พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 291 เค้นถาม
พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 291 เค้นถาม
เฟิ่งชิงหัวยิ้มเศร้า “ไม่ใช่เรื่องสำคัญแล้ว”
ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็ไม่ต้องการให้นางทำแล้ว ตัวนางเองก็ทำไม่ได้ เช่นนั้นนางจะเหนื่อยเพื่ออะไร
“ลูกรัก อย่าเศร้าใจ เจ้าทำอาหารอร่อย ไม่มีหลักการที่ว่าจะฝึกตัดเย็บเสื้อผ้าไม่ได้ แม่เชื่อว่าแม่สามารถสอนลูกได้” หยูจีกำหมัดแน่นให้กำลังใจเฟิ่งชิงหัว
เฟิ่งชิงหัวยิ้มเศร้า “ไม่เป็นไรจริงๆ เจ้าค่ะ ก่อนหน้านี้จำต้องทำให้ได้ แต่ตอนนี้ ไม่มีความจำเป็นอะไรแล้ว”
“ลูกอย่าถอดใจเลย ฝึกสองครั้งก็ทำได้แล้ว พวกเราห้ามเป็นคนยอมแพ้กลางทาง ทุกอย่างที่ทำต้องทำให้เสร็จ!” หยูจียังคงเปี่ยมไปด้วยพลัง
เฟิ่งชิงหัวรู้ว่านางไม่อาจอธิบายให้กระจ่างได้ แต่เพื่อไม่ทำลายแรงจูงใจของนาง จึงพยักหน้า “ก็ได้ ช่วงนี้ข้ายุ่ง รอข้าว่างก่อนค่อยทำ”
“อื้ม เช่นนั้นก็ดี อ๊า ม่านเฉ่ายกข้าวมากแล้ว พวกเรากินข้าวกันเถอะ กินข้าวเสร็จถึงจะมีแรงทำงาน”
ทั้งสองนั่งกินข้าวด้วยกัน กิริยาของหยูจีสง่างาม ทว่าความเร็วในการคีบอาหารกลับไม่ช้า
ทั้งยังสามารถรักษาความถี่ แล้วยังสามารถรักษามารยาทในการทานอาหาร เฟิ่งชิงหัวที่เดิมทีเศร้าใจเวลานี้อารมณ์ดีขึ้นมา กินข้าวไปสองถ้วยโดยไม่รู้ตัว
หลังจากกินข้าวเสร็จ หยูจีอิ่มเล็กน้อย เฟิงชิงหัวพานางไปเดินย่อยอาหาร
หยูจีในตอนนี้เหมือนเด็กอายุหกเจ็ดขวบ ไม่อาจอยู่นิ่งได้แม้แต่วินาทีเดียว
ก่อนหน้านี้ยังจับมือเฟิงชิงหัวเดินแล่น เดินไปเดินมากลับสะบัดมือทิ้ง ประเดี๋ยวเหยียบพื้นหินตามทาง ประเดี๋ยวเด็ดดอกไม้
เล่นอย่างมีความสุข
เฟิ่งชิงหัวมองตามหลังนาง สายตามองไปที่เรือนหลักเป็นครั้งคราว
ตอนกลางคืนหลังจากหยูจีเข้านอน เฟิ่งชิงหัวล้างหน้าแปรงฟันกลับไปพักผ่อนที่ห้องของตนเอง
ทั้งที่เตียงทั้งนุ่มและกว้าง แต่นางกลับนอนไม่ค่อยหลับ กลิ้งตัวไปมา พลิกตัวไปมา
