พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 53 รักที่ไม่อาจลืมเลือนในใจท่านอ๋อง
พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 53 รักที่ไม่อาจลืมเลือนในใจท่านอ๋อง
เมื่อเฟิ่งชิงหัวได้ยินดังนั้น ก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าวิตกกังวล : “เสด็จพ่อ หม่อมฉันเกรงว่าจะทำให้เสด็จพ่อทรงตกพระทัย จึงไม่กล้าเผยใบหน้าอันแท้จริงเพคะ”
“ข้าเป็นถึงจักรพรรดิมังกร จะตกใจง่าย ๆ ได้อย่างไร อีกอย่างใช่ว่าข้าจะไม่เคยเห็นใบหน้าของเจ้า รีบถอดออกเร็วเข้า !” ฮ่องเต้เซวียนถ่งตรัสอย่างไม่สบอารมณ์นัก
เฟิ่งชิงหัวกลับหันมองจ้านเป่ยเซียวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ อย่างไม่สนใจใยดี : “ท่านอ๋อง หม่อมฉันสามารถถอดหมวกออกได้หรือยังเพคะ ?”
นิ้วโป้งของจ้านเป่ยเซียวขยับเล็กน้อย พร้อมกระแอมเบา ๆ : “เสด็จพ่อสั่งให้เจ้าถอด เจ้าก็ถอดสิ”
เฟิ่งชิงหัวได้ยินดังนั้นก็ตอบกลับอย่างเชื่อฟัง : “เพคะ”
จากนั้น เฟิ่งชิงหัวก็ถอดหมวกออกด้วยท่าทางที่ดูกล้าหาญเป็นพิเศษ พร้อมทั้งเงยหน้าขึ้นมองฮ่องเต้เซวียนถ่ง
ถึงแม้จะเป็นฮ่องเต้ที่เห็นอะไรมานักต่อนัก แต่เมื่อเห็นรอยหมึกบนใบหน้าของเฟิ่งชิงหัว ก็ต้องตกใจจนถอยร่นไปหลายก้าว พร้อมกับใช้มือค้ำโต๊ะเอาไว้ และตะโกนออกมาเสียงดังด้วยความโมโห : “บังอาจ !”
เฟิ่งชิงหัวพูดอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ : “เสด็จพ่อ เป็นฝีมือของท่านอ๋องทั้งนั้นเพคะ”
ขณะที่พูด ก็หันมองฮ่องเต้เซวียนถงด้วยแววตากลมโตที่น่าสงสาร ฮ่องเต้เซวียนถงผู้มีจิตใจเข้มแข็ง เมื่อเห็นเช่นนี้ก็ยังอดใจอ่อนไม่ได้ จึงไม่อาจตำหนิได้ลง
เมื่อพิจารณาอย่างละเอียดแล้ว พบว่าตัวอักษรที่อยู่บนใบหน้าของหญิงสาว เป็นลายมือของลูกชายตนเองจริง จึงกระแอมออกมาสองครั้งอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นจึงหันมองลูกชายของตนเองด้วยแววจาหยอกล้อและประหลาดใจ : “เจ้าเจ็ด นี่เจ้าทำอะไรของเจ้า ทำไมถึงล้อเล่นกับภรรยาของตนเองเช่นนี้”
จ้านเป่ยเซียวยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น แม้กระทั่งแววตาก็ไม่ขยับเขยื้อน
