พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 82 งานเลี้ยงปลอบประโลม
พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 82 งานเลี้ยงปลอบประโลม
เมื่อจ้านเป่ยเซียวเห็นรอยยิ้มของเฟิ่งชิงหัว เขารู้ว่าเขาถูกนางหลอกแล้ว สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที “เอาภาพวาดคืนมาให้ข้า”
ขณะที่พูด ก็ยื่นมือออกไปเพื่อจะแย่งมา แต่เฟิ่งชิงหัวถอยหลังอย่างรวดเร็ว ถือภาพวาดไว้เหนือศีรษะ
“เมื่อพูดออกมาแล้วก็ยากที่จะคืนคำ จะทำเช่นนี้ได้อย่างไร บอกว่าจะเอากลับคืนก็เอากลับคืน”
จ้านเป่ยเซียวพูดอย่างเย็นชา “ไม่เอากลับคืนมา รอจนกว่าเจ้าจะนำวัตถุที่มีตราประทับส่วนตัวของข้าไปแลกสมบัติสิ่งธรรมดาหรือ? ข้าไม่สามารถขายหน้าเช่นนี้ได้!”
“ตกลง ตกลง ตกลง ไม่แลกแล้ว ไม่แลกแล้ว ภาพวากของท่านอ๋องควรค่าแก่การสะสม ข้าจะแขวนไว้ข้างเตียง เงยหน้าขึ้นมองทุกวัน และจดจำของขวัญภาพวาดของท่านอ๋องไว้เสมอ” เฟิ่งชิงหัวเห็นว่าหยอกเขาเล่นไม่ได้ก็รีบพูดเกลี้ยกล่อมโอ๋เขาทันที
เดิมทีนี่เป็นเพียงมาตรการชั่วคราวเพื่อรับมือกับสถานการณ์บางอย่าง คาดไม่ถึงว่าเมื่อจ้านเป่ยเซียวได้ยิน เขาก็เอามือจับชายเสื้อ ยืดตัวตรงแล้วพูดว่า “ควรเป็นเช่นนั้น ไปแขวนซะ”
เฟิ่งชิงหัวอ้าปากกล้างเล็กน้อย ดวงตาของนางเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ นางมองจ้านเป่ยเซียว “ท่านอ๋อง ท่านล้อเล่นหรือเปล่า? เป็นภาพวาดทิวทัศน์ภูเขาแม่น้ำลำธาร แขวนอยู่บนหัวเตียง” นางไม่ใช่คนหลงไหลเสียหน่อย
จ้านเป่ยเซียวพูดอย่างเย็นชา “เจ้าพูดอะไรไปเจ้าลืมไปแล้วหรือ? ไปแขวน! เจ้าต้องการให้ข้าช่วยเจ้าไหม?”
ชายหนุ่มพูดแล้วก็จะลุกขึ้นจากรถเข็น
“อย่า อย่า อย่า ข้าจะแขวนเดี๋ยวนี้ จะแขวนเดี๋ยวนี้ ขาของท่านกว่าจะรักษาไว้ได้ ข้าไม่อยากแบกท่านข้ามภูเขาอีกแล้ว” เฟิ่งชิงหัวพูดอย่างรวดเร็ว และขมวดคิ้วเมื่อเข้าใจ
นางถึงถูกคนผู้นี้ข่มขู่ทั้งอย่างนี้หรือ?
ช่างเถอะ เขามอบภาพวาดให้ทั้งที นางคิดซะว่าเป็นการรดูแลอารมณ์ของผู้ป่วยก็แล้วกัน
เฟิ่งชิงหัวก้าวไปข้างหน้าและเดินไปที่หน้าเตียง ในที่สุดนางก็ไม่สามารถผ่านการทดสอบในใจได้ นางหันศีรษะมองจ้านเป่ยเซียวที่กำลังมองนางด้วยสายตาร้อนแรง “ท่านอ๋อง แขวนอยู่บนหัวเตียงยีงต้องเอาลงมาบ่อยๆ เหตุใดจึงไม่แขวนไว้บนผนังล่ะ บนผนังเหมาะสมกว่า ท่านว่าอย่างไรเพคะ?”
