พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 285 กินของเผ็ดให้เหงื่อออก
พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 285 กินของเผ็ดให้เหงื่อออก
ถูกด่าว่าเป็นสุนัขจ้านเป่ยเซียวก็ไม่พูดอะไร เพียงแต่จ้องมองเฟิ่งชิงหัวด้วยสายตาขรึม ราวกับว่านางได้ทำสิ่งที่ชั่วร้ายและไม่น่าให้อภัย
เฟิ่งชิงหัวกลัวสายตาของเขาจริงๆ รีบยกมือขึ้นอย่างยอมจำนน “ตกลง ตกลง ข้าไม่ดู ได้รึยัง ต่อให้มีใครเอามีดมาจ่อที่คอข้า ข้าก็จะไม่ดู เท่านี้เจ้าพอใจแล้วรึยังเล่า? จะนอนได้หรือยัง?”
จ้านเป่ยเซียวจ้องไปที่เตียงด้านหลังพวกเขา ยุ่งเหยิงและมีรอยย่น ไม่ว่าจะมองอย่างไร ก็ทำให้คิดมาก
เฟิ่งชิงหัวคิดว่าเขารักความสะอาดมาก ดังนั้นนางจึงลุกขึ้นยืนทันทีและก้าวถอยหลังออกไปสองเมตร “เจ้าต่างหากที่บ้าไปแล้วและลากข้าขึ้นมาก่อน ไม่ใช่เรื่องของข้า อย่าหวังให้ข้าจัดที่นอนให้เจ้า ข้าง่วง จะไปนอนแล้ว!”
หลังจากพูดจบ นางก็ผลุนผลันออกจากห้องด้านใน นอนลงบนเก้าอี้ยาวนุ่มๆ ของนาง เอาผ้านวมนุ่มๆ คลุมตัวอย่างรวดเร็ว หลับตาลงและแสร้งทำเป็นตาย
จ้านเป่ยเซียวนอนลง แต่ในใจของเขาเต็มไปด้วยภาพเร้าร้อนก่อนหน้านี้ และนอนไม่หลับทั้งคืน
หลังจากรุ่งสาง เฟิ่งชิงหัวก็ตื่นขึ้นมา เปิดประตูเพื่อออกไป จ้านเป่ยเซียวก็เรียกหลิวหยิ่งเข้ามา
“นายท่าน”
“ตอนนี้พวกเว่ยหยวนถึงที่ไหนแล้ว?”
“เมื่อวานก็ออกจากเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว และตอนนี้น่าจะถึงเขตซู่โจวแล้วขอรับ”
“มอบจดหมายฉบบับนี้ให้กับกองทหารรักษาการณ์ของเซียวเป่ย” จ้านเป่ยเซียวมอบจดหมายที่มีรอยประทับไฟให้กับหลิวหยิ่ง
“พระชายาล่ะ”
“ตอนนี้พระชายาอยู่ในครัว ท่านหญิงผู้นั้นอยากทานแป้งกรอบเป็นอาหารเช้าขอรับ” หลิวหยิ่งกล่าว
จ้านเป่ยเซียวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “บอกนางว่าข้าทานบะหมี่เป็นอาหารเช้า”
หลิวหยิ่งรับคำสั่ง หลังจากออกมาแล้ว เขารู้สึกแปลก ๆ เล็กน้อย นายท่านเริ่มสั่งอาหารเมื่อไหร่กัน?
เฟิ่งชิงหัวซึ่งอยู่ในครัว พูดไม่ออกหลังจากรู้เรื่องนี้ “ท่านอ๋องของพวกเจ้าชอบทำโน่นทำนี่ เจ้าไม่เห็นหรือว่าข้ายุ่งอยู่? จะมีเวลาทำบะหมี่ให้เขาได้อย่างไร?”
“พระชายา นี่เป็นครั้งแรกที่นายท่านรับสั่งทานบะหมี่เป็นอาหารเช้า ท่านทำให้เถอะขอรับ ขนมกรอบนี้ ข้าน้อยช่วยหาคนเฝ้าไฟให้ท่านนะขอรับ?”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็แค่ขอให้ใครสักคนทำบะหมี่ไปส่งแล้วบอกว่าข้าทำ” เฟิ่งชิงหัวไม่ขยับ ยังคงนวดแป้งต่อไป
“ไม่ได้ขอรับ พระชายา ท่านก็รู้ว่านายท่านรับใช้ยากเสมอมา ถ้ารู้ว่าท่านไม่ได้ทำด้วยตัวเอง เมื่อถึงเวลานั้นก็จะโมแล้วขอรับ?”
