พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 54 หากรู้จักเอาตัวรอดก็ถอนตัวออกจากตำแหน่งพระชายาเอกเสีย
พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 54 หากรู้จักเอาตัวรอดก็ถอนตัวออกจากตำแหน่งพระชายาเอกเสีย
“หยูหวัน เป็นเพราะเจ้าจิตใจดีเกินไป จึงปล่อยให้ผู้หญิงเช่นนี้มาแย่งชิงโอกาสไปได้ หากถามข้า ข้าว่าเจ้าควรจะทูลกับเสด็จพี่เจ็ดตามตรง ให้เขาหย่าขาดกับผู้หญิงคนนี้เสีย เช่นนี้เจ้าก็สามารถครองคู่กับเสด็จพี่ของข้าได้แล้ว” องค์หญิงเหออานสนทนาอยู่กับเจียงหยูหวัน แต่สายตากลับมองเฟิ่งชิงหัวอย่างเยาะเย้ยอยู่
ราวกับกำลังจะพูดว่า ฐานะของเจ้ากำลังสั่นคลอนแล้ว เพียงแค่คำพูดประโยคเดียว เจ้าก็จะถูกดึงให้ร่วงลงมาแล้ว
เจียงหยูหวันส่ายหัว แล้วหันมององค์หญิงเหออานด้วยแววตาที่อ่อนโยน ราวกับมองเด็กน้อยที่เอาแต่ใจไม่รู้ความอย่างไรอย่างนั้น พลางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า : “การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ จะนำมาพูดเลอะเทอะเช่นนี้ได้อย่างไร ในเมื่อน้องเยว่ลั่วแต่งงานกับเสด็จพี่เป่ยเซียวแล้ว ก็นับว่าพวกเขาเป็นคู่สร้างคู่สมกัน เป็นพรหมลิขิตที่สวรรค์ประทานลงมา พวกเราทำเพียงแค่อวยพรก็พอแล้ว”
“หยูหวัน ทำไมเจ้าถึงมีจิตใจดีเช่นนี้ เห็นอยู่ชัด ๆ ว่านางแย่งชิงการแต่งงานไปจากเจ้า เจ้ายังช่วยพูดแทนนางอีก !” องค์หญิงเหออานหันมองเจียงหยูหวันด้วยสีหน้าทั้งไม่พอใจและสงสาร
เฟิ่งชิงหัวลูบใบหูของตนเอง แล้วพูดขึ้นด้วยความรู้สึกขบขัน : “ข้าแย่งชิงการแต่งงานของผู้อื่นหรือ ? เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ทำไมข้าไม่เห็นรู้เรื่องสักนิด ?”
เมื่อองค์หญิงเหออานเห็นว่าหญิงสาวท่าทางอ่อนแอที่อยู่ตรงหน้า กลับกล้าเอ่ยปากถามขึ้นมา ก็พูดขึ้นด้วยความโกรธทันที : “มีตาหามีแววไม่จริง ๆ เจ้ามองไม่เห็นเลยสักนิดหรืออย่างไร ว่าหยูหวันต่างหากคือคนที่เสด็จพี่เจ็ดของข้ารัก หากไม่ใช่เพราะเจ้าเข้ามาแทรกกลาง ตอนนี้หยูหวันก็ได้เป็นพระชายาอ๋องเจ็ดโดยชอบธรรมไปแล้ว เจ้าไม่มีค่าอะไรเลยสักนิด แม้กระทั่งยืนพูดจากับข้าที่นี่ก็ยังไม่คู่ควรเลยด้วยซ้ำ !”
