พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 275 เสพสุขอย่างเต็มที่
พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 275 เสพสุขอย่างเต็มที่
“ได้สิ” เฟิ่งชิงหัวยิ้มจนตาตี่ แล้วยกมือขึ้นป้องปากแอบหัวเราะ : “ลงมือด้วยตนเองจึงจะตื่นเต้น ท่ารีบไปเร็วเข้า สนุกมากเลยนะ”
จ้านเป่ยเซียวถอนหายใจ เขาคงไม่อาจรับรู้ได้ว่าการทำเรื่องเช่นนี้น่าตื่นเต้นอย่างไร เขาคิดว่าจะลงไปแล้วให้ทุกคนที่อยู่ในห้องพระเครื่องต้นออกไปให้หมด ส่วนตัวเขาก็จะไปยกของกินมาให้แมวน้อยจอมตะกละได้อิ่มท้อง
แต่สุดท้าย คนที่เหลืออยู่ในห้องเครื่องต้นเป็นคนสุดท้ายกลับลงกลอนประตูแล้วเดินออกไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนอาหารเหล่านั้นก็ถูกวางเอาไว้ในซึ้ง
“ประตูปิดแล้ว ช่างมันเถอะ ข้าจะพาเจ้ากลับไปที่จวนอ๋องเพื่อ…” คำว่า “กิน” ติดอยู่ในปากพักใหญ่ จากนั้นจ้านเป่ยเซียวก็รีบเปลี่ยนคำพูดทันที : “ขโมย”
เฟิ่งชิงหัวส่ายหน้าเหมือนกับกลองป๋องแป๋ง จากนั้นก็หยิบด้ายสีเงินออกมาหนึ่งเส้นราวกับร่ายมนตร์ และยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์เป็นพิเศษ : “ไม่ต้อง ข้าเตรียมการเอาไว้นานแล้ว ท่านดูข้าให้ดีนะ”
ขณะที่พูด ก็เปิดแผ่นกระเบื้องบนหลังคาของห้องพระเครื่องต้นขึ้นมา แล้วพันด้ายเงินเส้นนั้นจนเกิดเป็นรูปร่างแปลกประหลาด แล้วค่อย ๆ หย่อนลงไปด้านล่าง เปิดซึ้งนึ่งออก แล้วเกี่ยวไก่ย่างขึ้นมาหนึ่งตัว
ไก่ย่างตัวนั้นกระพือปีกอันเกลี้ยงเกลา ค่อย ๆ โซเซยืนขึ้นมา และลอยขึ้นมากลางอากาศด้วยท่าเท้าสะเอวที่ดูแปลกตา
เมื่อลอยขึ้นมาอยู่ตรงกลาง ก็มีเสียงของนางกำนัลสองคนดังขึ้นที่ประตู
“โจ๊กรังนกของนายน้อยตุ๋นเสร็จนานแล้ว ท่านวางใจเถอะ ข้าน้อยคอยเฝ้าดูอยู่ตลอด ไม่มีใครกล้าแตะต้องแน่นอน”
“พวกเจ้าห้องพระต้นเครื่องห้ามอู้งานโดยเด็ดขาด ข้าจะบอกเจ้าให้นะ รังนกนั่นเป็นรังนกเลือดชั้นยอดที่หาได้ยากยิ่ง หากตุ๋นจนเสียหาย นายน้อยตำหนิลงมา ใครก็อย่าคิดว่าจะรอดไปได้”
จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงของกุญแจไขประตู
“เอ๊ะ ทำไมซึ้งใบนี้จึงเปิดอยู่ เมื่อครู่ตอนที่ข้าออกไป ปิดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว หืม ทำไมจึงมีแต่จานเปล่าล่ะ ? ใครขโมยไก่ย่างที่อยู่ด้านในไปเสียแล้ว ?”
“เหอะ ๆ เลิกแสดงละครได้แล้ว ประตูถูกปิดไว้แล้ว ใครจะขโมยได้อีก จะต้องเป็นคนในห้องเครื่องต้นของพวกเจ้าขโมยไปกินเองแน่นอน”
“เปล่านะ ไม่มีจริง ๆ นี่คืออาหารสำหรับงานเลี้ยงในวัง ใครจะกล้าแตะต้อง”
“งานเลี้ยงในวังดำเนินไปกว่าครึ่งแล้วไม่ใช่หรือ ไม่แน่ว่าพวกเจ้าเองอาจคิดว่าส่วนที่เหลืออาจไม่จำเป็นอีกแล้ว ดังนั้นจึงลิ้มรสเองเสียก่อนแล้ว”
“ไม่มีจริง ๆ นะ ท่านอย่าใส่ร้ายข้าน้อย”
ขณะที่ทั้งสองกำลังโต้เถียงกัน จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงของแผ่นกระเบื้องที่อยู่เหนือหัวดังขึ้น พวกนางเงยหน้าขึ้นมอง บั้นท้ายของไก่ตัวหนึ่งกำลังหันหาพวกนาง และหายไปอย่างไร้ร่องรอยในวินาทีถัดมา
เฟิ่งชิงหัวที่อยู่บนหลังคา คว้าไก่มาไว้ในมือ แล้วยิ้มอย่างภาคภูมิใจพลางพูดว่า : “ข้ายอดเยี่ยมใช่ไหมล่ะ ?”
