พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 308 กรมคลัง
พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 308 กรมคลัง
“อะไรนะ? ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่าปิดล้อมไว้ชั่วคราวหรือ?” เฟิ่งชิงหัวกล่าวถามด้วยเสียงเข้ม
“นอกเหนือจากนี้บ่าวไม่ทราบ บ่าวได้ยินเพียงเท่านั้นเองก็รีบมารายงานท่านแล้ว ท่านรีบไปขอร้องท่านอ๋อง ขอร้องให้เขาอย่าปลดท่าน หากเขาทำตามคำสั่งของฝ่าบาทจริงๆ งั้นท่านก็จะถูกจับไปที่กรมคลังเช่นกัน”
เฟิ่งชิงหัวมองดูสายตาของม่านเฉ่าก็เหมือนกับมองดูคนไร้สติเลย: “สมองเจ้ามีหลุมหรือไง ในเมื่อจ้านเป่ยเซียวรับราชโองการแล้ว ย่อมแน่นอนว่าจะดำเนินการตามรายละเอียดในราชโองการ นั่นเป็นถึงท่านพ่อแท้ๆ ของเขาเชียวนะ ฮ่องเต้ที่อยู่เหนือผู้คนนับหมื่นๆ คน เจ้าให้ข้าไปขอร้องลูกชายของเขา เจ้าคิดว่าจะมีประโยชน์เหรอ? หากจ้านเป่ยเซียวไม่ได้รับปากที่จะรับราชโองการอย่างมีความสุขเช่นนี้?”
“แต่ว่า แต่ว่า หากท่านอ๋องรับปาก งั้นท่านก็ไม่ใช่พระชายาท่านอ๋องเจ็ดอีกต่อไป งั้นต่อไปใครจะมาปกป้องท่าน?” ม่านเฉ่าคิดแต่เพียงว่าตนเองจะต้องถูกไล่ออกจากจวนอ๋องด้วยกันกับเฟิ่งชิงหัว จับไปสอบสวนที่กรมคลัง ก็เลยหน้ามืดไปหมดเลย
ก็ไม่ใช่จะบอกว่าม่านเฉ่ามีความรักต่อเจ้านายครึ่งทางผู้นี้มากน้อยเท่าไร เพียงแต่เหตุผลที่ต้นไม้หักโค่นก็ย่อมกระจัดกระจายนางก็เข้าใจอย่างชัดเจนมาก เมื่อเฟิ่งชิงหัวถูกปลด งั้นสิ่งที่มารับไม้ต่อนางก็เป็นความโชคร้ายที่ต้องถูกคนของกรมคลังจับไปพร้อมกัน สัญญาไถ่ตัวของนางยังอยู่ที่จวนเฉิงเซี่ยงอยู่เลย
เฟิ่งชิงหัวครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่: “เจ้าแน่ใจว่าทุกคนของจวนเฉิงเซี่ยงทั้งหมดต่างอยู่ที่กรมคลัง?”