นอนไปนานสามชั่วยามแล้วแต่ยังคงไม่ง่วง อย่างไม่รู้ตัวนางหยิบผ้าออกมาจากตู้ จุดเทียน เริ่มเย็บปักภายใต้แสงเทียนสลัว
เย็บแผลกับเย็บเสื้อผ้าไม่เหมือนกัน เฟิ่งชิงหัวควบคุมน้ำหนักมือได้ไม่ดีเท่าใดนัก ด้วยความไม่ระมัดระวังเข็มที่ทิ่มผ่านเนื้อผ้าจึงปักโดนมือนาง
ไม่ง่ายเลยกว่าจะเย็บแขนเสื้อได้ เมื่อมองอีกด้านหนึ่ง กลับพบว่าชายกางเกงมีขนาดใหญ่ ทั้งยังนูนต่ำไม่สม่ำเสมอ ไม่เรียบแม้แต่น้อย นางต้องแกะออกแล้วเย็บใหม่
เป็นเช่นนี้ เย็บอยู่หลายรอบ ในที่สุดก็เจอเคล็ดลับแล้ว ตอนที่เย็บแขนเสื้อเสร็จ ฟ้าเกือบสว่างแล้ว
เฟิ่งชิงหัวล้มตัวลงนอนบนเตียง นอนกระทั่งเที่ยง ตอนที่ตื่นขึ้นมาอีกครั้งคือตอนที่หยูจีปลุก
“ชิงหัว ชิงหัว รีบมาทานอาหารเร็ว แม่หิวแล้ว” มือของหยูจีที่ยื่นไปจับเฟิ่งชิงหัวส่ายไปมา เห็นนางยังคงง่วง จึงคลานขึ้นไปบนเตียง ใช้ผมของตนเองจักจี้หน้าของอีกฝ่ายไม่หยุด
เฟิ่งชิงหัวเงยหน้าขึ้นด้วยความจนปัญญา มองมารดาของตนเอง “ท่านแม่ เหตุใดจึงตื่นเช้าเช่นนี้?”
“เช้า? ตะวันโด่แล้ว เหตุใดเจ้าจึงนอนเก่งเช่นนี้ ไม่เหมือนข้าแม้แต่น้อย ข้าเข้านอนเร็วและตื่นเช้า” ขณะที่หยูจีหัวเราะเยาะเฟิ่งชิงหัวไม่ลืมที่จะชื่นชมตนเอง
เฟิ่งชิงหัวเกาะศีรษะแล้วลุกขึ้น ขานรับ “เจ้าค่ะ ข้าจะไปทำเดี๋ยวนี้”
หลังจากอาบน้ำเสร็จ เพิ่งคิดขึ้นได้ โรงครัวเล็กไหม้ไปแล้ว ไม่อาจใช้งานได้แล้ว
เฟิ่งชิงหัวครุ่นคิด นำวัตถุดิบไปที่เรือนเล็กหลังเดิมพร้อมกับหยูจี ให้หยูจีเล่นในเรือน ส่วนตนทำอาหารในห้องครัว
หยูจีเล่นตามลำพังรู้สึกเบื่อหน่าย เห็นเฟิ่งชิงหัวยังคงทำอาหาร จึงวิ่งออกไปจากเรือน
นางไม่รู้ทาง วิ่งไปมั่ว สุดท้ายองครักษ์ในจวนถาม จึงรู้ว่านางมาหาท่านอ๋อง ด้วยเหตุนี้จึงพานางไปที่เรือนหลัก
หลิวหยิ่งในเวลานี้กำลังเฝ้าหน้าประตู เมื่อเห็นหยูจีเดินตามหลังองครักษ์มา จึงรีบไปถาม “ฮูหยินมาที่นี่มีธุระใดหรือขอรับ?”