มีเสียงกรีดร้องดังลั่นลอยขึ้นมาจากด้านล่าง : “มีคนขโมยของ ใครก็ได้รีบมาเร็วเข้า คนผู้นั้นอยู่บนหลังคา !”
“ใครใจกล้าเช่นนั้น กล้าขโมยอาหารของห้องพระเครื่องต้น !”
จ้านเป่ยเซียวได้ยินดังนั้น ก็ไม่มีเวลาตอบคำถามของเฟิ่งชิงหัวอีก รีบโอบเอวนางแล้วเหาะลอยหนีจากห้องพระต้นเครื่องไปไกลทันที
สุดท้ายทั้งสองก็เหาะลงบนต้นไม้ที่เขียวชอุ่มต้นหนึ่ง บนต้นเต็มไปด้วยดอกไม้ที่มีลักษณะคล้ายกับดอกซากุระ ส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ ออกมา เป็นเพราะน้ำหนักของทั้งสองคน ทำให้กิ่งไม้สั่นไหว และมีกลีบดอกไม้ค่อย ๆ ร่วงหล่นลงบนพื้น
เฟิงชิงหัวมองสำรวจด้วยแววตาที่เจ้าเล่ห์ เมื่อพบว่าไม่มีใครตามมา ก็ยิ้มร่าแล้วหันไปพูดกับจ้านเป่ยเซียวว่า : “ไม่มีใครเห็นใช่ไหม”
จ้านเป่ยเซียวจ้องมองสีหน้าที่พึงพอใจและภาคภูมิใจของนาง ก็รู้สึกจนใจทันที
“เฟิ่งชิงหัว ทำไมเวลาเจ้าเมาถึงได้สมองกลวงเช่นนี้นะ”
เมื่อเทียบกับเวลาปกติที่พูดเป็นต่อยหอย ทำงานเด็ดขาด ก็ดูเหมือนเป็นคนละคนกัน
เฟิ่งชิงหัวผลักเขาออกไปด้วยความโมโห : “ห้ามว่าข้าโง่เด็ดขาด หากท่านพูดอีกครั้ง ข้าจะไม่เชิญท่านกินไก่แล้วนะ”
ขณะที่พูด นางก็เลือกพิงตัวลงบนลำต้นของต้นไม้ แล้วหยิบรางวัลแห่งชัยชนะของตนเองออกมา จากนั้นจึงฉีกน่องไก่ออกมาหนึ่งข้างแล้วเริ่มกิน รสชาติดีทีเดียว สีหน้าแสดงถึงความพอใจอย่างยิ่ง
จ้านเป่ยเซียวยืนอยู่บนยอดไม้ มือข้างหนึ่งจับกิ่งไม้เรียวยาวเอาไว้ และจ้องมองนางอย่างเงียบ ๆ
“อย่ามองข้า ต่อให้มองข้าข้าก็ไม่ให้ท่านหรอก นอกเสียจากท่านจะขอร้องข้า หากขอร้องข้าข้าก็จะให้ท่าน” เฟิ่งชิงหัวจัดการน่องไก่ชิ้นหนึ่งอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เริ่มฉีกอีกข้างหนึ่งออกมา ขณะที่ฉีกก็พูดไปพลาง
“เฟิ่งชิงหัว เจ้าลืมเรื่องอะไรบางอย่างไปหรือเปล่า ?” จ้านเป่ยเซียวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“เรื่องอะไร ?”
“เมื่อครู่ตอนที่อยู่ในศาลา เจ้าถามข้าไม่ใช่หรือว่า หากเจ้าลวนลามข้า ข้าจะทำเช่นไร ?” ตอนที่พูด ดวงตาทั้งสองข้างก็หรี่ลง แล้วจ้องมองเฟิ่งชิงหัวด้วยสายตาอันตราย
“อ้อ จริงด้วย ท่านจะทำเช่นไร ?”