“บ่าวแน่ใจ บ่าวได้ยินองค์ชายจิ่งคุยเรื่องนี้กับท่านอ๋องด้วยหูตัวเอง ยังมีแม่ลูกคุณหนูสามที่อยู่ในวังก็ถูกส่งตัวไปยังกรมคลังเช่นกัน ก่อนที่จวนอ๋องจะรับเอาราชโองการไว้ ราชโองการอีกฉบับหนึ่งก็ถูกส่งไปยังจวนเฉิงเซี่ยงแล้ว ในตอนนี้กลัวเพียงว่าไปถึงกรมคลังเรียบร้อยแล้ว”
เฟิ่งชิงหัวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ลุกขึ้นยืน รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างเร็ว แล้วเลือกม้าหนึ่งตัวควบมุ่งไปทางด้านของกรมคลังทันที
ตอนที่เฟิ่งชิงหัวรีบเร่งไปถึงหน้าทางเข้าหลักของกรมคลัง พอดีเห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังถูกพลตระเวนต้อนไล่ให้เดินเข้าไปด้านใน นางจดจำได้ในหลายใบหน้า
“อย่ามาแตะต้องข้า ข้าเดินเองได้” เสียงของผู้หญิงกล่าวเสียงแหลมออกมา
เฟิ่งชิงหัวพลิกตัวลงจากม้า แล้วก็ทะยานเข้าไปทางด้านที่ผู้หญิงพูดอยู่ ดึงมือของทหารทางการนั้นที่อยู่บนตัวของผู้หญิงออก
“ใครกัน! คิดไม่ถึงว่าจะกล้ามายับยั้งคนของกรมคลังจัดการคดี!” คนผู้นั้นหันหน้ามา สายตาตวัดมาเห็นว่าเป็นหญิงสาวผู้หนึ่งก็กล่าวต่อว่าอย่างโมโห
“จัดการคดี เจ้าจัดการคดีอะไรเหรอฮะ? กลางวันแสกๆ ยังกล้าแตะเนื้อต้องตัวผู้หญิง นี่เหรอที่กรมคลังของพวกเจ้าเรียกว่าจัดการคดี?” สีหน้าของเฟิ่งชิงหัวเย็นเยือก เปี่ยมไปด้วยอำนาจของคนที่สูงกว่ากดดันให้คนคนตรงหน้าตื่นตกใจ
คนผู้นั้นถูกทำให้ตกใจไปเลย จากนั้นก็กล่าวแย้งออกมาว่า: “คนพวกนี้ล้วนเป็นคนในครอบครัวของขุนนางต้องโทษที่สมคบคิดทรยศชาติ ข้าจับผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีก็ย่อมเป็นไปตามเหตุและผลอยู่แล้ว!”
“โทษสมคบคิดทรยศชาติ? เจ้าเป็นคนตัดสินเหรอ? องค์ฮ่องเต้ในตอนนี้ก็เพียงแค่รับสั่งให้จับตัวหนานกงจี๋ให้ได้ คดียังไม่ได้สืบเป็นที่แน่ชัด ได้เพียงนับว่าคนในครอบครัวเป็นบุคคลต้องสงสัยเท่านั้น อีกอย่างแม้ว่าจะเป็นนักโทษ ก็ไม่ใช่เหตุผลว่าเจ้าจะสามารถแตะเนื้อต้องตัวได้ เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าหากเจ้าแตะตัวนางอยู่ ข้าจะทำลายมือทั้งสองข้างของเจ้าทิ้งเสีย!” เฟิ่งชิงหัวกล่าวออกมาอย่างเย็นชา
“เข้า เข้ามาในกรมคลังของข้าแล้ว ก็ไม่มีมาบอกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม พวกเราจะทำอย่างไร เจ้าไม่อาจมาวุ่นวายได้!”
“เรื่องของใต้หล้า คนใต้หล้าก็ต่างสามารถให้ความสนใจได้ อะไรที่เรียกว่าเข้าไปในกรมคลังของเจ้าแล้วไม่มีที่บอกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม หรือเป็นไปได้ไหมว่า พวกเจ้ายังวางแผนที่จะซ้อมจนยอมรับผิดจนได้?” เฟิ่งชิงหัวหรี่ตาอย่างอันตราย