“อ้อ ? ข้าไปแทรกกลางตอนไหนข้าเองก็ไม่รู้แน่ชัด แต่ในเมื่อท่านอ๋องของข้าทรงเคยชอบพอแม่นางเจียงผู้นี้ ทำไมนางถึงไม่ได้กลายเป็นพระชายาเจ็ดล่ะ ? ในเมื่อรักใคร่กันขนาดนั้น ทำไมถึงไม่เห็นท่านอ๋องทรงปฏิเสธราชโองการ ข้าเองก็ไม่เคยได้ยินว่าแม่นางเจียงไปถวายฎีกาต่อเสด็จพ่อเลย ?” เฟิ่งชิงหัวพูดขึ้นด้วยท่าทางสงสัย
“ตั้งแต่ที่เสด็จพี่เจ็ดของข้าได้รับบาดเจ็บก็ไม่ชอบเข้าวัง ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ขัดราชโองการ ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะยอมรับการแต่งงานในครั้งนี้ เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าในวันแต่งงานเจ้าใช้กลอุบาย เสด็จพี่เจ็ดของข้าจึงยอมให้เจ้าเข้าจวนไป ! ส่วนหยูหวัน ตอนนั้นนางกำลังป่วยอยู่ จึงอยู่ที่บ้านเดิมในหยูโจวตลอด ย่อมกลับมาไม่ทันการอย่างแน่นอน”
เฟิ่งชิงหัวกลับจับใจความสำคัญของเรื่องนี้ได้ จึงถามต่อว่า : “ไม่ทราบว่าคุณหนูเจียงป่วยเป็นโรคอะไรหรือ ข้าพอจะรู้วิชาแพทย์อยู่บ้าง ไม่ทราบว่าคุณหนูเจียงมีเรื่องลำบากใจที่พูดได้หรือไม่”
“น่าขำนัก เจ้าจะไปรู้วิชาการแพทย์อะไร หยูหวันป่วยมาปีกว่าแล้ว เมื่อไม่นานมานี้เพิ่งจะพบหมอเทวดาจึงรักษาโรคจนหาย จึงได้รีบเดินทางกลับมายังเมืองหลวงเพื่อเสด็จพี่เจ็ดของข้า วันคืนอันแสนสุขของเจ้าเหลืออีกไม่มากแล้ว ไม่ช้าเสด็จพี่เจ็ดก็จะหย่ากับเจ้าเพื่อหยูหวัน เจ้ารอดูเถอะ !”
จะไม่พูดก็คงไม่ได้ องค์หญิงเหออานนับว่าเป็นคนที่พูดทุกอย่างออกมาโดยสิ้นอย่างแท้จริง เรื่องที่เฟิ่งชิงหัวอยาการู้ นางได้พูดออกมาแทบทั้งหมดแล้ว
เฟิ่งชิงหัวคำนวณอย่างละเอียด จ้านเป่ยเซียวบาดเจ็บมาหนึ่งปีกว่า ส่วนเจียงหยูหวันเองก็บังเอิญป่วยเป็นเวลาหนึ่งปีกว่าเช่นเดียวกัน เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะจ้านเป่ยเซียวได้รับบาดเจ็บสาหัส จึงไม่คิดจะมอบสมบัติล้ำค่าให้กับเขา
มิเช่นนั้น ก่อนหน้าหนานกงเยว่ลั่ว จ้านเป่ยเซียวเองก็เคยมีพระชายามาแล้วสองพระองค์ เจียงหยูหวันจึงมีโอกาสที่จะกลับมาได้อย่างสมบูรณ์ ด้วยความรักใคร่เอ็นดูที่ฮ่องเต้เซวียนถ่งมีต่อจ้านเป่ยเซียว อย่าว่าแต่ลูกสาวขุนนางเลย หากแม้แต่จ้าวเป่ยเซียวพูดว่า หญิงสาวที่ตนเองรักคือลูกสาวขอทาน ฮ่องเต้เซวียนถ่งก็ยังจะทรงพระราชทานงานแต่งให้กับเขาอยู่ดี
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เฟิ่งชิงหัวก็สร้างละครฉากใหญ่ขึ้นมาในหัวได้
ตอนที่วีรบุรุษหนุ่มยังมีร่างกายกำยำหน้าตาหล่อเหลา ได้ตกลงกับสาวงามอย่างลับ ๆ ว่าจะใช้ชีวิตที่เหลือด้วยกัน รอวันที่ยกทัพกลับเมืองหลวงพร้อมชัยชนะ ก็จะเป็นวันแต่งงาน อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มกลับได้รับบาดเจ็บระหว่างทาง ข้าทั้งสองข้างได้รับบาดเจ็บสาหัสซ้ำยังเสียโฉม
