลัง? หรือว่าข้าไม่ใช่ภูมิหลังของเจ้า? เจ้าก็แค่เอาป้ายหยกออกมาแต่เนิ่นๆ ก็ขึ้นมาได้เลย?” จ้านเป่ยเซียวขมวดคิ้วขึ้น
ก่อนหน้านี้เฟิ่งชิงหัวจะคิดเยอะขนาดนั้นกันที่ไหนกัน อีกอย่างป้ายหยกลายมังกรนั้นหากเกิดใช้ไม่ได้ ไม่ใช่ว่าจะยิ่งอึดอัดไปกันใหญ่หรือ
เฟิ่งชิงหัวเม้มปาก: “ภูมิหลังอย่างเจ้านี้ก็ไม่ใช่จะเป็นของข้าคนเดียวอีก”
“ไม่ใช่ของเจ้าแล้วจะของใคร?”
“ได้ยินว่าเจ้าสนิทกับเว่ยหย่วนโหวมาก? เป็นความสนิทแบบเป็นตายเลย?” เฟิ่งชิงหัวก็ไม่ได้มองหน้าจ้านเป่ยเซียว ก็กล่าวออกมาอย่างพูดเองเออเองเช่นนี้ อันที่จริงคำพูดนี้พูดออกมานางเองก็รู้สึกเศร้าโศกเช่นกัน
ยังไงทั้งสองคนก็มีการผ่านความเป็นความตายในสนามรบมาก่อน มีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาเช่นนี้ก็ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว เพียงแต่พอคิดถึงว่าเหลียวเถียนเถียนสามารถอาศัยเว่ยหย่วนโหวเพื่อมาหลีกเลี่ยงการรับโทษทัณฑ์ได้ ในใจของเฟิ่งชิงหัวก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
ในขณะที่เฟิ่งชิงหัวกำลังคิดเช่นนี้อยู่ ก็ได้ยินจ้านเป่ยเซียวขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า: “ความสัมพันธ์อย่างความเป็นความตาย? ใครพูดน่ะ?”
“อืม? หรือว่าพวกเจ้าไม่ได้เข้าร่วมรบใบสนามผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน?” เฟิ่งชิงหัวอึ้งไปชั่วขณะ ก็ไม่ไปสนใจความกลัดกลุ้มที่อยู่ในใจ หันหน้ามาจ้องไปยังจ้านเป่ยเซียวทันทีเลย
ฝ่ายชายขมวดคิ้ว: “อย่าใช้สำนวนมั่วซั่ว เคยเข้าร่วมสนามรบ สำหรับการเกิดความเป็นความตาย อย่างมากก็คือเมื่อตอนนั้นเขามุ่งมั่นที่จะนำทหารเข้าไปในค่ายศัตรู ไม่ฟังคำห้ามปรามของข้า ต่อมาเป็นข้าที่ช่วยเขากลับมา น่าจะต้องใช้คำว่ามีบุญคุณในการช่วยชีวิตมาอธิบายนะ?”
“งั้นเจ้าให้ป้ายคำสั่งเขาหมายความว่ายังไง? ก็ไม่เห็นว่าเจ้าจะให้ข้าบ้างเลย” เฟิ่งชิงหัวขมวดคิ้ว
มุมปากของจ้านเป่ยเซียวก็ค่อยๆ ยกขึ้น: “ตอนนั้นก็แค่ให้ไปอย่างไม่คิดอะไรก็เท่านั้น ที่ไหนจะมีคำว่าทำไมมากมายเช่นนั้น สำหรับเจ้า หอไล่ตามเมฆานี้เป็นของข้า เจ้าแค่มาโดยตรงก็ได้แล้ว ใครจะไปคิดว่าเจ้าจะใช้โฉมหน้าของซีหลันมา”
คำพูดได้กล่าวไปถึงตอนท้ายก็ยังดูกลัดกลุ้มเล็กน้อย
เขารอนางมาที่นี่มาโดยตลอด ใครจะไปคิดว่านางกลับถูกขวางเอาไว้ที่ข้างล่าง ทำให้ต้องเสียเวลาไปมากอยู่
เฟิ่งชิงหัวได้ยินคำพูดนี้ คนทั้งคนก็ไม่รู้จะหาคำใดมาพูดเลย ดังนั้นตั้งแต่ต้นจนจบก็ล้วนเป็นนางที่คิดว่าเรื่องมันซับซ้อนจนเกินไป?
แค่นางมาโดยตรงเองเลยก็ได้แล้ว ยังจะมาโดยรูปโฉมของซีหลันอีก สุดท้ายดึงดูดให้พวกมารผจญกลุ่มหนึ่งเกิดความไม่พอใจขึ้นมา ถูกพาไปยังชั้น 3 สิ้นเปลืองเวลาไปเยอะมาก เกือบจะต้องชดใช้เงินถึงพันตำลึงเชียว?