“เจ้า เจ้าอย่าพูดส่งเดช กรมคลังของพวกเราจัดการคดีต่างให้ความสำคัญกับหลักฐาน” ทหารทางการผู้นั้นรับกล่าวออกมา
หนานกงเยว่หลีที่อยู่ด้านข้างมองมาที่เฟิ่งชิงหัวอย่างซาบซึ้ง ราวกับว่ายังไงก็คิดไม่ถึงว่าในเวลาเช่นนี้ คิดไม่ถึงว่าเฟิ่งชิงหัวจะเลือกที่จะมาช่วยนางได้
ตอนนี้นางเป็นพระชายาท่านอ๋องเจ็ด ลูกสะใภ้ตระกูลเหนือหัว แน่นอนว่าย่อมไม่เหมือนกับพวกนาง
ผู้คนยิ่งทราบดีว่านางได้แยกทางจากจวนเฉิงเซี่ยงมมานานแล้ว ยิ่งเป็นไปไม่ได้เลยว่าจะจุดต้องสงสัย แต่ว่าตอนนี้นางกลับรีบตามาที่นี่ ไม่ว่าเป้าหมายเพื่ออะไร แต่ในใจของหนานกงเยว่หลีกลับสบายใจขึ้นไม่น้อยเลย
“น้องรอง ท่านพ่อหายออกไปช่วงกลางคืน เขายังไม่ได้ทำเรื่องอะไรเลย การกล่าวหาว่าสมคบคิดกับกบฏ เกรงว่าย่อมต้องมีเงื่อนงำอะไรแน่ ขอให้เจ้าช่วยพวกเราหน่อย” หนานกงเยว่หลีขอร้องด้วยเสียงอันเศร้าโศก
นี่ประมาณว่าเป็นครั้งแรกที่หนานกงเยว่หลีก้มหัวให้เฟิ่งชิงหัว
เฟิ่งชิงหัวยังไม่ได้พูดอะไรเลย ใต้เท้าถังแห่งกรมคลังกลับเดินออกมาจากด้านใน สายตากวาดมองไปรอบๆ แล้วกล่าวอย่างเข้มงวดว่า: “หน้าประตูใหญ่กรมคลัง จะไปมีที่ให้ใครมาส่งเสียงดังได้ พวกเจ้าคนพวกนี้ ยืนอึ้งอยู่ทำไม ยังไม่รีบควบคุมตัวคนเข้าไปอีก
ทหารทางการผู้นั้นรีบวิ่งเหยาะๆ มาที่ด้านหน้าของเขา พูดอะไรไปพลางแล้วก็ชี้ๆ จิ้มๆ มาทางด้านที่เฟิ่งชิงหัวอยู่ไปพลาง
ใต้เท้าถังมองมายังเฟิ่งชิงหัว ก้าวเท้าเข้ามา สีหน้าบนใบหน้าก็ไม่มีท่าทางนอบน้อมเหมือนเช่นแต่ก่อนที่เคยมองเฟิ่งชิงหัวนานแล้ว จากนั้นกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มเย็นชาว่า: “ข้าก็ว่าเป็นใครกันที่เหิมเกริมเช่นนี้ กล้ามารบกวนการปฏิบัติงานของคนกรมคลัง ยับยั้งทหารทางการจัดการคดี ที่แท้เป็นหญิงหม้ายที่ถูกทิ้งของจวนอ๋องเฉินเอง ที่เคยเป็นพระชายาท่านอ๋องเจ็ดมาก่อน
เมื่อคำพูดออกจากปากไปสายตาของคนรอบด้านต่างพากันมองมายังเฟิ่งชิงหัว สีหน้าซับซ้อนเป็นพิเศษ
ด้านนอกกรมคลังเนื่องจากการควบคุมตัวของฝูงคนจวนเฉิงเซี่ยงก็เลยมีชาวบ้านกลุ่มใหญ่มาห้อมล้อมไปนานมากแล้ว ได้ยินคำพูดของใต้เท้าถังก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์กันขึ้นมา
“ที่แท้นี่เป็นพระชายาท่านอ๋องเจ็ดหรือนี่ ได้ยินว่านางอวดดีมาโดยตลอด ก่อนหน้านี้แม้แต่ท่านอ๋องสิบสองก็ยังกล้าลงมือได้”
“เจ้าไม่ได้ยินหรือว่าใต้เท้าท่านนี้บอกว่านางเป็นหญิงหม้ายที่ถูกทิ้ง จะว่าไปเป็นเพราะเรื่องของครอบครัวของเฉิงเซี่ยง ก็เลยถูกท่านอ๋องเจ็ดปลด”
