พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 312 สถานที่ตากอากาศ
พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 312 สถานที่ตากอากาศ
สายตาของหนานกงเยว่หลีตกลงไปบนร่างของเฟิ่งชิงหัว อยากจะมองให้ชัดเจนว่าแท้จริงแล้วสตรีที่อยู่ตรงหน้านางนี่มีแผนอะไรกันแน่ ทว่าสายตาของนางเพิ่งจะตกลงบนร่างของเฟิ่งชิงหัว ดรุณีก็สัมผัสได้ทันที และลืมตาขึ้นมาสบตากับนาง
หนานกงเยว่หลีเก็บสายตากลับคืนมาทันที สิ่งที่ตนคิดอยู่ในใจถูกมองออก ทำให้รู้สึกทุลักทุเลและประหม่าขึ้นมา
เฟิ่งชิงหัวจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าการกระทำเช่นนี้ของนางจะถูกผู้คนคาดคะเน เพราะไม่ว่าอย่างไรก่อนนี้ก็ได้ตัดความสัมพันธ์ไปแล้ว เดิมทีเรื่องของจวนเฉิงเซี่ยงก็ควรที่จะไม่เกี่ยวข้องกับนาง
แต่อย่างไรเสียนางก็ไม่ใช่หนานกงเยว่ลั่วตัวจริง คนจวนเฉิงเซี่ยงพวกนี้ ยกเว้นหนานกงจี๋คนอื่น ๆ ต่างก็ไม่มีความแค้นอะไรกับนาง นางทนดูพวกเขาตายอย่างอนาถโดยที่ไม่ทำอะไรไม่ได้ หากสามารถปกป้องเอาไว้ได้ยิ่งดี หากปกป้องเอาไว้ไม่ได้จริง ๆ ก็นับว่าไม่ละอายแก่ใจ
นางไม่จำเป็นต้องไปอธิบายกับใคร นางแค่ไม่ให้ตนต้องละอายแก่ใจ รักษาปณิธานเดิมของตนเอาไว้ก็เพียงพอ
ใต้เท้าถังจากไปอย่างรวดเร็ว กลับมายิ่งเร็วกว่า
ประตูคุกถูกเปิดออกอีกครั้ง ครั้งนี้ ให้ได้ชัดว่าใต้เท้าถังสุขุมกว่าครั้งที่แล้วมาก เห็นเพียงเขาได้ยกมือขึ้น และกล่าวกับเฟิ่งชิงหัว: “พระชายา พระองค์จะเป็นต้องขังเดี่ยว เชิญออกมาเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
ท่าทีปกติที่แฝงไปด้วยความไม่ปกติเล็กน้อย แต่ก็เหมือนไม่มีอะไรแตกต่าง
เฟิ่งชิงหัวเลิกคิ้วมองเขา: “ทำไม ข้าอยู่ในขั้นนักโทษที่มีโทษหนัก จำเป็นต้องพักห้องเดี่ยวแล้วหรือ?”
ใต้เท้าถังขยับปาก แต่ก็ไม่ได้กล่าวอธิบาย
เฟิ่งชิงหัวครุ่นคิด: “แล้วพวกเขาเล่า?”
“พระชายาโปรดวางพระทัย ไม่มีคำสั่งจากเบื้องบน พวกเราจะไม่ใช้ทัณฑ์กับผู้ใดแน่”
เฟิ่งชิงหัวได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า และก้าวเท้าเดินตามใต้เท้าถังไป
หลังจากที่ประตูคุกถูกใส่กลอนลงอีกครั้ง ฮูหยินเฉิงเซี่ยงก็สบถออกมาทันที
“ดัดจริตนัก เดิมทีพวกเราก็เพียงแค่ถูกคุมขัง นางกลับคิดว่าตนเป็นคนช่วยชีวิตจริง ๆ ก่อนไปยังจะเสแสร้งทำเป็นเป็นห่วงความปลอดภัยของพวกเรา พูดได้ว่าเป็นหญิงนางโลมแล้วยังอยากให้ตั้งอนุสรณ์สถานให้”
ในห้องขังที่อยู่ด้านข้าง หนานกงลู่ซิ่วมองดูแผ่นหลังที่เดินจากไปของเฟิ่งชิงหัว แล้วหันกลับไปกล่าวกับท่านน้าสุ่ยผู้เป็นมารดา: “ท่านแม่ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ มีพี่สาวรองอยู่ พวกเราจะต้องไม่เป็นอะไรแน่”
“ตอนนี้คุณหนูรองถูกคุมตัวไปแล้ว คงจะไม่มีเรื่องอะไรนะ?”