พอคิดขึ้นมาเช่นนี้ เฟิ่งชิงหัวก็อยากจะร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตาขึ้นมาจริงๆ
ในขณะที่กำลังคิดอยู่นั้นก็ได้ยินมีเสียงผู้ชายคนหนึ่งดังมาจากนอกประตู แต่ว่าไม่ได้เดินเข้ามา แต่กล่าวออกมาว่า: “คุณหนูเหลียวให้คนไปเชิญเว่ยหย่วนโหวมาที่นี่ อยากจะยืมเอาหน้าของเว่ยหย่วนโหวเพื่อจะได้ไม่ต้องจ่ายค่าชดใช้ของหลายคนนั้น”
เฟิ่งชิงหัวปากจู๋: “เจ้าก็ดูเถอะ เงินเก้าพันตำลึงเชียวนะ บอกว่าจะฟรีก็ฟรีไปเลย เมื่อครู่คุณหนูเหลียวยังปัดความผิดมาให้ข้าอยู่เลย บอกว่าท่านลุงของนางเป็นเว่ยหย่วนโหว มีความสัมพันธ์ที่ดีมากต่อเจ้า สามารถทำให้ข้าได้เจอเจ้าได้”
ในตอนนี้จ้านเป่ยเซียวก็ดึงสติกลับมาได้ เหตุใดนังหนูคนนี้พอเข้ามาก็เริ่มใส่อารมณ์ต่อตน อารมณ์ก็คือเนื่องจากเหลียวเถียนเถียนพูดจาส่งเดชอยู่ตรงนั้นงั้นสิ?
พอคิดขึ้นมาเช่นนี้ สีหน้าของจ้านเป่ยเซียวก็ไม่น่าดูขึ้นมาเลย
“ในเมื่อจะไปเชิญเว่ยหย่วนโหว งั้นก็ไป อบรมสั่งสอนมาได้เข้มงวด ก็น่าจะต้องสั่งสอนให้ดีหน่อย ส่วนตระกูลอื่นๆ ก็ให้คนเอาเงินมาไถ่ตัวคน หากไม่มี งั้นก็ให้อยู่ทำงานที่หอไล่ตามเมฆาให้หมดนั่นแหละ” จ้านเป่ยเซียวกล่าวเสียงเข้มออกมา
“ขอรับ” จากนั้นคนผู้นั้นก็จากไป
ในห้องจู่ๆ ก็เงียบสงัดขึ้นมา มีความแตกต่างที่เห็นได้ชัดจากการตะคอกใส่กันและกันเมื่อครู่นี้มาก
เฟิ่งชิงหัวกัดเม้มริมฝีปาก แล้วก็เกาหน้าอีกอย่างไม่มีสาเหตุ ก็รู้สึกว่ามีความอึดอัดที่น่าอายเช่นนั้นอยู่บ้าง
เดิมยังคิดว่าพวกของเหลียวเถียนเถียนอาจเป็นไปได้ว่าในครั้งนี้ก็คงจะถูกปล่อยไปแล้ว คิดไม่ถึงว่าเหมือนว่าเพราะสาเหตุของนางใอครู่ กลับยิ่งถูกลูกหลงไปอย่างร้ายแรงเลย?
พ่อแม่มารับคนด้วยตนเอง อีกทั้งยังเป็นสถานที่ที่ขุนนางเข้าออกให้ควักที่สุดเช่นนี้อย่างหอไล่ตามเมฆาด้วย เดาได้เลยว่าหน้าตาต้องเสียหายยับเยินแน่
“พูดสิ เมื่อครู่ได้รับความไม่เป็นธรรมไม่ใช่หรือ?” จ้านเป่ยเซียวนั่งอยู่ตรงนั้น มองไปยังบางคนที่นั่งก้มศีรษะราวกับนกกระทาไม่ปานอย่างไม่มีอารมณ์
เฟิ่งชิงหัวได้ฟังดังนั้น ก็เงยศีรษะขึ้นมาอย่างอ่อนแรง มองไปยังจ้านเป่ยเซียวครู่หนึ่งแล้วก็ก้มศีรษะต่อ
จ้านเป่ยเซียว: “……”
ที่แยกเขี้ยวยิงฟันเมื่อครู่ กับน่าสงสารจับใจเมื่อครู่นี้ โดยเฉพาะเป็นการมองมาอย่างใจฝ่ออย่างเมื่อครู่นั้น ในใจของจ้านเป่ยเซียวถูกนางเกาจนคันไปหมดแล้ว
“นั่งบนพื้นทำอะไร? ตรงข้านี่ไม่มีที่ให้เจ้านั่งหรือไง?” จ้านเป่ยเซียวกล่าวออกมาด้วยเสียงเย็นชา
ขาทั้งสองข้างของเฟิ่งชิงหัวอยู่บนพรม ลื่นไปลื่นมา ขยับไปมา สุดท้ายนั่งลงไปบนที่นั่งนุ่มนิ่ม มือทั้งสองข้างวางอยู่ใต้โต๊ะ มือทั้งสองข้างประกบเข้าหากันเบาๆ แต่ว่าก็ไม่กล้ามองมาทางจ้านเป่ยเซียว
พอนึกถึว่าตนเองพอเข้าประตูมาก็ปะทุอารมณ์โกรธออกมา เฟิ่งชิงหัวก็รู้สึกใจฝ่อขึ้นมาในตอนนี้
ในตอนนี้สติสตังก็กลับมาแล้ว วันนี้จ้านเป่ยเซียวเรียกองค์ชายใหญ่มาที่นี่ เป็นไปได้มากที่ตอบแทน “ความจริง” ที่นางพูดเมื่อคืนนี้ ตนเองกลับใส่อารมณ์โมโหที่เข้ามาไม่ได้ และความโมโหทั้งหมดทางด้านของเหลียวเถียนเถียนนั้นลงไปบนตัวของเขาทั้งหมด
จากนั้นเมื่อครู่เขายังจะช่วยระบายความแค้นให้ตนเองอีก
ในขณะที่คิดอยู่เช่นนี้ เฟิ่งชิงหัวก็ทอดถอนใจออกมายาวๆ
“ถอนหายใจหายอะไร? ไม่พอใจในวิธีการจัดการของข้าหรือ?”
