พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 304 เต็มไปด้วยความรัก
พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 304 เต็มไปด้วยความรัก
เดิมทีเฟิ่งชิงหัววางแผนไว้ว่าจะกลับเรือนเล็ก แต่กลับพบว่าห้องครัวเล็กๆ ที่ถูกหยูจีทำไหม้ไปแต่เดิมนั้นได้ถูกบูรณะใหม่ขึ้นมา แม้แต่หม้อไหกะละมังถ้วยจานชามก็ถูกเปลี่ยนเป็นของใหม่หมดเลย วัสดุอุปกรณ์แต่ละชนิดวางเรียงรายกันเต็มไปหมด เห็นแล้วใจก็เต้นอย่างควบคุมไม่ได้ อดไม่ได้ที่จะแสดงฝีมือทำออกมาให้เต็มโต๊ะไปเลย
หยูจีเอามืออุดปากหัวเราะแล้วกล่าวออกมาว่า: “ลูกเขยของข้าไม่เลวใช่เปล่า รู้ว่าห้องครัวเป็นชีวิตจิตใจที่สองของผู้หญิง ตบแต่งได้ไม่เลวจริงๆ”
มุมปากของเฟิ่งชิงหัวยกขึ้นเล็กน้อย แล้วเหล่มองนาง: “งั้นก็ต้องเป็นผู้หญิงที่ชอบทำอาหารถึงจะถูก เจอกับท่านแบบนี้ ไม่กี่นาทีก็ระเบิดเป็นซากปรักหักพังได้เลย?”
หยูจีรีบกล่าวว่า: “ไอหยา เจ้าอย่ามาสนใจกับรายละเอียดพวกนี้เลยน่า รีบไปทำกับข้าวเถอะ ข้าหิวแล้ว”
“ข้าไม่ลืมตอนที่ข้าเข้าประตูมาท่านเพิ่งจะกินถั่วไปมากมายเลยนะ?”
หยูจีรีบแสร้งทำเป็นร้องไห้: “แงๆๆ เจ้ายังจะมาพูดอีก หลายวันนี้พวกเจ้าต่างก็ไม่อยู่ ทิ้งข้าเอาไว้คนเดียว อารมณ์กลัดกลุ้ม ได้เพียงพึ่งการกินของกินมาประทังจิตใจที่บอบช้ำเท่านั้น ของพวกนั้นแม้ว่าเข้าไปอยู่ในท้องของข้า แต่ว่าข้าก็ยังหิวอยู่เลย”
เฟิ่งชิงหัวไม่มีแรงที่จะโต้แย้งต่อคำพูดแก้ตัวของนางเลย ได้เพียงถกแขนเสื้อแล้วเข้าห้องครัวไปตามชะตากรรมเท่านั้นเอง
หยูจีอยู่ที่ห้องครัวดูครู่หนึ่งแล้วก็แวบหายไปเลย กลับมาที่ห้องนอนรอกินอยู่
ครั้งนี้อาหารส่วนใหญ่ที่เฟิ่งชิงหัวทำนั้นต่างค่อนข้างมีโภชนาการ ยังไงตอนนี้จ้านเป่ยเซียวก็ยังเป็นผู้บาดเจ็บอยู่ อีกอย่างหยูจีกินขึ้นมาก็ไม่สนใจอะไรทั้งนั้นแหละ
รอจนตอนที่เฟิ่งชิงหัวยกอาหารขึ้นโต๊ะมาแล้ว ก็เห็นภายในห้อง หยูจีกำลังหยิบของอะไรบางอย่างมาอวดกับจ้านเป่ยเซียวอยู่
เฟิ่งชิงหัวเดิมทีก็ไม่ได้สนใจ รอจนตอนที่เพ่งดูอย่างละเอียดร่างทั้งร่างก็ขนลุกซู่ขึ้นมาทันที พุ่งเข้าไปแย่งผ้าที่อยู่ในมือของคนทั้งสองข้ามมาทั้งหมด: “กินข้าวได้แล้วอย่าดูของที่รกรุงรังอะไรแบบนี้เลย!”
