พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 43 รัชทายาทใจอ่อนรังแกง่าย
พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 43 รัชทายาทใจอ่อนรังแกง่าย
“อ้อ เรื่องนั้นเหรอ” เฟิ่งชิงหัวเม้มริมฝีปากบาง ใบหน้าแดงระเรื่อ: “ข้าก็แค่อยากให้รัชทายาทพูดกับท่านอ๋องทีว่า ต่อไป ถ้าจะเล่นอะไรก็อยากเลือกจุดที่เห็นได้ชัดขนาดนั้น เดี๋ยวคนจะเห็นหมด ข้าบอกท่านอ๋องแล้ว แต่ท่านก็ไม่ยอมฟัง ข้าคิดว่าพวกท่านเป็นพี่น้องกัน ก็น่าจะคุยกันได้ง่ายกว่า”
รัชทายาทเข้าใจแล้ว แต่กลับหาคำมาตอบไม่ได้
“รัชทายาทจะเชื่อคำพูดไร้สาระของเจ้าได้ยังไง ตอนนี้อู๋หยาอยู่ที่นี่แล้ว เขาเป็นพยานได้!” หนานกงเยว่หลีรีบพูด แล้วมองไปยังอู๋หยา: “อาจารย์อู๋หยาพูดสิว่า ท่านมาที่นี่ก็เพื่อหนีไปด้วยกันกับนางหรือเปล่า?”
ไม่รออู๋หยาพูด เฟิ่งชิงหัวก็พูดก่อนแล้วว่า: “พี่สาวใหญ่ ถ้าเขาจะหนีไปกับพี่จริงๆ งั้นตอนนี้เพื่อปกป้องพี่ ก็ต้องพูดเหมือนกันกับพี่น่ะสิ”
“หนานกงเยว่ลั่วเจ้า!” หนานกงเยว่หลีขอบตาแดงก่ำ ครั้งนี้นางไม่ได้ทำจริงๆ นางมองไปยังรัชทายาท: “รัชทายาท ท่านเชื่อข้านะ ข้าไม่ได้ทำจริงๆ”
เฟิ่งชิงหัวพูดอย่างเชื่องช้าว่า: “รัชทายาทก็ต้องเชื่อเจ้าอยู่แล้ว ถ้าไม่เชื่อ เขาก็ถูกตราหน้าว่าโดนสวมเขาน่ะสิ?”
รัชทายาทสะบัดแขนเสื้อแรงๆ หนานกงเยว่หลีไม่ทันตั้งตัวล้มลงไปบนพื้น นัยน์ตาคู่สวยนั้นเต็มไปด้วยน้ำตา: “รัชทายาท ข้าถูกใส่ร้าย”
เฟิ่งชิงหัวส่ายหน้าถอนหายใจพูดว่า: “พี่สาวใหญ่ ถึงพี่จะใส่ร้ายก็หาแพะรับบาปที่เหมาะสมกว่านี้มาสิ พี่ลองคิดดูสิ วันนี้ข้าเพิ่งกลับมาบ้านแม่ จะแน่ใจได้ยังไงว่าจะมาเจอกับชายที่ข้าจะหนีตามไปด้วย ถึงจะเจอกัน ก็ต้องเลือกโอกาสที่เหมาะสมกว่านี้ จะไปแบบไม่ได้เตรียมตัวได้ยังไง ใช่ไหม?”
หนานกงเยว่หลีอ้ำๆอึ้งๆพูดไม่ออก รัชทายาทเห็นแบบนั้นแล้วก็รู้เลยว่า นางกำลังโกหกอยู่และหาข้ออ้างไม่ได้แล้ว
รัชทายาทพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา: “ในเมื่อเจ้าบอกว่านางไม่ใช่เจ้า เจ้ามีหลักฐานอะไรพิสูจน์ไหม?”
หนานกงเยว่หลีครุ่นคิด สายตาก็เปล่งประกายทันที: “ใช่แล้ว เจ้าบอกว่าเป็นข้า แต่กลับไม่มีหลักฐานมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจของเจ้า ใครจะรู้ว่าเจ้าไม่เกี่ยวข้องกับอู๋หยา!”
เฟิ่งชิงหัวได้ยินแล้วก็ทำท่าครุ่นคิดอย่างลำบากใจ
หนานกงเยว่หลีรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย: “หนานกงเยว่ลั่วรัชทายาทไม่มีทางโดนเจ้าหลอกได้ง่ายๆหรอกนะ!”
