พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 61 ท่านมีเกียรติและสูงส่ง ส่วนข้านั้นไร้ยางอาย
พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 61 ท่านมีเกียรติและสูงส่ง ส่วนข้านั้นไร้ยางอาย
อย่าคิดปฏิเสธ ข้าตรวจชันสูตรร่างของซุนผินตั้งแต่แรกแล้ว พบว่านางถนัดซ้าย คนปกติเวลาถอดตุ้มหูมักใช้มือขวาในการถอด แต่นางกลับใช้มือซ้าย ในขณะเดียวกัน ถ้าหากถูกเข้าโดยบังเอิญในขณะที่ก้มหน้าดมดอกไม้ เช่นนั้นก็น่าจะเป็นส่วนล่างของตุ้มหูมียาพิษ แต่ตุ้มหูคู่นี้กลับเป็นส่วนบน นอกเสียจากซุนผินเป็นคนถอดมันทิ้งไปด้วยตนเอง เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวคือ นางถอดออกมาให้เจ้าด้วยตนเอง ส่วนทำไมเจ้าจึงไม่ถูกพิษจนตายนั้น ก็เป็นเพราะเจ้าคือคนวางยาพิษ !
เฟิ่งชิงหัวพูดเสียงดังฟังชัด ทำพูดที่ดังขึ้นทีละประโยคอย่างต่อเนื่องทำให้เสี่ยวเอ๋อร์อยู่ในอาการงุนงง แม้กระทั่งคนอื่น ๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์ ต่างก็หันมองนางด้วยความตะลึง และไม่อาจเข้าใจได้ในทันทีว่า ทำไมพระชายาจึงทรงมั่นอกมั่นใจเช่นนั้น
เสี่ยวเอ๋อร์สงสัยอยู่นาน เมื่อกำลังคิดจะเอ่ยปากพูด กลับพบว่าข้ออ้างทุกอย่างของตนเอง ถูกพระชายาสกัดไว้ทั้งหมด ตอนนี้ไม่ว่านางจะพูดว่าตนเองเคยพบซุนผิงหรือไม่ ก็ดูเหมือนจะไร้ความหมายเสียแล้ว
เฟิ่งชิงหัวรอนางรับสารภาพอย่างใจเย็น นางทำเพียงแค่ยิ้มแล้วพูดว่า : “เกี่ยวกับรายละเอียดพวกนี้ ข้าเองก็ไม่ได้สนใจนัก อย่างไรเสียก็คงไม่พ้นสิ่งที่ประมาณการไว้ แต่ที่ข้ารู้สึกสงสัยก็คือ นางกำนัลรดน้ำอย่างเจ้าจะมีความแค้นอะไรกับซุนผินได้ ถึงขนาดที่เจ้ายอมเสี่ยงที่จะถูกจับได้วางยาพิษนาง”
เสี่ยวเอ๋อร์สบตาคู่นั้นของเฟิ่งชิงหวง จ้องมองแววตาที่มุ่งมั่นของหญิงสาว ตอนนั้น ไม่อยากเสียแม้กระทั่งเวลาที่จะโต้เถียง ดังนั้นจึงแสยะยิ้มแล้วพูดว่า : “พระชายาทรงมีเหตุมีผลจริง ๆ หม่อมฉันเป็นคนวางยาพิษบนดอกไม้จริง ส่วนตุ้มหูคู่นั้นนางก็เป็นคนยื่นให้หม่อมฉันด้วยตนเอง แต่ไม่ได้มอบให้หม่อมฉัน แต่สั่งให้หม่อมฉันนำไปให้นายท่าน แต่หม่อมฉันไม่คิดจะนำไปให้ คิดไม่ถึงเลยว่า กลับเป็นสิ่งของเล็ก ๆ เช่นนี้ที่ทำร้ายหม่อมฉันเข้าจนได้”
เฟิ่งชิงหัวยิ้มมุมปากแล้วพูดว่า : “ดังนั้น เจ้าคงไม่ใช่นางกำนัลธรรมดา ๆ สินะ”
“ไม่เลวนี่ แต่ว่าฐานะของหม่อมฉัน พระองค์ไม่มีโอกาสได้ล่วงรู้แน่นอน” เสี่ยวเอ๋อร์พูดจบ ยังไม่ทันเห็นว่านางใช้วิธีอะไร ก็ปรากฎกลุ่มควันหนาขึ้นรอบตัวนาง
“แย่แล้ว นักโทษแหกคุกแล้ว รีบตามเร็วเข้า !” ถังเจี๋ยเห็นดังนั้นก็พูดขึ้นด้วยความเคยชิน
แต่ทันทีที่เขาพูดจบ เสี่ยวเอ๋อร์ที่แต่เดิมมีใบหน้าเย่อหยิ่งและพูดถ้อยคำรุนแรง กลับล้มลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง ตอนนี้ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“เป็นไปได้อย่างไร ?”