ฮ่องเต้หันกลับไปตรัสด้วยความจนใจอีกว่า : “ข้ารู้ว่านี่เป็นความสุขส่วนตัวระหว่างพวกเจ้าสองสามีภรรยา แต่เจ้าจะไม่เห็นแก่หน้าพระสวามีของเจ้าเช่นนี้ก็ไม่ได้ เรื่องเล็กแค่นี้ แค่ล้างเสียก็สิ้นเรื่อง ทำไมจะต้องวิ่งโร่มาฟ้องข้าด้วย เรื่องนี้เป็นเจ้าเองที่ไม่รู้ความ”
ความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดล้วนเต็มไปด้วยการปกป้อง
เฟิ่งชิงหัวยังคงยกมือขึ้นกุมหน้าร้องไห้ต่อ : “เสด็จพ่อ ใช่ว่าหม่อมฉันไม่รู้ความ ท่านอ๋อง ท่านอ๋องทรงฉวยโอกาสที่หม่อมฉันนอนหลับไปแล้ว เขียนคำว่า “ข้าคือคนโง่” ลงบนหน้าของหม่อมฉัน ซ้ำยังให้องครักษ์ทั่วทั้งจวนมาดู หมึกชนิดนี้ไม่สามารถล้างออกได้ด้วยน้ำธรรมดา วันนี้หม่อมฉันจะไปร้องทุกข์ที่กรมคลัง หากท่านอ๋องยังทรงรักศักดิ์ศรี ก็คงไม่ทำให้หม่อมฉันต้องอัปอายเช่นนี้ หม่อมฉันเจ็บปวดใจนัก จึงได้เข้าวังมาเพื่อทูลขอให้เสด็จพ่อทรงตัดสินความยุติธรรมให้หม่อมฉันเพคะ”
จ้านเป่ยเซียวยืนฟังอยู่ด้านข้างอย่างชัดเจน เมื่อได้ยินหญิงสาวตัดพ้อในเรื่องที่เขาทำด้วยท่าทีที่อ่อนแอ ทำให้เขายกมือขึ้นลูบหน้ากากด้วยความละอายใจโดยไม่รู้ตัว เมื่อได้ยินนางพูดว่าปวดใจยิ่งนัก ก็อดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วแล้วหันมองนาง
ปวดใจยิ่งนัก ทำไมเขาไม่เห็นรู้สึกว่านางปวดใจเลยสักนิด
หากเป็นหญิงสาวที่รู้สึกปวดใจจริง ๆ ตอนนี้คงต้องซุกตัวร้องไห้อยู่ใต้ผ้าห่ม ไม่กล้าออกมาพบปะผู้คนแล้ว แต่นางกลับวิ่งโร่ไปรอบจวนอย่างดุเดือดเพื่อคิดบัญชีกับเขา ขาดเพียงแค่ถือมีดเอาไว้ในมือเท่านั้น
หากเป็นหญิงสาวที่อ่อนแอจริง ๆ ทำไมเมื่อคืนจึงกล้าใช้อารมณ์กับเขา
แต่เทพสงครามผู้ยิ่งใหญ่อย่างเขา มีหรือจะกล้าทำเช่นเดียวกับนาง วิ่งโร่มาเกาะแข้งเกาะขาเสด็จพ่อของตนเองแล้วร้องห่มร้องไห้ ฟ้องร้องว่านางทำอะไรกับตนเองไว้บ้างเมื่อคืนนี้ ?
ผู้หญิงคนนี้ เสแร้งได้เก่งจริง ๆ จ้านเป่ยเซียวกัดฟันพลางคิดว่า เดิมทีเขาคิดที่จะสั่งสอนนาง ให้นางรู้ถึงฤทธิ์เดชของเขา ต่อไปจะได้ไม่กล้ากลั่นแกล้งพระสวามีของตนเองตามอำเภอใจอีก แต่ใครจะไปคิดว่านางจะฉวยโอกาสหนีเข้ามาฟ้องร้องในวัง นับว่าพัฒนาความสามารถขึ้นแล้วจริง ๆ
เมื่อฮ่องเต้เซวียนถ่งได้ยินก็ยืนตกตะลึงอยู่ข้าง ๆ และเหม่อลอยไปครู่หนึ่ง
นี่คือลูกชายที่เขาไม่เคยแยแสมาตลอดจริง ๆ หรือ ?
นี่เป็นเรื่องที่เด็กซุกซนคนหนึ่งถึงจะทำได้ไม่ใช่หรือ ?