“อ่อ ข้ามากินข้าวกับลูกเขย” หยูจีพูดอย่างตรงไปตรงมา ไม่รู้สึกว่ามีสิ่งใดผิดปกติ
เพราะเหตุการณ์เมื่อวาน หลิวหยิ่งไม่กล้าตัดสินใจแทนนายของตนง่ายๆ ด้วยเหตุนี้จึงบอกให้หยูจีรออยู่ข้างนอก ส่วนตนเข้าไปในห้อง
ภายในห้องกลับมาเป็นเหมือนเดิมนานแล้ว ไม่มีความวุ่นวายของเมื่อวานแล้ว
จ้านเป่ยเซียวกำลังนั่งเหม่อลอยในห้องหนังสือ
“นายท่านขอรับ มารดาของพระชายาเชิญนายท่านไปทานอาหารขอรับ” หลิวหยิ่งตอบ
รูม่านตาของจ้านเป่ยเซียวเคลื่อนไหว เคลื่อนเข้าหากัน ตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ไม่ต้องแล้ว ให้พวกนาง……”
จ้านเป่ยเซียวยังพูดไม่จบ หยูจีวิ่งเข้ามาแล้ว แม้จะแต่งตัวด้วยชุดของหญิงวัยกลางคน ทว่าท่าทีกระโดดโล้ดเต้นนั้น กลับเหมือนหญิงสาวคนหนึ่ง
“ลูกเขย” หยูจีพูดด้วยรอยยิ้ม
จ้ายเป่ยเซียวมองนางครู่หนึ่ง คิดถึงคนคนนั้น พยักหน้าด้วยความเคร่งขรึม
“ไป พวกเรารีบไปกันเร็วเข้า ชิงหัวกำลังทำอหาร อีกไม่นานก็เสร็จแล้ว” หยูจีพูดอย่างสนิทสนม
“ไม่เป็นไร ข้ากินแล้ว” เวลานี้ จ้านเป่ยเซียวยังไม่อยากเจอนาง
“กินแล้วก็กินอีกได้ ถึงอย่างไรก็ไม่ได้กินแค่มื้อเดียว ชิงหัวทำอาหารอร่อย ข้าบอกให้นางทำเป็ดทอด ซี่โครงหมูผัดเปรี้ยวหวาน เนื้อวัวผัดซอส ทำอาหารหลายอย่างเลย” หยูจีชมลูกสาวของตนเอง ลูกสาวตนเองพูดเองชมเอง แต่เพราะน้ำเสียงของนางเปี่ยมไปด้วยความใสซื่อ ด้วยเหตุนี้จึงไม่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกไม่ดี
จ้านเป่ยเซียวส่ายหน้า “ไม่เป็นไร ข้า……”
“ลูกเขย เจ้าทะเลาะกับชิงหัวหรือ?”สีหน้าของหยูจีเปลี่ยนไปกะทันหัน ถามด้วยความระมัดระวัง
จ้านเป่ยเซียวชะงัก พูดคำว่าทะเลาะในใจ
หากพูดการทะเลาะ พวกเขาทะเลาะกันบ่อย แต่ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน
เขาไม่ได้รู้สึกว่าตนทำอะไรผิด ทว่าภายในใจ กลับรู้สึกเสียใจเล็กน้อย
เรื่องใหญ่กว่านี้ ใช่ว่าเฟิ่งชิงหัวไม่เคยทำมาก่อน แค่ทำโรงครัวไหม้เท่านั้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เมื่อวานตอนที่เขารีบวิ่งไปดูด้วยความกระวนกระวาย นางเดินออกมาจากโรงครัวในสภาพน่าเวทนา แต่กลับพูดจาเช่นนั้น
“เจ้ารู้สึกว่าชิงหัวโง่ใช่หรือไม่ ดังนั้นจึงรังเกียจนาง?”หยูจีถามอีกครั้ง พูด น้ำเสียงขุ่นเคืองเล็กน้อย “ลูกสาวของข้าไม่โง่ นางทั้งฉลาดและงดงาม ทำอาหารเป็น นิสัยดี ทั้งยังเป็นฝ่ายตัดเย็บเสื้อผ้าให้เจ้า หากเจ้ารังเกียจนาง ข้าจะพานางไป พวกเราไม่อยู่ที่เรือนของเจ้าแล้ว!”