เฟิ่งชิงหัวได้ยินดังนั้น กลับแสยะยิ้มแล้วพูดว่า : “ประหลาดใจใช่ไหมล่ะว่าทำไมเจ้าจึงใช้วิชาตัวเบาไม่ได้ ? ตั้งแต่การสอบสวนครั้งแรก ข้าก็สังเกตเห็นแล้วว่าเจ้ามีวิชาตัวเบา แต่เพื่อไม่คนอื่นมองออก เจ้าจึงจงใจกินยาเพื่อข่มวรยุทธ์เอาไว้ ดังนั้นข้าจึงสั่งให้คนใส่บางอย่างลงไปในอาหารของเจ้า ดังนั้นตอนนี้เจ้าจึงสูญเสียวรยุทธ์โดยสมบูรณ์แล้วจริง ๆ”
ขณะที่พูด ดวงตาคู่นั้นยังคงหันไปกระพริบตาปริบ ๆ ใส่เสี่ยวเอ๋อร์ด้วยความขี้เล่น
เสี่ยวเอ๋อร์มีสีหน้าหมองหม่น จากนั้นจึงเมินหน้า : “จะฆ่าจะแกงก็เชิญตามสบาย !”
เฟิ่งชิงหัวกลับยื่นมือออกมาจับคางด้วยความสนใจ : “เช่นนั้นข้าขอถามเจ้า ที่เจ้าฆ่าซุนผิง เป็นเพราะเจ้ารักนายท่านของเจ้าอย่างนั้นหรือ ?”
เสี่ยวเอ๋อร์หน้าถอดสี แววตาแฝงไปด้วยความประหลาดใจ จากนั้นนางจึงเม้มปากไม่พูดไม่จา ถือว่าเป็นการยอมรับแล้ว
เฟิ่งชิงหัวปรบมือรัว ๆ จากนั้นจึงหันมองใต้เท้าทั้งสอง : “ข้าคาดเดาทุกอย่างได้แม่นยำเหมือนตาเห็นจริง ๆ เป็นอย่างไรบ้าง ?”
เลขาธการกรมพลเรือนยื่นมือไปสะกิดผู้ตรวจการหอต้าหลี่ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ด้วยสีหน้าตำหนิ ผู้ตรวจการหอต้าหลี่เองก็มีสีหน้าอึดอัดใจจนพูดไม่ออก เมื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ชี้นิ้วไปยังเสี่ยวเอ๋อร์ที่นั่งอยู่บนพื้นแล้วพูดว่า : “พระชายาทรงมีพระปีชายิ่งนัก สิ่งที่เร่งด่วนที่สุดในตอนนี้คือ การเร่งสอบสวนหญิงสาวผู้นี้โดยเร็ว เพื่อสืบให้กระจ่างว่า ภายในวังหลวงยังมีสิ่งซ่อนเร้นอะไรอยู่อีกบ้าง เพราะเรื่องที่เกี่ยวพันถึงความปลอดภัยของฝ่าบาท จะประมาทไม่ได้เด็ดขาด”
เฟิ่งชิงหัวพยักหน้า : “ใต้เท้านับเป็นเสาหลักของประเทศจริง ๆ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ยังไม่ลืมที่จะคำนึงถึงฝ่าบาท หากวันใดข้าเข้าวัง จะต้องกราบทูลน้ำใจนี้ของท่านต่อหน้าพระพักตร์อย่างแน่นอน”
“ขอบพระทัยพระชายา”
“ไม่ต้องขอบคุณ
“ไม่ต้องขอบคุณ ใต้เท้าทั้งสองท่านจะถอดหมวกขุนนางออกด้วยตนเอง หรือจะให้ข้าหาคนไปช่วยพวกท่านถอดดี ?”