“นั่นไม่ใช่ว่าแกติหรือ แม้ว่าพวกเราพ่อลูกจะไม่ถูกกันอีกแล้ว แต่ว่าเลือดย่อมข้นกว่าน้ำ หักกระดูกก็ยังมีเส้นเอ็นเชื่อมไว้อยู่ ยังไงก็เป็นการเชื่อมสมรส เกิดเรื่องขึ้น ท่านอ๋องเจ็ดปลดนางก็เป็นเรื่องที่สมเหตุผลอยู่แล้ว”
“หนานกงเยว่ลั่วผู้นี้ก็น่าสงสาร ก่อนหน้านี้ถูกจัดสรรให้อภิเษกกับท่านอ๋องเจ็ดนั่น ไม่เป็นที่โปรดปรานก็ช่างเถอะ นี่เพิ่งจะระยะเวลาสั้นๆ ไม่ถึงหนึ่งเดือนก็ถูกปลดเสียแล้ว ท้องยังไม่ได้มีการเคลื่อนไหวอะไรเลย ไม่มีที่พึ่งพาแม้แต่นิด แน่นอนว่าก็ย่อมตกอยู่ในจุดจบเช่นนี้”
“แม้ว่าในท้องจะมีการเคลื่อนไหวแล้วจะทำอะไรได้ ก็เพียงแค่ประมาณว่าทิ้งแม่แล้วเอาลูกไว้เท่านั้น หรือให้ดื่มยาไปให้จบสิ้นกันไปเลย ฐานะของท่านอ๋องเจ็ดสูงศักดิ์ ยังจะหาผู้หญิงให้กำเนิดบุตรคนหนึ่งไม่ได้เชียวหรือ? เพียงแต่ก็เป็นแค่ลูกสาวของขุนนางต้องโทษ”
หนานกงเยว่หลีได้ยินคำพูดที่ใต้เท้าถังและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของชาวบ้าน สีหน้าก็มองมายังเฟิ่งชิงหัวอย่างตกตะลึง: “น้องรอง เจ้า ถูกปลดแล้วจริงหรือ?”
ความหมายในการถามคำถามนี้ คือว่าเป็นห่วงหรือว่าผิดหวัง นี่ก็มีเพียงในใจของหนานกงเยว่หลีผู้เดียวที่แจ่มแจ้งได้
เฟิ่งชิงหัวยังไม่ได้พูดอะไร ใต้เท้าถังกลับชิงพูดขึ้นมาอีกครั้งว่า: “องค์ฮ่องเต้ได้มีราชโองการรับสั่งแล้วว่าให้ท่านอ๋องเจ็ดหย่าขาด นางในตอนนี้ก็เหมือนดังพวกเจ้านั่นแหละ เป็นคนที่มีโทษติดตัว”
ในขณะที่พูดอยู่นั้นก็หรี่ตามองมาที่เฟิ่งชิงหัว: “หนานกงเยว่ลั่ว ข้าว่าตอนนี้เจ้าไม่มีอิทธิพลของจวนอ๋องเฉินแล้ว ไม่มียศถาของพระชายาท่านอ๋องเจ็ดแล้ว ทำไมยังจะกล้ามาเบ่งอำนาจบารมีต่ออีก หรือเป็นไปได้ว่าเจ้าคิดว่าพวกเรายังเป็นกบอยู่ในกะลางั้นหรือ? รีบไปให้พ้นเสีย มิเช่นนั้น ข้าก็จะจับเจ้าไปด้วยกันเลย!”
เฟิ่งชิงหัวมองดูคนผู้นี้ที่เผยให้เห็นสีหน้าที่โหดร้ายอีกทั้งยังเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนออกมา จึงกล่าวออกมาอย่างเยือกเย็นว่า: “ข้าจะพูดอีกหนึ่งรอบ ก่อนตัดสินโทษ แม้ว่าจะเป็นผู้ต้องหา พวกเจ้าก็อย่าคิดจะมาทำอะไรส่งเดชได้!”
“ทำอะไรส่งเดช เข้ามาในกรมคลังก็ต้องทำตามกฎระเบียบของกรมคลัง หากเจ้าอาลัยอาวรณ์คนพวกนี้จริงๆ งั้นก็เข้าไปด้วยกันเถอะ” ใต้เท้าถังกล่าวออกมาอย่างเย้ยหยัน คิดว่าเฟิ่งชิงหัวไม่กล้าตอบรับคำพูดของเขาแน่
ทำไมจะเป็นไปได้ว่ามีคนปล่อยความอิสรเสรีให้แล้วไม่เอา มีเหตุผลอะไรที่จะเอาตนเองเข้าปากเสือไป