หยูจียักคิ้วหลิ่วตามาทางจ้านเป่ยเซียว: “นี่เป็นของที่ชิงหัวเตรียมเอาไว้ให้เจ้าประหลาดใจน่ะ ถูกเห็นแล้วก็เลยรู้สึกไม่ดีอยู่บ้าง เจ้าก็ทำเป็นว่าไม่เห็นละกัน”
สายตาของจ้านเป่ยเซียวมองมาทางเฟิ่งชิงหัว สายตาอบอุ่น แล้วพยักหน้าลงเล็กน้อย
“เฮ้ยๆๆ พวกท่านอย่าคิดเองเออเองสิ ไม่มีเรื่องแบบนี้ ทำให้ประหลาดใจอะไรกัน ไม่มีอยู่เลย อันนี้ก็คือ ก็คือข้าว่างจนน่าเบื่อก็เลยเอาไว้ฝึกมือเท่านั้น”
“ฮ่าๆ ลูกสาวของข้านี่ก็กำลังอายอยู่ จุดนี้เหมือนข้า นางทำตามขนาดของเจ้าเลยเชียวนะ” หยูจีกะพริบตาอย่างเรารู้กันมาทางจ้านเป่ยเซียว
ด้านในหัวสมองของเฟิ่งชิงหัวมีของยางอย่างกำลังจะระเบิดออกมาก็ไม่ปาน แล้วหันมากล่าวกับจ้านเป่ยเซียวว่า: “นี่ก็คือก่อนหน้านี้ที่บอกว่าจะเป็นของขอโทษให้แก่เจ้า เพียงแต่ตอนหลังเจ้าบอกว่าไม่ต้องแล้ว ข้ากำลังเตรียมที่จะโยนทิ้งเลย”
เดิมทีคิดว่าจ้านเป่ยเซียวจะยังคงไม่แสดงความคิดเห็นต่อ ใครจะไปคิดว่าเขากล่าวว่า: “ในเมื่อเป็นของขมาขอโทษ งั้นก็ทำต่อไปเถอะ”
“ทำหัวเจ้าน่ะสิ! เจ้าไม่ใช่บอกว่าไม่ต้องแล้วหรือไง?”
“อืม ข้าเคยพูดหรือ? ลืมไปแล้ว”
“ลืมไปแล้ว? งั้นเรื่องที่เจ้าให้ข้าทำเสื้อผ้าน่าจะไม่ลืมใช่ไหม?”
“นั่นเปล่าเลย ข้าจำได้ว่าให้ทำให้เสร็จภายในสามวัน เห็นว่าช่วยเวลานี้เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นมากมาย งั้นก็ให้เวลาเจ้าอีกสามวันก็แล้วกัน” จ้านเป่ยเซียวกล่าวออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“เหอะๆๆ เจ้านี่ความจำเสื่อมแบบเลือกได้จริงๆ เลยนะ” เฟิ่งชิงหัวขบกราม
“อืม ข้าพอดีว่างอยู่ไม่มีธุระ สามารถเป็นลูกมืออยู่ข้างๆ ได้ป้องกันไม่ให้เจ้าแอบขี้เกียจ” จ้านเป่ยเซียวแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินที่เฟิ่งชิงหัวเย้ยหยัน แล้วก็กล่าวออกมาหน้าด้านๆ เลย
เฟิ่งชิงหัวจ้องมองไปยังจ้านเป่ยเซียวอย่างไม่วางตาด้วยสายตาอันแหลมคม ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้หวาดกลัวแม้แต่น้อย ทั้งสองคนสบตาซึ่งกันแล้วกัน เปลวไฟปะทุออกมารอบด้าน
ทันใดนั้นสายตาก็ถูกคนขวางกั้นขึ้น หยูจียืนอยู่ตรงกลาง ยื่นมือปิดกั้นสายตาของคนทั้งสองไว้