ทั้งสองสีหน้าซีดเผือดทันที จากนั้นก็คุกเข่าลงบนพื้นดังพรวด เมื่อประกอบกับหน้าผากที่ยังไม่ได้จัดการให้เรียบร้อย ทำให้ดูน่าหวาดกลัวเป็นพิเศษ
เฟิ่งชิงหัวเอามือกุมไว้ที่โหนกแก้ม แล้วหันมองจ้านเป่ยเซียวที่ยืนนิ่งเงียบอยู่ข้าง ๆ แล้วเรียกด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวานเป็นพิเศษ : “ท่านอ๋อง ใต้เท้าทั้งสองหมายความว่าอย่างไรหรือเพคะ หรือว่าจะเสียดายตำแหน่งของตนเอง ? ถ้าเช่นนั้นครั้งนี้ก็ละเว้นไปก่อนดีไหมเพคะ ?”
จ้านเป่ยเซียวไม่แม้แต่จะเงยหน้า : “หากเสียดายหมวกขุนนาง ก็เอาศีรษะมาแลกเปลี่ยนแทนสิ”
แค่คำพูดเพียงประโยคเดียว ก็ทำให้ทั้งสองตกใจจนถอดหมวกขุนนางออกอย่างรวดเร็ว
เฟิ่งชิงหัวพูดอย่างงุนงง : “นี่พวกเราพนันกันเพียงแค่หมวกใบเดียวอย่างนั้นหรือเพคะ ? หม่อมฉันคิดว่ายังต้องมีขั้นตอนอื่นนอกเหนือจากนี้เสียอีก”
ผู้ตรวจการหอต้าหลี่และเลขาธิการกรมพลเรือนรีบนำหมึกและพู่กันออกมาร่างรายงานทันที ในขณะที่ยังคุกเข่าอยู่บนพื้น โดยสรุปก็คือด้อยความสามารถ ไม่สมควรได้รับตำแหน่งนี้ จึงตั้งใจจะลาออกจากตำแหน่งเพื่อกลับไปทำไร่ทำนา ขอฝ่าบาททรงประทานพระอนุญาตให้ลาออก
หลังจากเก็บรายงานทั้งสองฉบับขึ้นมาแล้ว เฟิ่งชิงหัวก็หันมองถังเจี๋ย : “มีการบันทึกคดีไว้ทั้งหมดแล้วหรือยัง ?”
ถังเจี๋ยที่ตอนนี้รับบทบาทเป็นที่ปรึกษาของเฟิ่งชิงหัว รีบพยักหน้าอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้นเฟิ่งชิงหัวจึงยืนขึ้นมา แล้วเดินตรงไปยังหาจ้านเป่ยเซียว : “ท่านอ๋อง คดีจัดการเรียบร้อยแล้วเพคะ พวกเรากลับกันเถอะเพคะ”
ถังเจี๋ยได้ยินดังนั้นก็รีบขวางทันที : “พระชายา ที่นี่ยังมีอีกสองคนที่ยังไม่ถูกตัดสินโทษพ่ะย่ะค่ะ”
เฟิ่งชิงหัวโบกมือ : “ไม่ต้องหรอก ทั้งสองคนนี่ไม่มีความผิด คุมตัวทั้งสองคนกลับไป รอรับพระราชโองการจากฝ่าบาทเถอะ”
“แต่ว่า ฆาตกรที่ฆ่าแม่นางซุนผิงผู้นั้นยังหาไม่เจอนะพ่ะย่ะค่ะ”
เฟิ่งชิงหัวอดไม่ได้ที่จะกลอกตาใส่ถังเจี๋ย : “ในบรรดาคนกลุ่มนี้ไม่มีฆาตกรที่ฆ่าคนเสียหน่อย แล้วเจ้าจะให้ข้าจับกุมได้อย่างไร เอาละ ๆ วันนี้พอแค่นี้ก่อน ที่เหลือรวบรวมหลักฐานให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
พูดจบ เฟิ่งชิงหัวก็หันมองจ้านเป่ยเซียว : “ท่านอ๋อง ?”