หลังจากเจ้าเจ็ดอายุครบห้าขวบ ฮ่องเต้เซวียนถ่งก็ไม่เคยสังเกตเห็นความเป็นเด็กในตัวของเขาอีกเลย
คิดเช่นนี้พลางหันมองหญิงสาวที่คุกเข่าอยู่บนพื้น จากนั้นแววตาของฮ่องเต่เซวียนถ่งก็ปรากฏความรู้สึกซับซ้อนขึ้นมา
ขณะที่เฟิ่งชิงหัวคุกเข่าอยู่บนพื้นจนหัวเข่าเริ่มรู้สึกปวดระบม น้ำตาก็แทบจะไหลจนแห้งแล้ว คนที่ยืนอยู่เหนือศีรษะของนางถึงได้สั่งให้นางลุกขึ้น
ฮ่องเต้เซวียนถ่งตรัสด้วยความรู้สึกโกรธและเสียใจ : “ในเมื่อแต่งงานแล้วก็นับว่าเป็นผู้ใหญ่ จะทำตัวเป็นเด็ก ๆ ทั้งวันได้อย่างไร ต่อไปหากเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก ข้าจะลงโทษพร้อมกันทั้งสองคน ภรรยาของเจ้าเจ็ดรีบไปล้างคราบหมึกบนหน้าออกก่อนเถอะ”
“เพคะ” เฟิ่งชิงหัวตามนางกำนัลออกจากตำหนักไปอย่างว่าง่าย ขณะที่กำลังจะก้าวเท้าออกจากประตูไป ยังหันกลับมาทำหน้าเยาะเย้ยใส่จ้านเป่ยเซียวอีกครั้ง
จ้านเป่ยเซียวผงะไปก่อน จากนั้นจึงขมวดคิ้วและเม้มริมฝีปากแน่นไม่พูดไม่จา
เมื่อเฟิ่งชิงหัวกลับมาที่ตำหนักใหญ่อีกครั้ง ใบหน้าที่แต่เดิมเต็มไปด้วยรอยหมึก บัดนี้กลับมาขาวสะอาด เรียบเนียนมีเลือดฝาด นับได้ว่าเป็นหญิงสาวที่งดงามคนหนึ่ง
ฮ่องเต้เซวียนถ่งตรัสด้วยรอยยิ้ม : “ข้ากำชับเจ้าเจ็ดเรียบร้อยแล้ว ต่อไปเขาจะไม่กลั่นแกล้งเจ้าอีกพวกเจ้าทั้งสองกลับไปได้แล้ว ส่วนเรื่องที่ข้าสั่ง ห้ามเล่นจนกระทั้งเสียเรื่องล่ะ”
นี่ถือเป็นการกำชับรูปแบบหนึ่งกับเฟิ่งชิงหัว
ฟิ่งชิงหัวน้อมรับพระบัญชา จากนั้นจึงหันมองจ้านเป่ยเซียวที่ยังคงยืนอยู่ในท่าเดิมตั้งแต่นางออกไป นางไม่เชื่อเลยสักนิดว่าเมื่อครู่ฮ่องเต้เซวียนถ่งจะทรงตำหนิเขาแล้วจริง ๆ
ตอนนี้นางมองออกแล้วว่า ฮ่องเต้เซวียนถ่งทรงตามใจพระโอรสองค์นี้มาก อย่าว่าแต่จ้านเป่ยเซียวจะเขียนตัวอักษรลงบนหน้าของตนเองเลย แต่ให้นำมีดมากรีดลงบนหน้าของตนเอง ก็ไม่มีทางตัดใจด่าทอได้แม้เพียงครึ่งประโยค
แต่อันที่จริง นางเองก็ไม่ได้คิดจะมาหาใครเพื่อให้ช่วยตัดสินความยุติธรรม เพียงแต่ต้องการทำให้จ้านเป่ยเซียวไม่เป็นตัวของตัวเองเท่านั้น
จ้านเป่ยเซียวเดินทางด้วยรถเข็น ส่วนหญิงสาวตัวเล็ก ๆ ที่อยู่ด้านหลังก็คอยวิ่งตามอย่างเร่งรีบ ดูแล้วช่างน่าสงสารยิ่งนัก
จ้านเป่ยเซียวไม่อยากหันมองท่าทางที่นางเสแสร้งออกมา ในใจยังรู้สึกโกรธเคืองนาง จึงเคาะตรงพนักวางแขนสองครั้ง รถเข็นที่อยู่ด้านล่างก็ทะยานไปด้านหน้าด้วยความเร็ว