“เปล่า ไม่ใช่ ค่อนข้างพอใจ” เฟิ่งชิงหัวกล่าวออกมาเบาๆ
“ตอนนี้รู้แล้วว่าข้าเป็นที่พึ่งของใครหรือยัง?”
“ของข้า” เฟิ่งชิงหัวกล่าวออกมาเบาๆ
มือของจ้านเป่ยเซียวอยู่บนหัวของเฟิ่งชิงหัว ลูบเขย่าไปมาสองครั้ง แล้วกล่าวออกมาอย่างวางอำนาจบาตรใหญ่ว่า: “เจ้าอนุญาตให้ข้ารังแกได้เพียงคนเดียว เข้าใจไหม?”
เฟิ่งชิงหัวไร้ซึ่งคำพูด: “ทำไมเจ้าถึงรังแกข้าเพียงคนเดียวล่ะ แม้ว่าเป็นการถอนขนแกะก็ไม่อาจถอนขนแกะจากแกะตัวเดียวได้หรอกนะ”
จ้านเป่ยเซียวได้ยินนางบ่นออกมาเช่นนี้ก็จนปัญญา: “เจ้านี่ไม่ฉลาดเอาซะเลย”
คนอื่นที่ไหนจะคู่ควรให้เขารังแกได้กันเล่า
“เจ้าต่างหากที่ไม่ฉลาดเอาซะเลย” เฟิ่งชิงหัวปัดมือของเขาให้ร่วงลงไป: “องค์ชายใหญ่อยู่ไหน? ส่งมอบเขาให้ข้า”
จ้านเป่ยเซียวได้ยินก็เงนศีรษะขึ้น: “แน่นอนว่าย่อมอยู่ที่ข้าที่นี่”
“งั้นเจ้าก็รีบส่งมอบคนมาให้ข้าสิ ข้าไม่ได้มีเวลามากมายขนาดนั้นนะ” เฟิ่งชิงหัวกล่าว
“ส่งมอบให้เจ้า? เมื่อครู่เจ้าด่าว่าข้าขนาดนั้นก็ ข้าก็ส่งมอบคนให้เจ้าเช่นนี้น่ะเหรอ มันค่อนข้างจะเสียหน้าไปหน่อยไหม?” ในขณะที่จ้านเป่ยเซียวพูดอยู่ นิ้วมือก็เคาะไปบนหน้าโต๊ะเบาๆ
ดวงตาและจิตใจของเฟิ่งชิงหัวก็เปล่งประกายออกมาทันที คุกเข่านั่งขึ้นมา เอาน้ำที่อยู่ในถ้วยชาเททิ้ง แล้วก็รินให้จ้านเป่ยเซียวใหม่หนึ่งถ้วย จากนั้นก็ยกให้จ้านเป่ยเซียวอย่างนอบน้อม: “ท่านอ๋องเชิญดื่มชา เมื่อครู่ข้าน้อยเอาจิตใจที่คับแคบของตนไปคิดกับคนใจคอกว้างขวาง ขอให้ใต้เท้าอย่างท่านอ๋องใจกว้าง อย่าได้เอาเรื่องเอาราวกับข้าน้อยเลย”
จ้านเป่ยเซียวรับเอาถ้วยชาไป ทำเป็นดื่มไปหนึ่งคำ จากนั้นก็กล่าวอย่างรังเกียจว่า: “แค่นี้เองน่ะเหรอ?”
เฟิ่งชิงหัวรีบลุกขึ้นมาเดินไปยังด้านหลังของจ้านเป่ยเซียว ทุบไหล่บ่าให้เขา: “ท่านอ๋องรอมาตลอดทั้งเช้าเลย รอจนเหนื่อยเลยล่ะสิ เป็นข้าเองที่โง่เขลา ไม่อาจตระหนักรับรู้ในความหมายของท่านอ๋องเอง ทำให้ท่านอ๋องรอนานเลย”
จ้านเป่ยเซียวได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วขึ้นมา: “ใครรอเจ้ากัน ข้าเชิญองค์ชายใหญ่มาดื่มน้ำชาต่างหาก”