ตอนนี้จ้านเป่ยเซียวรู้สึกอารมณ์ดีอย่างน่าประหลาดใจ ไม่รู้สึกโมโหกับการเร่งเร้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าของเฟิ่งชิงหัวเลยสักนิด แต่กลับเดินตามนางออกไปจากกรมคลัง
เมื่อกลับมาถึงบนรถม้า เฟิ่งชิงหัวก็ลูบท้องของตนเองด้วยความหิว จากนั้นร่างกายก็พิงลงข้าง ๆ อย่างอ่อนปวกเปียก และหันไปพูดกับหลิวหยิ่งที่อยู่ด้านนอกรถม้าอย่างอ่อนแรงว่า : “หลิวหยิ่ง รีบหน่อยนะ ไม่อย่างนั้นหากนายหญิงของพวกเจ้าหิวตายบนรถม้าคันนี้ขึ้นมา ชื่อเสียงที่ว่านายท่านของพวกเจ้ามีดวงพิฆาตภรรยา ต้องยิ่งดังกระฉ่อนอย่างแน่นอน”
จ้านเป่ยเซียวได้ยินดังนั้นก็กลอกตามองนาง : “ปากเสีย”
ขณะที่พูดก็กำลังนั่งรินน้ำชาให้กับตนเอง เพิ่งจะรินเสร็จยังไม่ทันยื่นมือไปหยิบ แก้วน้ำชาใบนั้นก็หายไปเสียแล้ว
เฟิ่งชิงหัวดื่มน้ำชาจนหมด จากนั้นจึงวางแก้วชาลงที่เดิม และไม่ลืมที่จะยกมือขึ้นเคาะโต๊ะ : “กระหายจะแย่อยู่แล้ว รินมาอีกหนึ่งแก้ว”
จ้านเป่ยเซียวหัวเราะอย่างเย็นชา : “เสียของจริง ๆ”
แต่กลับเทน้ำชาลงในแก้วอีกครั้ง
หลังจากเฟิ่งชิงหัวดื่มจนหมด ก็ค่อย ๆ พูดขึ้นว่า : “เสียของอย่างไรกัน การชิมชาย่อมเป็นศิลปะอันสูงส่งของคนที่เหลือกินเหลือใช้ ยกตัวอย่างเช่นท่านอ๋อง หากต้อนที่ท่านเข้าห้องน้ำไม่ได้พกกระดาษชำระไป หรือไม่มีโถชำระ ท่านยังคิดที่จะทำตัวสูงส่งอยู่อีกหรือ ?”
เมื่อได้ยินคำเปรียบเปรยนี้ จ้านเป่ยเซียวก็มีสีหน้าหม่นหมอง : “หยาบคาย !”
“ใช่ ๆ ๆ ท่านมีเกียรติและสูงส่ง ส่วนข้านั้นไร้ยางอาย ท่านคือพระจันทร์ที่สุกสว่างบนท้องฟ้า ส่วนข้าคือเมฆดำที่บดบังราศีของท่าน พอใจหรือยัง ?” เฟิ่งชิงหัวตัดพ้อตนเองโดยที่ไม่เกี่ยวข้องกันสักนิด เพื่อครู่สอบสวนคดีพูดไปมากขนาดนั้น เมื่อดื่มน้ำเข้าไปในคราวเดียว ก็ทำให้รู้สึกสบายขึ้นไม่น้อย
เมื่อคนรู้สึกสบายก็ย่อมอารมณ์ดี และไม่คิดเล็กคิดน้อยอีก เฟิ่งชิงหัวรู้สึกว่าตนเองนั้นเป็นผู้ใหญ่ใจกว้างจริง ๆ
เฟิ่งชิงหัวยืนขึ้นเปิดผ้าม่านแล้วมองออกไปด้านนอก หลังจากเห็นตลาดนัดที่คุ้นตา ดวงตาทั้งคู่ก็เป็นประกายขึ้นมา : “หยุดรถ !”
