พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 279 นี่คือท่าทางการขอโทษของเจ้าหรือ
พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 279 นี่คือท่าทางการขอโทษของเจ้าหรือ
เมื่อหลิวหยิ่งกล่าวจบก็เงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นท่าทางของทั้งสอง เขาก็ตกใจจนตาค้าง
เขาไม่เคยเห็นเจ้านายของตนในด้านนี้มาก่อน
แม้ว่าจะโปรดปราณพระชายามาก แต่ปกติแล้วก็ยังคงมีท่าทางราวเทพสูงส่งที่ยากจะเข้าถึง เคยทำตัวราวกับคนธรรมดาเดินดินแบบนี้เสียที่ไหนกันเล่า
แถมยังเป็นช่วงเวลาที่สองสามีภรรยากำลังทะเลาะกันอยู่ด้วย
ในความคิดของเขานั้นต้องขอบคุณพระชายาอย่างยิ่ง เพราะนางเป็นคนช่วยไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า
“เจ้ายังอยากมีดวงตาอยู่อีกหรือไม่” จ้านเป่ยเซียวเสียงแข็ง
หลิวหยิ่งได้สติกลับมา เขาตกใจจนเหงื่อแตกแล้วนั่งคุกเข่าลงบนพื้นอย่างรวดเร็ว “ข้าน้อยสมควรตาย!”
“ถ้าท่านอยากจะว่าก็ว่าที่ข้าได้เลย อย่ามาตีวัวกระทบคราด” เฟิ่งชิงหัวที่อยู่บนหลังจ้านเป่ยเซียวพูดโดยที่ขาของนางยังคาอยู่ที่เอวของเขาราวกับนางกำลังขี่ม้า
จ้านเป่ยเซียวหันหน้าไปมองเฟิ่งชิงหัวหนึ่งแวบ “ลงไป”
“ไม่”
“ข้าต้องออกไปเจอแขก”
“ท่านก็ไปพบสิ ยังไงข้าก็ไม่กลัวเรื่องขายหน้าอยู่แล้ว” เฟิ่งชิงหัวเชิดหน้าขึ้นราวกับหมูที่ไม่กลัวน้ำร้อน
เพราะตั้งแต่ที่นางตั้งใจจะมาขอโทษ นางก็ไม่ได้คิดจะล้มเลิกกลางทางอยู่แล้ว
อีกอย่างตอนนี้นางกำลังใส่หน้ากากอยู่ นางไม่เขอะเขิน แต่จ้านเป่ยเซียวเองนั่นแหละ การที่เขาต้องแบกผู้หญิงคนหนึ่งไปพบคนอื่น เขาน่าจะรู้สึกเขอะเขินมากกว่า
จ้านเป่ยเซียวเหลียวมองนาง “นี่คือท่าทางในการขอโทษของเจ้างั้นหรือ”
“ท่านไม่ยอมรับการขอโทษของข้า เช่นนั้นข้าก็ทำท่าทางแบบนี้แหละ หากท่านยอมรับข้าถึงจะเปลี่ยนท่าทาง”
“ฝันไปเถอะ!”