หนานกงลู่ซิ่วส่ายศีรษะ: “ไม่หรอกค่ะ ความรู้สึกที่ท่านอ๋องเจ็ดมีต่อนางนั้นไม่ธรรมดา จะไม่ปล่อยให้นางทนรับความลำบากอยู่ที่นี่แน่”
นางมิได้โง่เขลาเหมือนอย่างหนานกงเยว่หลี ความน่ากลัวของท่านอ๋องเจ็ดนางเคยได้เห็นมาก่อน ชายผู้นั้นโหดเหี้ยมอำมหิต แต่วันนั้นได้ยินว่าพี่สาวรองเกิดเรื่อง ก็รีบตามไปในทันที โดยที่ไม่ลังเลเลยสักนิด บอกว่าเป็นเพียงการแสดงแต่ แต่มันไม่จำเป็นเลยสักนิด
พี่สาวรองจิตใจดีงาม จะต้องคิดหาวิธีปกป้องพวกนางแน่
เฟิ่งชิงหัวเดินตามใต้เท้าถังเลี้ยวมาถึงห้องขังที่อยู่อีกด้านหนึ่ง
ห้องขังทางด้านนี้มีสภาพแวดล้อมดีกว่าด้านนั้นไม่น้อย อย่างน้อยในอากาศก็ไม่มีกลิ่นอับชื้นกับกลิ่นคาวเลือด พื้นก็นับว่าสะอาด
หลังจากที่มาถึงห้องที่อยู่ด้านในสุด ใต้เท้าถังก็ได้ยกมือเป็นเชิงบอกให้นางเข้าไป
เมื่อเฟิ่งชิงหัวเดินเข้าไปแล้วก็อดไม่ได้ที่จะยักคิ้ว และมองไปที่เขา: “ท่านมั่นใจหรือว่า ให้ข้าอยู่ที่นี่?”
ใต้เท้าถังพยักหน้า: “พระองค์อยู่อย่างสบายใจเถอะพ่ะย่ะค่ะ หากต้องการสิ่งใดก็บอกผู้คุม หากรู้สึกเบื่อ ก็ออกมาเดินเล่นได้ พวกเราจะไม่ใส่กลอนประตู”
กล่าวจบ ก็ได้พาคนออกไปทันที
เฟิ่งชิงหัวแจะปากเล็กน้อย แล้วหันกลับไปพิจารณาดูห้องขังที่ค่อนข้างพิเศษแห่งนี้
มีขนาดเท่า ๆ กับห้องในตอนแรก แต่เมื่อเทียบกับห้องขังที่สกปรกและไม่มีสิ่งของใด ๆ อยู่เลยแล้ว พูดได้ว่าที่นี่นับเป็นห้องที่ดีที่สุดของโรงเตี๊ยม
ผนังขัดจนสะอาดสะอ้าน พื้นถูกเช็ดถูจนสีเดิมกระเบื้องปรากฏของมันออกมา ของว่างและน้ำชาวางอยู่บนโต๊ะสี่เหลี่ยมตัวหนึ่ง
ข้างในนั้นมีห้องแยกอีกห้องหนึ่ง คาดว่าจะเป็นห้องน้ำ
เตียงนอนกว้างเมตรห้าสิบยาวสองเมตรตัวหนึ่งวางอยู่ที่มุมห้อง ปูไว้ด้วยผ้าปูที่นอนผ้าซาตินทอและผ้าห่มผ้าซาตินทอ มุ้งที่ทำจากผ้าโปร่งถูกมัดรวบไว้ที่สองข้าง
พรมขนแกะสีขาวที่ปูอยู่บนพื้นรอบ ๆ เตียงนั้นดูคุ้นตาเป็นพิเศษ
เฟิ่งชิงหัวนั่งอยู่โต๊ะ ลองดมกลิ่นขนมดู เป็นขนมที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ ๆ น้ำชายังร้อนอยู่ ดมดูก็รู้ว่าเป็นชาคุณภาพ
ถ้าหากว่านักโทษทุกคนต่างได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ เกรงว่าทุกคนคงคิดกระทำความผิดกระมัง?
เฟิ่งชิงหัวนอนลงไปบนเตียง สองมือประสานอยู่ใต้ศีรษะ รู้สึกว่าสมองไม่ค่อยพอใช้สักเท่าไหร่ ไม่รู้ให้คิดอย่างละเอียด ก็ได้ยินเสียงล้อรถเข็นดังมาจากข้างนอก ชัดเจนเป็นอย่างยิ่งภายใต้ด้านนอกประตูที่เงียบสงบ
เฟิ่งชิงหัวลุกขึ้นมาจากเตียง และสบเข้ากับสายตาของคนที่อยู่ด้านนอกพอดี
จ้านเป่ยเซียวนั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็นเพียงลำพัง เม้มมุมปากเล็กน้อย ท่าทางที่มองดูนางนั้นเหมือนไม่พอใจยิ่งนัก
เฟิ่งชิงหัวขมวดคิ้วเล็กน้อย: “ท่านมาได้อย่างไร”
ตาหงส์ที่ลึกซึ้งของจ้านเป่ยเซียวยังคงจ้องนางตาเขม็ง หน้าเสียงหนักอึ้ง: “ข้าไม่ควรมาเช่นนั้นหรือ?”
เฟิ่งชิงหัวทำเสียงฮึดฮัดเบา ๆ : “ท่านรับราชโองการมาแล้วมิใช่หรือ? หนังสือหย่าก็ไม่จำเป็นต้องให้ข้าลงชื่อประทับลายนิ้วมือเสียหน่อย หรือว่าท่านเอาหนังสืออย่ามาส่งเองอย่างนั้นหรือ?”