“พอแล้ว พวกเจ้าอย่าได้สบตาอย่างเต็มไปด้วยความรักเช่นนี้เลย มันจะยิ่งทำให้ข้ารู้สึกว่าเป็นส่วนเกินอยู่ที่นี่ พวกเรากินข้าวกันก่อนเถอะ ข้าหิวแล้วล่ะ อีกประเดี๋ยวจะเป็นยังไงพวกเจ้าคืนนี้กลับไปค่อยไปว่ากันต่อนะ?” หยูจีกล่าวเตือน
“ใครจะไปเต็มไปด้วยความรักกับเขา ท่านแม่ สำนวนของท่านไม่ดีก็อย่าหยิบออกมาใช้ส่งเดชสิ” เฟิ่งชิงหัวไม่มีเรี่ยวแรงที่จะแขวะจริงๆ
เพียงแต่ถูกเตือนขึ้นมาเช่นนี้ นางก็เลยนึกขึ้นมาได้ หากไม่กินอาหารก็จะเย็นเอาได้
รอจนยกกับข้ามขึ้นมาแล้ว ทั้งสามคนกำลังเตรียมจะลงมือก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นวิ่งมาทางด้านนี้
“ศิษย์พี่ ข้ากลับมาแล้ว!” คนที่มาเนื้อตัวมอมแมมไปหมด บนตัวแบกห่อเสื้อผ้าใหญ่หนึ่งใบ ผมเผ้ารกรุงรังราวกับหญ้าเลยก็ไม่ปาน
หยูจีสั่นตะเกียบไปมา ยกมือขึ้นปิดกับข้าวบนโต๊ะไว้มิด แล้วกล่าวอย่างหวาดระแวงออกมาว่า: “มีคนจะมาขอข้าวจากที่ไหนกัน?”
แม้แต่จ้านเป่ยเซียวเองก็ยังมีสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความรังเกียจ อยากจะแสร้งทำเป็นไม่รู้จักคนผู้นี้
พอเข้าประตูมาจิ่งยี่ก็ได้ยินหอมหวน รีบจนลืมคำพูดที่ตนเองต้องการจะพูดไปเลย วางห่อเสื้อผ้าลงบนพื้นแล้วก็เดินเข้ามา: “ว้าว มาทันเวลาอาหารพอดีเลยนะ กับข้าวนี้เป็นหนานกงเยว่ลั่วที่เป็นคนทำใช่เปล่า? ไม่เลวๆ เดี๋ยวก่อน เจ้าไม่ได้เอาสัตว์เลี้ยงพวกนั้นของข้ามาชำแหละใช่ไหม?”
ในขณะที่พูดอยู่ก็จ้องมายังเฟิ่งชิงหัวอย่างโหดเหี้ยม: “หากเจ้าแตะต้องพวกเขาอีก ข้าจะสู้ตายกับเจ้าจริงๆนะ พวกนั้นเป็นถึงลูกของข้าเชียวนะ!”
เฟิ่งชิงหัวเบะปาก: “ข้าก็อยากจะแตะต้องอยู่หรอก เพียงแต่ช่วงนี้ไม่มีเวลาอะไรเลย รอให้ว่างก่อน จะเลือกเอาที่ดูสมบูรณ์มีมูลค่าสูงมาโดยเฉพาะสักสองตัว จับมาตุ๋นน้ำแกง แม้แต่วัตถุดิบก็ไม่ต้องใส่ บำรุงชั้นยอดเลยนะ”
จิ่งยี่ได้ยินก็ถอนหายใจออกมาได้ แล้วก็เอาเก้าอี้มานั่งลงมาเลยทันที จากนั้นก็หยิบเอาชามและตะเกียบที่อยู่ด้านหน้าของเฟิ่งชิงหัวซึ่งยังไม่ได้ใช้ถูกมาทันที เริ่มกล่าวทักทายอย่างอบอุ่น: “มาๆๆ กินๆๆ ไม่ต้องเกรงใจ”
ทำท่าทางวางมาดเหมือนกับว่าเป็นหัวหน้าครอบครัว