เมื่อได้ยินคำว่า “โมโห” เฟิ่งชิงหัวก็รู้สึกเจ็บไหล่อีกครั้ง
กระต่ายตัวนั้น!
“ตกลง เดี๋ยวเจ้ามาเอา”
“นายท่านบอกว่าเขาอยู่ที่หลังภูเขาและให้ท่านไปส่งด้วยตนเองขอรับ” หลิวหยิ่งยังรู้สึกว่านายท่านเรื่องมากเล็กน้อย สีหน้าเขาพูดไม่ออก
โชคดีที่พระชายาตกลงหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ซึ่งทำให้หลิวหยิ่ง ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
กลัวว่านายท่านจะเรื่องมากมากเกินไป พระชายาไม่ทำ และเขาที่เป็นลูกน้องก็จะลำบาก
ขณะที่กำลังอบขนมกรอบ เฟิ่งชิงหัวเอาก้อนบะหมี่ที่เหลือและเริ่มทำเป็นบะหมี่ หลังจากสุกแล้วตักลงในชามกระเบื้องสีขาวที่ใหญ่ที่สุด ตักเนื้อหนึ่งช้อนเต็ม แล้วโรยพริก ผักชี น้ำมัน ต้นหอม
เนื้อทำจากเนื้อวัวปรุงสุกหั่นเป็นก้อนจากครัวใหญ่ ชุปในน้ำมันร้อน ผัดกับซอสเพื่อเก็บน้ำ
แล้วตักซุปกระดูกชิ้นโตอีกชามที่ต้มไว้ตั้งแต่เช้า โรยด้วยผงเครื่องเทศที่นางบดและต้นหอม
ขนมกรอบก็อบเสร็จพอดี หยิบขนมกรอบสองแผ่น ใส่กล่องหออาหารพร้อมกับบะหมี่ ส่งอีกจานไปที่ห้องของหยูจีพร้อมซุป และให้หลิวหยิ่งนำส่วนที่เหลือไปแบ่งกับทหารอารักขาหลายคน
เฟิ่งชิงหัวถือกล่องอาหารเดินช้าๆ ไปตามทางขึ้นภูเขาอย่างไม่รีบร้อน
เมื่อปีนขึ้นไปบนภูเขาได้ครึ่งทาง เวลาก็ผ่านไปสิบบห้านาทีแล้ว
มองเห็นคนหนึ่งที่ถือหอกยาวกระโดดไปมากลางอากาศ ดูแล้วดุดันแข็งแกร่งจากระยะไกล
แทงหอกออกไป ต้นไม้สั่น ทรายปลิวหายไปในทันใด แทงออกไปเพียงครั้งเดียว ก้อนหินขนาดใหญ่ก็แตกออกเป็นหลายส่วนและปลิวว่อนไปทุกที่
ชายหนุ่มยืนต้านลมอย่างสง่า หันมามองนาง
ในตอนเช้าตรู่ หมอกยามเช้าจางหายไปแล้ว ชุดดำของชายหนุ่มปลิวไปตามลม เส้นผ้าสีแดง เข็มขัดผ้าไหมสีขาว และเส้นผมปลิวอยู่ที่มุมริมฝีปาก
เฟิ่งชิงหัวโชว์กล่องอาหารในมือมาทางเขาและพูดอย่างเคือง ๆ “เจ้าหล่อเสร็จแล้วเหรอยัง? หลังจากหล่อเสร็จแล้วก็มาทานอาหารเช้าได้แล้ว”
จ้านเป่ยเซียวเลิกคิ้วมองนาง และทันทีที่เขาพูด รัศมีแห่งราชาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย และพูดด้วยคำแรงๆว่า “ถ้าเจ้าไม่บอกว่าเป็นอาหารเช้า ข้าเกือบจะคิดว่าเป็นอาหารกลางวัน”
เฟิ่งชิงหัวบ่นพึมพำ “ก็เพราะเจ้านั่นแหละ ไม่อยู่ในห้องดีๆ ทำให้ข้าต้องส่งขึ้นมา”
ขณะที่พูดก็เดินเข้าไปใกล้ศาลาและหยิบอาหารออกมาทีละจาน
จ้านเป่ยเซียวเห็นแล้วก็ขมวดคิ้ว “ติดหนึบกันเช่นนี้ข้าจะทานอย่างไร?”