หลังจากสาวงามรู้เรื่องเข้าก็จากลาอย่างไร้เยื่อใย ดังนั้นชายหนุ่มจึงโศกเศร้าเสียใจมาตลอดหนึ่งปี
เมื่อเฟิ่งชิงหัวคิดได้เช่นนี้ ก็รู้สึกเห็นอกเห็นใจจ้านเป่ยเซียวขึ้นมาเล็กน้อย มีตาหามีแววไม่จริง ๆ ถึงได้หลงรักหญิงสาวที่ร้ายกาจเช่นนี้ ช่างน่าเศร้าใจไม่รู้จบจริง ๆ
องค์หญิงเหออานเห็นหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า มีท่าทีทอดถอนใจด้วยความโศกเศร้า ก็เข้าใจว่านางกำลังกังวลถึงชีวิตในอนาคตของตนเอง จึงอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาอย่างภูมิใจว่า : “รู้จักกลัวแล้วสินะ ? ในใจของเสด็จพี่เจ็ด เจ้าไม่มีค่าพอที่จะเทียบกับเส้นผมแม้เพียงเส้นเดียวของหยูหวันเสียด้วยซ้ำ”
เมื่อเฟิ่งชิงหัวได้ยิดังนั้น ก็หัวเราะและพูดว่า : “ในเมื่อคุณหนูเจียงชอบพ่อท่านอ๋องของข้าขนาดนั้น ไม่สู้ข้าไปขอพระราชทานงานแต่งจากเสด็จพ่อเสียตั้งแต่ตอนนี้ ให้คุณหนูเจียงแต่งเข้ามาเป็นเพราะชายารองของท่านอ๋องเป็นอย่างไร ? ในเมื่อรักใคร่กันขนาดนี้ คุณหนูเจียงคงไม่สนใจแค่เรื่องฐานะหรอกนะ ? อย่างไรเสีย ความรู้สึกก็เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดนี่”
ขณะที่พูด เฟิ่งชิงหัวก็แสร้งเดินมุ่งหน้าไปทางพระตำหนักของฮ่องเต้เซวียนถ่ง โดยที่หางตายังคงเหลือบมองเจียงหยูหวันอยู่ตลอด
ไม่ผิดไปจากที่คาดไว้ เจียงหยูหวันหน้าถอดสี และรีบพูดขึ้นทันทีว่า : “พระชายาเจ็ดช้าก่อนเพคะ !”
เฟิ่งชิงหัวหยุดฃีเท้าลง จากนั้นจึงหันกลับไปมองนางด้วยรอยยิ้ม : “คุณหนูเจียงคิดจะปฏิเสธตำแหน่งพระชายารองเพื่อข้าอย่างนั้นหรือ ? อันที่จริงไม่จำเป็นหรอกนะ เหมือนอย่างที่องค์หญิงทรงตรัส ข้าอยู่กับท่านอ๋องก็ไม่ได้รับความรัก ถึงแม้เจ้าแต่งเข้าไปจะเป็นเพียงพระชายารอง แต่ท่านอ๋องจะต้องปฏิบัติต่อเจ้าดีกว่าที่ปฏิบัติต่อพระชายาเอกอย่างข้าแน่นอน ข้าเองก็จะปฏิบัติต่อคุณหนูเจียงเหมือนเป็นพี่น้องแท้ ๆ”
คำพูดที่ฟังดูสมเหตุสมผลนี้ ทำให้เจียงหยูหวัน ที่แต่เดิมคิดจะทิ้งไพ้ใบสุดท้าย แสดงอารมณ์ออกมาจนหมด จู่ ๆ ก็สรรหาคำพูดที่เหมาะสมไม่ได้
กลับเป็นองค์หญิงเหออานที่ออกโรงพูดแทน : “ใครใช้ให้เจ้าแสร้งทำตัวมือถือสากปากถือศีลกัน หยูหวันของเราต้องได้เป็นพระชายาเอกเท่านั้น พระชายารองจะมีความหมายอะไรกัน หากพูดให้น่าฟังก็คือพระชายารอง แต่หากพูดอย่างไม่เกรงใจก็คือนางสนม หากรู้จักเอาตัวรอดก็ถอนตัวออกจากตำแหน่งพระชายาเอกด้วยตนเองเสีย อย่าบังคับให้พวกเราต้องลงมือ !”