“อย่างนั้นข้าจะติดตามท่าน” เฟิ่งชิงหัวกระฟัดกระเฟียด เมื่อกล่าวนางก็เอาหัวของนางไปซุกอยู่ที่หลังของจ้านเป่ยเซียว “ท่านไปพบแขกเถิด ไม่ต้องสนใจข้า ข้าขอนอนสักครู่”
จ้านเป่ยเซียวขบฟันแน่น เขารู้สึกอยากจะสลัดเฟิ่งชิงหัวทิ้งไปให้พ้นๆ เมื่อหันหน้าไปมองจึงสบดวงตาของนางเข้า
“เตรียมฉากกั้นลม” จ้านเป่ยเซียวสั่งการ น้ำเสียงของเขาสงบนิ่งขึ้นกว่าตอนแรก
“ขอรับ” หลิวหยิ่งรีบออกไปเตรียม
เว่ยหยวนดูแลชายแดนมาเป็นเวลานาน และเคยเป็นลูกน้องของจ้านเป่ยเซียวมาก่อน หลังจากที่จ้านเป่ยเซียวบาดเจ็บหนัก เว่ยหยวนจึงต้องมาทดแทนตำแหน่งของเขา
แต่ในใจของเว่ยหยวน จ้านเป่ยเซียวยังคงเป็นเทพแห่งสงครามเสมอ เป็นแม่ทัพใหญ่เพียงคนเดียวในใจของเขา
เว่ยหยวนยังมีแม่ทัพเล็กๆ คอยติดตามมาด้วย ทั้งหมดล้วนเป็นคนที่เคยฟังคำสั่งของเทพอย่างจ้านเป่ยเซียวแต่ไม่มีใครเคยเห็นตัวเป็นๆ ของเขา
ในขณะที่ทุกคนกำลังตื่นเต้นจนถูมือตัวเองเพราะกำลังจะได้เจอท่านอ๋องอยู่นั้นเอง ก็เห็นองครักษ์สองคนยกฉากบังลมเข้ามาไว้ในห้องโถง ในช่วงเวลาแห่งความสงสัยนั้นเองก็เห็นคนคนหนึ่งเดินออกมาจากด้านหลังห้องโถง พวกเขายังไม่ทันจะเห็นได้ถนัด คนคนนั้นก็เข้าไปอยู่หลังฉากบังลมแล้ว
เว่ยหยวนคิดว่าตนน่าจะตาฟาดไป ไม่อย่างนั้นแล้วทำไมเขาถึงเห็นว่าด้านหลังของท่านอ๋องคล้ายแบกของบางอย่างมาด้วย
“คารวะท่านอ๋อง” ทุกคนล้วนลุกขึ้นทำความเคารพ
“ลุกขึ้น ว่ามาเถิดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น” เสียงผู้ชายดังออกมาจากหลังฉากกั้นลมอย่างราบเรียบ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม
เว่ยหยวนจึงรายงานสถานการณ์ออกมา จากนั้นจึงกล่าวอย่างรู้สึกโกรธแค้น “ท่านอ๋อง พวกเราไม่อาจปล่อยให้คนพวกนั้นเสียงดังแบบนั้น น่าจะใช้สีเพื่อเชิดชูอานุภาพของเทียนหลิงของพวกเราบ้าง
“เรื่องนี้ ฝ่าบาททรงมีรับสั่งอย่างไรบ้าง”
“ข้าเพิ่งออกมาจากวังหลวง ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้เฝ้าชายแดนไว้อย่างแน่นหนา รักษากองกำลังเอาไว้”
“ในเมื่อบอกว่าให้เฝ้า อย่างนั้นก็เฝ้าเถิด”
“ท่านอ๋อง แต่ว่าโจรพวกนั้นเสียงดังเอะอะ เหล่าทหารถูกต่อว่าจนหดหัวเหมือนเต่าไปหมดแล้ว หากเป็นอย่างนี้ต่อไป ทหารคงอยู่กันไม่เป็นสุขแน่” เว่ยหยวนคิดว่าท่านอ๋องน่าจะมีความคิดไปในทิศทางเดียวกับพวกเขาโดยให้เปิดด่านเพื่อปล่อยศัตรูเข้ามา คิดไม่ถึงว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นนี้