จ้านเป่ยเซียวกวักมืออย่างเปี่ยมไปด้วยความรังเกียจ ให้หลิวหยิ่งเอาชามและตะเกียบขึ้นมาอีกหนึ่งชุด
“รอบนี้เจ้าออกไปทำไมถึงได้ทำจนสภาพจนตรอกเช่นนี้”
“เฮ้อ อย่าพูดเลย เจอเข้ากับขโมย ขโมยเงินข้าไปหมดเลย ข้าเกือบจะหิวตายกลางทางแล้ว หลายวันนี้หิวจนต้องเก็บเห็ดในป่ากิน โชคดีที่ยังจับไก่ป่าได้ จับปลามาได้ตัวหนึ่ง หลับนอนก็อยู่ในป่า อยู่โรงเตี๊ยมไม่ไหว พูดขึ้นมาแล้วมันก็เสียใจอยากจะร้องไห้” จิ่งยี่ถือข้าวสวยเอาไว้แล้วกล่าวออกมาอย่างหดหู่ใจ
พูดจบก็ไม่สนใจปฏิกิริยาของผู้อื่น เริ่มกินอาหารเลยทันที แม้แต่มารยาทบนโต๊ะอาหารก็ลืมไปเลย คีบกับข้าวอย่างเอาจริงเอาจัง
เฟิ่งชิงหัวรีบคีบกับข้าวที่ยังไม่ถูกจิ่งยี่คีบถูกนั้นใส่ไปด้านในจานของจ้านเป่ยเซียวสองตะเกียบทันที: “รีบกิน ประเดี๋ยวจะไม่มีส่วนของเจ้านะ”
มุมปากของจ้านเป่ยเซียวยกขึ้นเล็กน้อย แล้วก็คีบกับข้าวให้เฟิ่งชิงหัวด้วย แม้ว่าไม่ได้พูดอะไร แต่ความหมายก็ชัดเจน
แต่เป็นหยูจี เห็นท่าทางของจิ่งยี่ที่กลืนกินลงไปราวกับว่าไม่ต้องเคี้ยวเลยด้วยซ้ำทำให้ตกใจไปเลย หลังจากดึงสติกลับมาได้ก็โมโหไม่เบาเลย ก็เริ่มเคลื่อนไหวเร็วขึ้น ทั้งสองคนก็เหมือนกับว่าแข่งขันกันก็ไม่ปาน ความเร็วในการคีบกับข้าวของคนหนึ่งเร็วกว่าอีกคนหนึ่งมากขึ้นเรื่อยๆ เร็วจนเป็นภาพติดตาปรากฏอยู่บนจานชามเลย
รอจนจิ่งยี่กินดื่มจนอิ่มหนำสำราญแล้ว คราวนี้ก็เลยลูบท้องอย่างพอใจ: “เฮ้อ กินเห็นไปครึ่งเดือน ในที่สุดก็มีชีวิตชีวากลับมาได้เสียที ศิษย์พี่ ครั้งนี้ข้าหายาสมุนไพรมาได้ไม่น้อยเลย จะต้องช่วยต่ออาการบาดเจ็บของเจ้าอย่างแน่นอน”
จ้านเป่ยเซียวพยักหน้า: “อืม”
“ศิษย์พี่ ทำไมท่านจึงไม่ตื่นเต้นเลยแม้แต่นิด ท่านไม่สงสัยเลยหรือว่าครั้งนี้ข้าออกไปหาได้ยาสมุนไพรพวกไหนมาบ้าง?” จิ่งยี่กล่าวออกมาด้วยอารมณ์น้อยใจเล็กน้อย ในขณะที่พูดอยู่ก็ยังจะสังเกตอาการของจ้านเป่ยเซียวอีกด้วย: “ศิษย์พี่ ข้าได้ยินว่าขาทั้งสองข้างของท่านสามารถเดินได้แล้ว นี่ไม่ใช่ว่ายังนั่งเก้าอี้รถเข็นอยู่หรือ? ข้าก็ว่าแล้วว่าต้องเป็นข่าวลือแน่ๆ พูดว่าอะไรเมื่อก่อนท่านแสร้งทำเป็นพิการเรียกร้องความเห็นใจ หากไม่ใช่ข้าต้องรีบเร่งเดินทาง จะต้องสั่งสอนพวกเขาอย่างแน่นอน”