เมื่อเฟิ่งชิงหัวได้ยินดังนั้น ก็กอดอกพลางหัวเราะ แล้วพูดว่า : “พวกเจ้าคิดจะลงมือเช่นไร ?”
เมื่อเห็นว่าเฟิ่งชิงหัวไม่รู้สึกเกรงกลัวจริง ๆ องค์หญิงเหออานก็รู้สึกว่าอำนาจของตนเองถูกดูหมิ่นอย่างหนัก จึงหันมองไปรอบด้าน และพบกับทะเลสาบจำลองที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก
ทะเลสาบจำลอบแห่งนี้ยังอยู่ระหว่างการขุด เนื่องจากสองสามวันก่อนฝนตกจึงมีปริมาณน้ำสะสมอยู่ ด้านล่างมีกรวดอยู่จำนวนมาก หากตกลงไปคงต้องพบกับความยากลำบากไม่น้อย
ผู้หญิงคนนี้น่ารังเกียจเช่นนี้ ต้องให้นางได้พบเจอกับความลำบากเสียหน่อย
เมื่อคิดได้ดังนั้น เหออานก็ก้าวไปข้างหน้าสองก้าวพร้อมรอยยิ้มอันชั่วร้าย : “ในเมื่อใช้ไม่อ่อนกับเจ้าไม่ได้ผล ก็ต้องใช้ไม้แข็ง วันนี้ข้าจะช่วยสงเคราะห์เจ้าเอง !”
เจียงหยูหวันกับเหออานรู้จักกันมานานหลายปี ทำไมจะไม่รู้ว่าเหออานคิดจะทำอะไร แต่กลับพูดขึ้นด้วยสีหน้าตกใจ : “องค์หญิง ทรงคิดจะทำอะไรเพคะ ที่นี่คือวังหลวง ห้ามทำอะไรไร้สาระเด็ดขาดนะเพคะ”
“ไม่ใช่เรื่องไร้สาระแน่นอน ข้าแค่จะสั่งสอนนางเล็กน้อยเท่านั้น !” พูดจบ เหออานก็กระโจนเข้าใส่เฟิ่งชิงหัวทันที
แววตาของเจียงหยูหวันส่องประกายออกมา
ทว่า ไม่มีใครคาดคิด ทันใดนั้นเอง เฟิ่งชิงหัวก็ปลีกตัวหลบ แล้วยกเท้าขึ้นดักขาเหออาน ส่วนอีกมือหนึ่งยื่นออกดึงเจียงหยูหวัน แล้วส่งทั้งสองคนลงไปในทะเลสาบพร้อมกัน
ขณะที่ตกลงไป ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดของเหออานดังขึ้นสองครั้ง
ครั้งแรกเป็นเสียงตอนที่นางตกลงไปในทะเลสาบ และถูกกรวดเหล่านั้นขูดแผ่นหลังจนบาดเจ็บ ดครั้งที่สองเป็นเสียงตอนที่เจียงหยูหวันตกลงมา แล้วทับลงบนตัวของเหออาน ทำให้ตัวของนางถูกฝังลงไปในกรวดเหล่านั้น
กรวดอันแหลมคม กรีดเสื้อผ้าจนฉีกขาด และทิ่มแทงเข้าไปในผิวหนัง ทำให้น้ำในทะเลสาบเป็นสีแดงทันที