“เจ้าช่างเรื่องมากนัก รู้ว่าอยากทานบะหมี่ เจ้ายังมาบนภูเขา เหตุใดเจ้าถึงไม่ขึ้นสวรรค์เลยล่ะ” เฟิ่งชิงหัวกลอกตา หยิบออกมาชามหนึ่งแล้วเริ่มคน ผสมเนื้อ พริก และส่วนผสมอื่นๆ อย่างเท่าๆ กัน
จ้านเป่ยเซียวยืนมองอยู่ข้างนางในชุดแขนสั้นและถือหอกดู
“นี่ ดูสิว่าสีหน้าถูกรังแกของเจ้าสิ ข้าผสมให้เจ้าแล้ว ทานเถอะ” เฟิ่งชิงหัววางชามใบใหญ่ไว้ตรงข้าม วางตะเกียบคู่หนึ่งบนชาม แล้วเริ่มผสมของนางเอง
จากนั้นจ้านเป่ยเซียวก็วางหอกลงนั่งลงก้มหน้าทานคำหนึ่ง
หลังจากที่จ้านเป่ยเซียวทานไปได้ครึ่งชาม หน้าผากของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ เขาถามอย่างไม่พอใจว่า “ข้าบอกว่าข้าต้องกาทานรสเผ็ดหรือเปล่า?”
“ตอนนี้ร่างกายเจ้าเย็นมาก ทานของเผ็ดให้เหงื่อออก” เฟิ่งชิงหัวกลั้นยิ้ม สีหน้าจริงจัง
สิ่งที่คิดอยู่ในใจคือเจ้าทรมานข้าตั้งแต่เช้า ถ้าไม่รังแกเจ้าหนักหน่อย เจ้าจะคิดว่าข้าขี้กลัว
สิ่งที่นางตั้งใจใส่คือความเหนียวและเผ็ด แค่สัมผัสเพียงเล็กน้อยก็จะเผ็ดอย่างมาก
จ้านเป่ยเซียวจ้องเฟิ่งชิงหัวด้วยความสงสัย เห็นว่าสีหน้าของนางสงบนิ่งและนางเองก็ทานด้วย จึงไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองมากนัก ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงระงับความสงสัย
โชคดีที่ชามบะหมี่แห้งของเฟิ่งชิงหัวนั้นอร่อยมาก เส้นบะหมี่นั้นเหนียวและยืดหยุ่น เนื้อก็นุ่ม ทานกับหัวไชเท้าเปรี้ยวสับเล็กน้อย ยิ่งอร่อยขึ้นไปอีก
หลังจากที่จ้านเป่ยเซียวกินบะหมี่หมดชาม เขาก็รีบหยิบน้ำซุปกระดูกที่อุ่นขึ้นมาดื่มรวดเดียว
แต่ความเผ็ดร้อนตั้งแต่ริมฝีปากจนถึงปลายลิ้นก็ยังไม่หายไป แต่กลับร้อนขึ้นเรื่อย ๆ กระทั่งรู้สึกแสบร้อนถึงใจ
จ้านเป่ยเซียวกุมท้อง “เหตุใดจึงเผ็ดเช่นนี้?”
“บอกแล้วว่าร่างกายของเจ้าอ่อนแอ รสเผ็ดเล็กน้อยเช่นนี้ก็ทนไม่ได้” เฟิ่งชิงหัวกล่าวด้วยใบหน้าบูดบึ้ง
จ้านเป่ยเซียวเงียบลง หยิบตะเกียบขึ้นมาทันที เฟิ่งชิงหัวไม่ทันระวังก็คีบบะหมี่จากชามของนางแล้วใส่ปาก วินาทีต่อก็วางตะเกียบลงบนโต๊ะ สีหน้าเขาขรึมลง “เฟิ่งชิงหัว!”
พริกในชามของนางไม่เหมือนกับพริกของเขา! เขาถูกแกล้งแล้ว!
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ในที่สุดเจ้าก็รู้แล้ว ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ตลกมากเลย เจ้าทานหมดแล้วด้วย จ้านเป่ยเซียว เจ้าน่ากลัวเกินไปแล้ว ข้าต้องหยิกต้นขาตนเองตอนดูเจ้าทาน ข้าเกรงว่าจะไม่สามารถกลั้นเสียงหัวเราะได้ กลัวว่าข้าจะกลั้นไม่อยู่แล้วจะรู้ เจ้า เจ้าหลอกลวงง่ายมาก ฮ่าฮ่าฮ่า” เฟิ่งชิงหัวกุมท้อง หมอบอยู่บนโต๊ะหัวเราะจนน้ำตาคลอ