“แต่เมื่อครู่ดูเหมือนเจ้ายังลวนลามไม่เสร็จ คำถามนี้ ข้าจึงยังไม่ได้ตอบออกมาอย่างเป็นรูปธรรม” น้ำเสียงของจ้านเป่ยเซียวนุ่มนวล แฝงไปด้วยการเล้าโลม
ยากนักที่จะได้พบกับเฟิ่งชิงหัวที่สมองกลวง จ้านเป่ยเซียวจึงนึกสนุกขึ้นในใจ
ตอนนี้เฟิ่งชิงหัวกำลังจัดการกับน่องไก่ทั้งสองข้าง เมื่อได้ยินดังนั้นก็ผงะไป ผ่านไปพักใหญ่จึงพยักหน้า : “ดูเหมือนจะใช่”
“เช่นนั้นเจ้าคิดจะลวนลามต่อหรือไม่ ? ข้าจะได้ให้คำตอบกับเจ้าได้เร็วหน่อย ?” จ้านเป่ยเซียวทำเสียงทุ้มต่อไป จากนั้นก็ค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้เฟิ่งชิงหัวทีละนิด ๆ
เฟิ่งชิงหัวโยนไก่ย่างที่อยู่ในมือลงไปใต้ต้นไม้ จากนั้นจึงหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งออกมาเช็ดมือ แล้วพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง : “ใช่ ควรให้คำตอบเร็วสักหน่อย ข้าจะต้องทำให้บรรดาอำมาตย์เหล่านั้นรู้ว่า ท่านอ๋องเจ็ดของพวกเขา ก็เป็นเพียงเสือกระดาษ ทำได้เพียงแค่ขู่ให้คนตกใจกลัวได้เท่านั้น ต่อให้ถูกข้าลวนลาม ก็ไม่มีทางขัดขืนแน่นอน”
จ้านเป่ยเซียวได้ยินดังนั้น จึงกระแอมเบา ๆ ใบหน้าแดงก่ำ และปรากฏภาพที่ไม่เหมาะสมขึ้นในหัว
“เช่นนั้นเจ้าก็เข้ามาสิ ข้ากำลังรออยู่นะ” จ้านเป่ยเซียวยืนนิ่งต่อหน้าเฟิ่งชิงหัว
“อืม ท่านอย่าขยับ ข้าเป็นคนลวนลามท่าน ไม่ใช่ท่านลวนลามข้า ท่านห้ามขยับเด็ดขาด” เฟิ่งชิงหัวพูดพลางลุกยืนขึ้น แล้วก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ทว่า ตอนนี้เป็นเพราะนางกำลังมึนเมา ทำให้ภาพของคนที่อยู่ตรงหน้ายังมองเห็นเป็นภาพซ้อน ดังนั้นจึงก้าวพลาดแล้วตกลงไปด้านล่างทันที
รูม่านตาของจ้านเป่ยเซียวหดลง เขากระโดดลอยตัวไปข้างหน้า แล้วคว้าเอวของเฟิ่งชิงหัวเอาไว้ และทั้งสองก็เหาะลงพร้อมกัน
ทั้งสองไม่ได้เหาะลงบนพื้น แต่เหาะลงบนกิ่งไม้ที่ยื่นออกมาอีกกิ่งหนึ่ง
กิ่งไม้กิ่งนี้เล็กกว่ากิ่งเมื่อครู่มาก จึงแบกรับน้ำหนักของทั้งสองคนแทบไม่ไหว ตอนนี้กำลังแกว่งขึ้นลง และส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด
เฟิ่งชิงหัวถูกจ้านเป่ยเซียวกดทับจนแน่นอยู่บนกิ่งไม้เช่นนี้
เมื่อนอนหงายอยู่เช่นนี้ ก็รู้สึกได้เพียงว่าใบหน้าของชายหนุ่มอยู่ด้านบนและขยับเข้าขยับออก แกว่งไกวจนนางรู้สึกเวียนหัว
ระหว่างที่กำลังวิงเวียนอยู่นั้น นางก็เห็นดอกซากุระจำนวนมากกำลังโปรยปรายลงมาเหนือศีรษะของนาง ลมพัดผ่านมาพอดี ทำให้กลีบดอกไม้เต้นรำไปโดยรอบพวกเขา
“เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม ?” จ้านเป่ยเซียวเห็นนางขมวดคิ้ว จึงถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
เฟิ่งชิงหัวขมวดคิ้วแล้วพูดว่า : “ตกลงกันแล้วว่าข้าเป็นฝ่ายลวนลามท่าน ท่านห้ามขยับ ข้าจัดการเอง !”
ขณะที่พูด ก็จับใบหน้าของจ้านเป่ยเซียวแล้วเงยหน้าขึ้น
จ้านเป่ยเซียวดวงตาเบิกโพลง
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ก็มีเสียงของชายหญิงค่อย ๆ ดังใกล้เข้ามาที่ใต้ต้นไม้
“องค์ชาย ท่านนัดข้ามาที่นี่ทำไม ที่นี่ไม่มีใครสักคน ดูแล้วน่ากลัวยิ่งนัก” เสียงของหญิงสาวเอ่ยถามอย่างเขินอาย
“น้องเหยา ที่ข้านัดเจ้าออกมา เพราะอยากจะบอกเจ้าว่า ข้าชอบพอเจ้า ข้าอยากขอเจ้าแต่งงาน แต่ก็กลัวว่าเจ้าจะไม่เต็มใจ”