เฟิ่งชิงหัวมองไปยังรัชทายาท แล้วพูดอย่างลำบากใจว่า: “รัชทายาท ถ้าข้าหาหลักฐานมาพิสูจน์ว่าท่านโดนสวมเขาจริง ท่านคงจะไม่เกลียดข้า แล้วไปคิดบัญชีกับจวนอ๋องเฉินหรอกนะ?”
“ไม่หรอก” รัชทายาทกัดฟันพูด
เฟิ่งชิงหัวตบหน้าอกพูดว่า: “ในเมื่อแบบนี้ งั้นข้าก็ค่อยสบายใจหน่อย หลักฐานก็ชัดเจนอยู่ทนโท่ ถ้าข้ากับอู๋หยาจะหนีไปด้วยกันจริงๆ งั้นข้าก็ต้องเอาเงินทองไปใช้จ่ายด้วยไหม? ขณะเดียวกัน ถ้าพี่สาวใหญ่จะหนีไปกับชายอื่น งั้นก็ต้องพาคนสนิทของนางไปด้วย”
รัชทายาทโบกมือ ทหารคนหนึ่งรีบกระโดดขึ้นรถม้า หยิบกระเป๋าใหญ่ออกมาจากด้านใน
ไม่รอเปิดออก สีหน้าของหนานกงเยว่หลีก็เปลี่ยนไปทันที ทั้งหวาดกลัวและสิ้นหวัง
นางใส่ของตัวเองลงไปในนั้นจริงๆ แต่ก็เพื่อให้คนอื่นคิดว่าหนานกงเยว่ลั่วกำลังจะหนีกะทันหัน จึงไปขโมยของในห้องของนาง แต่ตอนนี้ ไม่คิดว่ามันจะกลายเป็นหลักฐานที่มัดตัวของนางเอง
อธิบายไม่ชัดเจนแล้ว ตามนิสัยที่ขี้สงสัยของรัชทายาท เขาจะต้องไม่เชื่อแน่ๆ
เป็นไปตามที่คิดไว้ กระเป๋าเปิดออก ด้านในไม่เพียงแต่มีปิ่นปักผมและกำไลที่หนานกงเยว่หลีใส่ตลอด ยังมีของที่รัชทายาทให้นางด้วย
เขารู้ว่าของพวกนี้ปกติหนานกงเยว่หลีจะรักษาไว้อย่างดี คนอื่นไม่มีทางมาแตะต้องของพวกนี้แน่ มีแต่นางที่รู้ว่าเอาไว้ไหน เรื่องราวชัดเจนมากแล้ว
“เจ้ายังอยากจะพูดอะไรอีกไหม?” รัชทายาทพูดอย่างเย็นชา
หนานกงเยว่หลียิ้มอย่างขมขื่น: “เยว่หลีไม่มีอะไรจะพูดเพคะ”
ต่อมา หนานกงเยว่หลีก็มองไปยังเฟิ่งชิงหัว: “ข้าไม่คิดเลยนะว่าเจ้าจะร้ายกาจเช่นนี้ อู๋หยารักเจ้าคนเดียว แต่เจ้ากลับทำร้ายเขาเช่นนี้”
เฟิ่งชิงหัวเหลือบมองไปยังอู๋หยาที่ยืนอยู่ตรงนั้นไม่พูดไม่จา ในใจก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเลย นางไม่ใช่หนานกงเยว่หลี ไม่ค่อยรู้สึกอะไรกับคนคนนี้เท่าไหร่
อีกอย่าง ความรักเป็นเรื่องของคนสองคน ทั้งที่แผนการหนีไปด้วยกันถูกจับได้แล้ว แต่ตั้งแต่ต้นจนจบเขาเงียบไม่พูดอะไรเลย ต่อหน้าอำนาจราชวงศ์ ความรักช่างอ่อนแอเหลือเกิน
ในตอนที่เขายอมรับคำแนะนำการหนีไปด้วยกันของหนานกงเยว่หลี เขาก็น่าจะรู้แล้วว่า ผลที่ถูกจับได้จะเป็นยังไง ตอนนี้ก็แค่เริ่มก่อนก็เท่านั้นเอง
“ไม่รู้ว่ารัชทายาทจะจัดการพี่สาวใหญ่ของข้ายังไง?” เฟิ่งชิงหัวถาม
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพระชายาเจ็ด เป็นเรื่องของข้า ข้าจะ……” รัชทายาทยังพูดไม่ทันจบ ก็ได้ยินเสียงล้อรถไหลมาตามพื้นหินสีเขียว