จ้านเป่ยเซียวรีบพูดทันที “ไม่ใช่ ข้าไม่ได้รังเกียจนาง”
“เช่นนั้นเพราะอะไรเล่า” หยูจีเอามือท้าวเอว เค้นถาม
หลิวหยิ่งที่ยืนอยู่ข้างๆ มองดูนายท่านของตนถูกแม่ยายเค้นถาม รู้สึกตกตะลึง
นายท่านไม่เคยให้เคารพผู้ใหญ่และรักเด็ก ไม่แม้แต่จะไว้หน้าฮ่องเต้ นับประสาอะไรกับแม่ยายที่สติไม่สมประกอบ
ทว่า หลิวหยิ่งที่เดิมทีคิดว่าต้องเผชิญหน้ากับความเดือดดาล กลับเห็นนายท่านของตนก้มหน้าลง ครุ่นคิดด้วยความตั้งใจ
“เจ้าพูดสิ เจ้าไม่พูดก็ช่างปะไรแล้ว?” หยูจีถามอีกครั้ง
จ้านเป่ยเซียวพูด “ข้าเพียงคิดว่า อาจจะต้องเปลี่ยนแปลงการอยู่ร่วมกันของเรา”
เขาสามารถใช้เหตุผลมากมายทำให้เฟิ่งชิงหัวดีกับตน ให้นางหมุนรอบตน แต่ว่า นั่นมาจากใจจริงของนางหรือ?
หากเขาใช้วิธีการนั้น เช่นนั้น หากผู้อื่นใช้วิธีเดียวกัน นางก็ยิ้มร่าและวิ่งไปเอาใจผู้อื่นได้เหมือนกันใช่หรือไม่ ยอมก้มหัวให้ผู้อื่น?
นี่ ไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากได้
“พวกเจ้าเปลี่ยนแปลงการอยู่ร่วมกัน เกี่ยวข้องอะไรกับการกินข้าว? เร็วเข้า ประเดี๋ยวชิงหัวจะตามหาข้าจนร้อนใจได้ เมื่อวานนางถึงขั้นร้องไห้”
“ร้องไห้? นาง เหตุใดนางต้องร้องไห้?” จ้านเป่ยเซียวถาม
หยูจีได้ฟัง สีหน้าเศร้าเล็กน้อย “ข้าเองก็ไม่รู้ อาจจะเป็นเพราะข้าด่าว่านางโง่ ตัดเย็บเสื้อผ้าไม่เป็นกระมัง? หรืออาจจะเป็นเพราะข้าเผาโรงครัวของนาง นางจึงโกรธข้ากระมัง?”
ขณะพูด หยูจีมองจ้านเป่ยเซียวด้วยความดุแล้วพูดขึ้น “ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เจ้ารีบลุกขึ้นเถอะ พวกเราไปกินข้าว ครอบครัวเดียวกันกินข้าวไม่พร้อมกัน เจ้าเห็นตนเองเป็นลูกเขยของข้า เห็นตนเป็นสามีของลูกสาวข้าหรือไม่?”
แม้จ้านเป่ยเซียวจะไม่ได้ยินคำตอบที่อยากฟัง ทว่าก็เดินตามหยูจีไป เดินออกไป
หลังจากเฟิ่งชิงหัวทำอาหารทุกอย่างเสร็จ ปิดไฟ ยกอาหารไปที่เรือน ไม่ได้มองเข้าไปด้านในก็เริ่มพูดด้วยน้ำเสียงเอาใจเด็ก “ท่านแม่ มาดูเร็วเข้า ข้าทำผัดมันฝรั่งให้ท่าน ท่านต้องชอบ……”
เสียงของเฟิ่งชิงหัวหายไปตอนที่เห็นจ้านเป่ยเซียวนั่งอยู่บนโต๊ะ ชั่วขณะหนึ่งไม่ทันปรับสีหน้ากลับมา