“สิ่งที่อีกฝ่ายรออยู่คือรอให้พวกเจ้าทนไม่ไหว เจ้าเคยคิดเอาไว้หรือไม่ว่าธัญญาหารมาจากไหน เมื่อใดก็ตามที่พวกเจ้าเปิดด่านให้ศัตรูเข้ามา หากพวกมันทั้งสองฝ่ายโจมตีพร้อมกันขึ้นมาแล้วร่วมกันต่อสู้ล่ะ ต้องรับมือกับข้าศึกทั้งด้านหน้าด้านหลัง เจ้าจะแยกร่างอย่างไร” จ้านเป่ยเซียวกล่าวเสียงหนักแน่นและวิเคราะห์ทุกอย่างออกมาให้เห็นภาพ
“แต่ว่าอีกสองฝั่งที่เหลือไม่เคยมีการเคลื่อนไหวแต่อย่างใด”
“ไม่ใช่ว่าไม่มี เพียงแต่เจ้าเองต่างหากที่ไม่สังเกต เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าคนนอกด่านพวกนั้นหลายปีที่ผ่านมานี้ได้เก็บเกี่ยววิชาการรบแบบเคลื่อนที่มานาน ทำไมไม่กี่เดือนนี้ถึงได้รวมตัวกันเป็นกองกำลัง และมายั่วยุเอะอะอยู่ที่ด้านนอกด่านของพวกเจ้า”
เว่ยหยวนเมื่อถูกถามเช่นนี้กลับตอบไม่ได้ ได้แต่ก้มหน้าบ่น
แม่ทัพคนอื่นๆ อดรนทนไม่ไหวจึงกล่าวว่า “ท่านอ๋อง พวกเราทุกคนล้วนเป็นที่ฟังคำสั่งของท่านจนเติบโต ในกองทัพทุกคนล้วนมีท่านเป็นต้นแบบ ท่านเป็นเทพแห่งสงครามหนึ่งเดียวในใจของเรา แต่ตอนนี้ท่านกลับมาใช้ชีวิตอย่างหรูหราสะดวกสบายในพระนคร เกรงว่าท่านคงลืมเลือดแห่งการปกป้องชายแดนไปแล้ว!”
“ใช่แล้วท่านอ๋อง ท่านอยู่ในพระนคร ท่านจึงไม่เห็นว่าราษฎรเดือดร้อนแค่ไหน ท่านไม่ได้ยินคำอธิษฐานของพวกเรา ตอนแรกที่แม่ทัพเว่ยพาพวกเรามา พวกเราคิดว่าท่านจะไม่เหมือนคนอื่น ท่านน่าจะเข้าใจความคิดของพวกเราและเลือกให้ยกทัพออกไป แต่ท่านกลับทำให้พวกเราผิดหวัง”
“ท่านอ๋อง พวกเขาล้วนบอกว่าท่านลงจากตำแหน่งเพราะป่วย แต่ตอนนี้ข้ารู้สึกว่า ทั้งหมดนี้คือข้ออ้าง! ท่านอยากมีชีวิตที่สุขสบายขี้ขลาดและกลัวความตายไปแล้ว!”
“หุบปาก ทำไมพวกเจ้าถึงพูดกับท่านอ๋องแบบนี้!” เว่ยหยวนตวาดตำหนิ
“ท่านแม่ทัพ พวกเราพูดผิดหรือ ในกองทัพต่างพูดกันไปว่าขาทั้งสองข้างของท่านอ๋องพิการ ไม่สามารถเดินได้ แต่เมื่อครู่นี้ท่านไม่เห็นหรือว่าขาของเขาปกติดี ไม่ได้มีปัญหาอะไรเลยแม้แต่น้อย”
ตอนนี้เว่ยหยวนเริ่มรู้สึกผิดขึ้นมาแล้วที่พาคนพวกนี้มาที่จวนอ๋องเจ็ดด้วย