“ท่านอ๋อง ท่านอ๋องรอหม่อมฉันด้วยเพคะ หม่อมฉันตามไม่ทันแล้วเพคะ ท่านอ๋อง……” เฟิ่งชิงหัวตะโกนด้วยความร้อนใจพลางแสร้งวิ่งไล่ตามสองก้าวแล้วไม่ขยับเขยื้อนอีก จากนั้นจึงค่อย ๆ เดินตามอย่างสบาย ๆ
เดินสิถึงจะดี นางเองก็ไม่อยากเห็นใบหน้าที่สวมหน้ากากนั่นเสียหน่อย
ทว่า เดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยดังมาจากที่ใกล้ ๆ
“หนานกงเยว่ลั่ว คนไร้ค่าอย่างเจ้า แต่งงานกับเสด็จพี่เจ็ดของข้าแล้วเป็นอย่างไรเล่า ก็ยังเป็นที่น่ารังเกียจอยู่ดีมิใช่หรือ น่าอับอายขายหน้าไหมล่ะ”
เฟิ่งชิงหัวหันกลับไปแล้วขมวดคิ้ว คนทั้งสองที่อยู่ตรงหน้านาง นางไม่รู้จักจริง ๆ
แต่หญิงสาวที่สวมใส่ชุดฝ่ายในผู้นี้ เรียกจ้านเป่ยเซียวว่าเสด็จพี่เจ็ด ก็น่าจะเป็นองค์หญิงพระองค์หนึ่ง
เฟิ่งชิงหัวคาดเดาได้ถูกต้อง คนทั้งสองที่อยู่ตรงหน้า คนที่กำลังพูดอยู่นั้นคือองค์หญิงเหออาน เป็นพระขนิษฐาแท้ ๆ ขององค์รัชทายาท ส่วนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ คือพระสหายคนสนิทของ องค์หญิงเหออาน นามว่าเจียงหยูหวัน
ทั้งสองเพิ่งเห็นท่าทีที่ไม่สนใจใยดี ที่อ๋องเจ็ดปฏิบัติกับพระชายาเจ็ดเมื่อครู่ จึงอดไม่ได้ที่จะเดินเข้ามาพูดจาเยาะเย้ยสักครั้ง
“หยูหวัน เจ้าเห็นหรือยัง ข้าบอกตั้งแต่แรกแล้วว่าเสด็จพี่เจ็ดไม่มีทางชอบพอผู้หญิงไร้ค่าเช่นนี้ อาศัยฐานะของจวนเฉิงเซี่ยงแงเข้ามาแล้วเป็นอย่างไร เสด็จพี่เจ็ดของข้าไม่ยินดีแม้แต่จะชายตามองนางด้วยซ้ำ เห็นเพียงว่าในใจของเสด็จพี่เจ็ด มีเพียงเจ้าคนเดียวเท่านั้น” องค์หญิงเหออานหันไปพูดกับหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
“องค์หญิง ต่อไปห้ามตรัสเช่นนี้อีกนะเพคะ ตอนนี้น้องเยว่ลั่วเป็นพระชายาของเสด็จพี่เป่ยเซียวแล้ว เรื่องเมื่ออดีต อย่านำกลับมารื้อฟื้นอีกเลยเพคะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น เฟิ่งชิงหัวก็หันมองหญิงสาวที่ถูกเรียกว่าหยูหวันอย่างจริงจัง
รูปร่างหน้าตาอยู่ในระดับปานกลางค่อนไปทางสวย แต่เทียบไม่ได้กับหนานกงเยว่หลี ดูแล้วมีท่าทางอ่อนแอ
ความหมายที่องค์หญิงพระองค์นั้นสื่อออกมาก็คือ นี่คือหญิงสาวที่อยู่ในดวงใจของจ้านเป่ยเซียว รักที่ไม่อาจลืมเลือน ?
เขาชอบหญิงสาวที่ลมพัดก็ล้ม พูดจาราวกับเสียงยุง มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวมากเสียยิ่งกว่าเส้นผมเช่นนี้หรือ ? ช่างเป็นรสนิยมที่ไม่เหมือนใครจริง ๆ
ดูเหมือนเขาจะไม่ได้เป็นอัมพาตแค่ครึ่งซีกเท่านั้น แต่สายตายังใช้การไม่ได้อีกด้วย ถึงได้ชอบผู้หญิงที่เสแสร้งทำตัวบริสุทธิ์ไร้เดียงสาเช่นนี้