เฟิ่งชิงหัวรู้ว่าก่อนหน้านี้จ้านเป่ยเซียวแอบดูอยู่ห่างๆ ตอนนี้คงจะมาซ้ำเติมทั้งสองคนมากกว่า
เฟิ่งชิงหัวเห็นด้วยอย่างมาก เพราะยังไง ถ้านางไม่ฉลาดมากพอ หรือไม่เคยได้ยินคำพูดของหนานกงเยว่หลีกับฮูหยินเฉิงเซี่ยงตอนนี้ถ้าจ้านเป่ยเซียวมาก็คงจะเห็นนางนั่งร้องไห้ร้องขอความยุติธรรมอยู่บนพื้นแล้ว
เทียบกับเรื่องนี้ นางอยากเห็นคนอื่นโดนกรรมตามสนองมากกว่า
“ทำไมพระชายาไปนานขนาดนั้น ยังต้องให้ข้ามารับอีก” จ้านเป่ยเซียวพูดอย่างไม่พอใจ
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ รัชทายาทได้ยินแล้วกลับรับไม่ได้ นิสัยเย็นชาดุจดั่งใบหน้าและอารมณ์แปรปรวนของเทพสงครามท่านอ๋องเจ็ด ตอนนี้กลับใช้คำพูดไม่พอใจพูดกับคนอื่น นี่ถือเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนจริงๆ
ดูแล้ว สองสามีภรรยาคงจะรักกันมากนะ คำเล่าลือนินทาที่ว่าเขานกเขาไม่ขันเกรงว่าจะไม่เป็นจริง
รัชทายาทคิดแบบนี้ กัดฟันกรอดอย่างไม่พอใจ
เฟิ่งชิงหัววิ่งไปนั่งอยู่ตรงหน้าชายหนุ่ม หันหลังให้กับสายตาที่เปล่งประกายของทั้งสอง เหมือนเด็กที่ก่อเรื่องสำเร็จแล้ววิ่งไปอวดกับผู้ใหญ่
จ้านเป่ยเซียวเห็นสายตานางวิบวับเป็นประกาย นั่นเป็นสายตาที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนเลย
สายตาคู่นี้ ทำให้คนอดไม่ได้ลุ่มหลง และตอนนี้ สายตาที่ใสแจ๋วคู่นั้น ก็สะท้อนเงาของเขาออกมา
“ท่านอ๋อง ข้ามีเรื่องจะเล่าให้ฟัง เมื่อกี้ข้ากับรัชทายาทจับได้ว่าพี่สาวใหญ่กำลังจะหนีไปกับชายอื่น ตอนนี้กำลังจะจัดการ ท่านก็มาพอดีเลย ท่านออกความเห็นให้รัชทายาทบ้างสิ ข้าดูเขาเหมือนจะปวดหัวมากเลย” ตอนที่เฟิ่งชิงหัวพูดคำนี้ นางดูไร้เดียงสาเหมือนเด็กคนหนึ่ง เหมือนกำลังหาทางแก้ไขจริงๆ ถ้าใบหน้าของนางไม่มีรอยยิ้มที่เจ้าเล่ห์ขนาดนั้นล่ะก็
จ้านเป่ยเซียวเข้าใจนางดี เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า: “มีอะไรให้น่าปวดหัวกัน ถ้าเจ้ากล้าหนีไปกับชายอื่น ข้าจะกลับมาตัดแขนตัดขาแล้วเอาไปดองเหล้า”
คำพูดน่ากลัวและโหดร้ายมาก แต่เฟิ่งชิงหัวกลับพึงพอใจมาก
เฟิ่งชิงหัวหันไปมองรัชทายาทที่ยังยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น แล้วมองไปยังหนานกงเยว่ลั่วที่ฟังคำพูดของจ้านเป่ยเซียวเสร็จแล้วอดไม่ได้ตัวสั่น
“พี่สาวใหญ่ พี่ไม่ต้องกลัวนะ รัชทายาทใจอ่อนรังแก่ง่าย ไม่เหมือนท่านอ๋องของข้าหรอก” เฟิ่งชิงหัวพูดปลอบ