“พวกเจ้าแต่ละคนต่างก็อ้างว่าทำทุกอย่างเพื่อชาวบ้าน เพื่อเทียนหลิง ข้าว่ามันน่าตลกสิ้นดี” ทันใดนั้นเองก็มีเสียงผู้หญิงกล่าวอย่างแข็งกระด้างดังขึ้นมาจากด้านหลังฉากกั้นลม น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
“ท่านอ๋อง?” เว่ยหยวนตะลึง ด้านหลังฉากกั้นลมนั้นไม่ได้มีท่านอ๋องแค่คนเดียวหรือ เหตุใดถึงมีเสียงผู้หญิงดังออกมาเล่า
“เรียกท่านอ๋องไปก็ไร้ประโยชน์! พวกไร้ค่า เวลาถูกคนอื่นว่าพวกเจ้าจะไม่ว่ากลับเชียวหรือ”
“พวกเจ้าไม่ต่างอะไรกับเด็กที่ยังไม่หย่าน้ำนมวิ่งมาที่หาท่านอ๋องเพื่อให้ท่านอ๋องแก้แค้นให้ พวกเจ้าว่าปัญญาไหมล่ะ” เฟิ่งชิงหัวกล่าวอย่างดูถูก
เดิมทีนางไม่คิดจะเอ่ยปาก แต่เนื่องจากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประเทศชาติ นางจะไม่พูดก็ไม่ได้
ไม่มีใครคาดคิดว่าเด็กน้อยที่ยังไม่โตพวกนี้เห็นว่าตัวเองอยู่ที่ด่านชายแดนมานานหน่อยจะกล้าต่อปากต่อคำกับจ้านเป่ยเซียวแบบนี้
หากนางไม่อยู่ตรงนี้ คนที่ไม่รู้จักพูดอย่างจ้านเป่ยเซียวคงถูกพวกเขารังแกอย่างแน่นอน
“เจ้าคือใคร? พวกเรากำลังหารือเรื่องบ้านเมืองอยู่ ใครใช้ให้เจ้าสอดปากมาสั่ง”
“ข้าคือใคร?”
“ข้าคือใครสำคัญหรือ”
“สิ่งที่สำคัญคือพวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าตัวเองคือใคร”
เฟิ่งชิงหัวบิดขออย่างเหลืออด
“เมื่อกี้พวกเจ้าบอกว่าท่านอ๋องละโมบชีวิตสุขสบายในพระนครจนแกล้งป่วยงั้นหรือ”
แม่ทัพพวกนั้นต่างมองหน้ากัน หนึ่งในนั้นจึงกล่าวขึ้นว่า “หรือว่าไม่ใช่ล่ะ”
“สมองของเจ้าคงมีแต่น้ำกระมัง หากเขาละโมบจริงจะยังไปทำสงครามเพื่ออะไร”
“คำวิจารณ์ที่มีต่อเขาในพระนครแห่งนี้พวกเจ้าลองไปสืบดูก็ได้ รับรองว่าทำร้ายจิตใจเสียยิ่งกว่าคำพูดของพวกเจ้าอย่างแน่นอน”
“แต่ว่า อาการบาดเจ็บที่ขาของท่านอ๋อง……”
“เดินได้หมายความว่าไม่บาดเจ็บแล้วหรือ”
“บาดแผลภายในของเขาร้ายแรงเพียงใดพวกเจ้ารู้บ้างหรือไม่”
“พวกเจ้าคือคนที่เคยผ่านสนามรบมาแล้วทั้งนั้น อย่างไรก็ต้องมีศักดิ์ศรีในตัวเองบ้างกระมัง”
“ในชีวิตประจำวันต้องทำเหมือนไม่เป็นไร แต่ร่างกายของตัวเองเป็นอย่างไรจะไม่รู้เลยเชียวหรือ”
“หรือว่าต้องบอกพวกเจ้าหรือว่าเวลาเขาเดินสามก้าวจะกระเผลก เดินอีกห้าก้าวก็ไอ ด้านในมีแต่รอยช้ำเลือด ตอนนี้อ่อนแอจนต้องพึ่งพิธีกรรม พวกเจ้าถึงจะเชื่อ?”
เฟิ่งชิงหัวเอ่ยปากต่อว่ารัวๆ ราวกับปะทัด ทำเอาคนพวกนั้นก้มหน้าไม่กล้าต่อปากต่อคำ