หลิวหยิ่งยังไม่ทันจอดรถจนสนิท ก็มีร่าง ๆ หนึ่งพุ่งข้ามตนเองไปอย่างรวดเร็วเรียบร้อยแล้ว
“นายท่าน ทรงทอดพระเนตรพระชายา นาง……”
จ้านเป่ยเซียวที่เดิมทียังคงนั่งขบคิดเกี่ยวกับคำพูดเมื่อครู่ของเฟิ่งชิงหัว พระจันทร์กับเมฆดำอะไรกัน พูดจาคลุมเครือสิ้นดี เมื่อตั้งสติกลับมาได้ ก็พบว่าข้างกายว่างเปล่าเสียแล้ว
เมื่อเปิดผ้าม่านขึ้นดู เห็นร่างสีแดงสดเคลื่อนผ่านฝูงชนอย่างอิสระอยู่ในที่ไกล ๆ ใบหน้าปรากฏความสุขเป็นพิเศษ
“ช่างเถอะ รอนางสักเดี๋ยว” จ้านเป่ยเซียวพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม แต่แววตากลับจับจ้องอยู่ที่นางอยู่ตลอด
ไม่นานนัก ก็เห็นคนผู้นั้นยื่นมือออกมา แล้วชี้ให้พ่อค้าหาบเร่หันมองทางด้านนี้ จ้านเป่ยเซียวดึงผ้าม่านลงโดยไม่รู้ตัว และรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นในใจทันที
ท่าทางของเขาเมื่อครู่ หรือว่าจะถูกนางเห็นเข้าแล้ว ?
สายตาของผู้หญิงคนนั้นยอดเยี่ยมมาตลอด
ขณะที่กำลังกระวนกระวายใจ ก็มีเสียงของหญิงสาวดังตามหลอกหลอนขึ้นมาจากนอกหน้าต่าง : “ท่านอ๋อง”
แค่คำสองพยางค์ แต่กลับเรียกเสียยืดยาว
จ้านเป่ยเซียวเปิดผ้าม่านขึ้น แล้วกวาดตามองเฟิ่งชิ่งหัวที่ยืนอยู่ด้านนอก : “หนานกงเยว่ลั่ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้เจ้าอยู่ในฐานะอะไร สวมใส่ชุดฝ่ายในเช่นนี้ แต่กลับมาวิ่งโร่อยู่ในตลาดนัดที่สกปรกและวุ่นวาย ทำให้ท่านอ๋องอย่างข้าต้องอับอายขายหน้าจริง ๆ!”
ใช่แล้ว ที่เขามองนางเมื่อครู่เพราะมีเจตนาเช่นนี้ อย่างไรเสียตอนนี้ผู้หญิงคนนี้ก็ตีตราสัญลักษณ์ของเขาเอาไว้
เฟิ่งชิงหัวกระพริบตาปริบ ๆ ก่อน จากนั้นจึงพูดขึ้นด้วยความสงสัย : “ท่านอ๋อง ทำไมข้ารู้สึกว่า ท่านเปลี่ยนสีหน้าได้เร็วกว่าพลิกหนังสือเสียอีก ?”
“เจ้า !”
“ช้าก่อน อีกเดี๋ยวค่อยสั่งสอนข้าต่อ ตอนนี้นำเงินมาให้ข้าสักนิดก่อน ข้าซื้อของเอาไว้เยอะแยะ แต่ข้าไม่ได้พกเงินไป” เฟิ่งชิงหัวใช้ดวงตากลมโตเป็นประกาย จ้องมองขึ้นไปยังชายที่นั่งอยู่บนรถ ด้วยใบหน้าที่ไร้เดียงสา
จ้านเป่ยเซียวยังไม่ทันเอ่ยปาก เฟิ่งชิงหัวก็พูดต่อขึ้นว่า : “ท่านอ๋อง ข้าบอกพวกเขาไปแล้วว่า ข้าเป็นคนของจวนอ๋องเจ็ด หากให้พวกเขารู้ว่า คนของจวนอ๋องเจ็ดเราเลือกซื้อสิ่งของแล้ว แต่ไม่ยอมจ่ายเงินละก็ คงเป็นกรทำลายื่อเสียงของท่านอย่างแน่นอน ใช่ไหมล่ะ ?”
เมื่อจ้านเป่ยเซียวได้ยินดังนั้น ก็สูดหายใจลึกหนึ่งครั้ง เมื่อครู่เขาเพิ่งจะรู้สึกว่า ที่จริงแล้วหญิงสาวคนนี้ก็ดูน่ารักไม่น้อย ดูเหมือนว่าเขาควรต้องรักษาดวงตาสักหน่อยแล้ว