“ผู้ใดบอกว่าข้าจะหย่ากับเจ้า?” จ้านเป่ยเซียวขมวดคิ้วแน่นยิ่งกว่าเดิม
เฟิ่งชิงหัวยักไหล่: “สำคัญไหม? หรือว่าไม่ใช่เรื่องจริง?”
“ดังนั้นเจ้าก็เลยมาที่คุกหลวงเช่นนั้นหรือ?”
“ก็ไม่เชิงหรอก แค่ไม่อยากให้กรมคลังต้องวิ่งอีกครั้งเท่านั้นเอง ดังนั้นข้าก็เลยพักอยู่ที่นี่เองเลย”
เฟิ่งชิงหัวกล่าวไปและกลับขึ้นไปนอนบนเตียงอีกครั้ง หลับตาลง: “เมื่อไหร่ที่เขียนหนังสือหย่าแค่แจ้งข้ามาก็พอ ไม่ต้องถามความคิดคิดเห็นของข้า”
จ้านเป่ยเซียวกล่าวพลางกัดฟันกรอด: “เจ้าอยากให้ข้าหย่ากับเจ้าโดยเร็วใช่หรือไม่?”
“หรือว่าข้ามิให้ท่านหย่าท่านก็จะไม่อย่าแล้วอย่างนั้นหรือ? เสด็จพ่อของท่านมีพระราชโองการออกมาแล้ว หรือว่าท่านกล้าขัดราชโองการอย่างนั้นหรือ?” เฟิ่งชิงหัวหลับตากล่าวอย่างเอ้อระเหย
จ้านเป่ยเซียวเข็นล้อรถเข็นเข้ามา และกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์: “ข้ามิได้รับราชโองการ”
เฟิ่งชิงหัวพลันเบิกตาโพลงขึ้นมา เอียงศีรษะไปมองเขา: “ท่านขัดราชโองการแล้วจริง ๆ อย่างนั้นหรือ?”
จ้านเป่ยเซียวกล่าวอย่างอารมณ์เสีย: “ให้ข้าแต่งก็แต่ง ให้ข้าหย่าก็หย่า ข้าว่าง่ายเช่นนั้นเชียวหรือ?”
เฟิ่งชิงหัวพยักหน้าเชิงบอกว่าเป็นเช่นนั้นจริง ด้วยสีหน้ารับรู้
มันก็จริง เดิมทีแต่งงานกันยังไม่ถึงหนึ่งเดือนเลย ก็ต้องอย่าในไม่ช้าแล้ว มันไม่ค่อยเหมาะสมเลยจริง ๆ
เหตุผลนี้สมบูรณ์แบบยิ่งนัก เป็นท่วงทีของจ้านเป่ยเซียวอย่างแน่นอน หากจะพูดจริง ๆ ระยะเวลาเพียงแค่หนึ่งเดือนนางก็สามารถทำให้จ้านเป่ยเซียวขัดราชโองการเพื่อนาง นั่นถึงนับเป็นความมหัศจรรย์
“ในเมื่อท่ามิได้มาเพื่อส่งหนังสือหย่า แล้วท่านมาที่นี่เพราะเหตุใด?” เฟิ่งชิงหัวกล่าวด้วยความสงสัย
“พระชายาของข้าหนีไปแล้ว ข้าไม่ควรมาดูหน่อยหรือว่าสถานที่ที่นางอาลัยอาวรณ์จนไม่อยากกลับบ้านนั้นมีอะไรดี?” จ้านเป่ยเซียวกล่าวด้วยความโมโห
เฟิ่งชิงหัวทำจมูกย่น: “ไม่มีอะไรดี อย่างที่ท่านเห็น ก็พอทนนอนได้”
จ้านเป่ยเซียวมองดูรอบ ๆ ด้วยความขยะแขยง: “ช่างเป็นพวกไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย ข้าจะสั่งให้คนมาจัดอีกครั้ง”
เฟิ่งชิงหัวได้ยินเช่นนั้นก็เอ่ยขึ้นมาโดยเร็ว: “ไม่ต้องหรอก ข้ามิได้อยู่ที่นี่ระยะยาวเสียหน่อย ท่านจะทำให้มันดีเช่นนั้นทำไมกัน ให้นักโทษคนต่อไปมาเสพสุขอย่างนั้นหรือ?”
จ้านเป่ยเซียวทำเสียงฮึดฮัดอย่างเย็นชา: “เมื่อไหร่เจ้าอยู่พอแล้ว ข้าค่อยให้คนมาเอาของพวกนี้ออกไป”
เอ่อ นี่จะให้นางเห็นกรมคลังเป็นสถานที่พักตากอากาศสำหรับมาเที่ยวอย่างนั้นหรือ?
มีอิทธิพลมีอำนาจ มีผู้คอยหนุนหลังเช่นนี้ดีช่างดีจริง ๆ คราวนี้มีเขาอยู่นางไม่กังวลใจเลยจริง ๆ