จ้านเป่ยเซียวมองไปที่แผนผังห้องของเฟิ่งชิงหัว แล้วพยักหน้า “ได้”
แล้วชี้อย่างลวกๆ “แขวนตรงนั้น”
เฟิ่งชิงหัวมองไปตามจุดที่นิ้วของเขาชี้ และมุมปากของนางก็กระตุก
สายตาดีจริงๆ ห้องของนางเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส แขวนอยู่ที่นั้น ไม่เพียงแต่มองเห็นได้เมื่อเข้ามา แต่ยังมองเห็นได้เมื่อนอนบนเตียง ไม่มีจุดบอดเลยจริงๆ
เฟิ่งชิงหัวแขวนภาพวาดและรู้สึกได้ชัดว่าอุณหภูมิรอบ ๆ ห้องอุ่นขึ้น นางยิ้มแล้วหันไปมองจ้านเป่ยเซียว “มองแล้ว ทักษะการวาดภาพของท่านอ๋องนั้นน่าทึ่งมาก เรียกได้ว่าเป็นปรมาจารย์เลย”
เมื่อเผชิญกับการเอาใจและทำลายคนที่เคลือบด้วยน้ำตาลของหญิงสาวที่อยู่ข้างหน้า จ้านเป่ยเซียวพูดได่ว่าคุ้นเคยกับมันมาก สีหน้าของเขาเรียบนิ่ง แต่คำพูดที่เขาพูดนั้นดูหยิ่งผยองเล็กน้อย “ข้านี้ไม่เพียงแต่เชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้สิบแปดชนิดเท่านั้น แต่ยังรวมถึงคัมภีร์ทั้งห้าและศาสตร์ทั้งหก เพียงแค่ภาพวาดชิ้นหนึ่งเท่านั้นเอง”
หากเป็นคนอื่น เฟิ่งชิงหัวจะคิดว่าโม้โดยไม่คิด แต่คนที่พูดนี้คือจ้านเป่ยเซียว และนางเชื่ออย่างประหลาดว่าเขามีความสามารถนี้อย่างแน่นอน
นี่คือชายที่เก่งกาจ เขาเข้าใจวิถีปกคลองประเทศ และเก่งในด้านความแข็งแกร่งของผู้คนมีความสำเร็จเป็นเอกลักษณ์ของตน สำหรับเขา เป็นเรื่องธรรมดาเท่านั้น
เฟิ่งชิงหัวพยักหน้า ยืนยันคำพูดของเขา
จ้านเป่ยเซียวกระแอมเบาๆ “ข้ายังมีสิ่งสำคัญที่ต้องทำ”
ขณะที่เขาพูดนั้น เขาก็เดินออกไปได้ครึ่งทางแล้วหันมามองนาง “มีคนจากจวนเฉิงเซี่ยงมาหรือ?”
“ใช่ น้องสามของข้า ผู้ชายของนางเสียชีวิตแล้ว นางจึงมารายงานที่นี่”
“ถ้าจวนเฉิงเซี่ยงกล้ามายั่วเจ้าอีก เจ้าไม่ต้องแสดงความเมตตา คนในจวนอ๋องเฉินของข้าไม่สมควรถูกคนนอกรังแก” พูดจบเขาก็จากไปทันที
แม้ว่าชายผู้นี้จะนั่งอยู่บนรถเข็น แต่เขาก็สง่างาม เอวของเขาตั้งตรงเหมือนต้นสน ทุกย่างก้าวของเขามีท่าทางของชนชั้นสูง
แต่คำพูดประโยคนั้น ทำให้มุมปากของเฟิ่งชิงหัวกระตุกเล็กน้อย
เฟิ่งชิงหัวพักผ่อนอยู่ในจวนอ๋องอีกวัน ก็มีคำสั่งของจักรพรรดิมาจากพระราชวัง โดยกล่าวว่าเนื่องจากท่านอ๋องและพระชายาเจ็ดกลับมาอย่างปลอดภัยหลังจากเกิดภัยพิบัติ ดังนั้นจึงเตรียมงานเลี้ยงในสวนของพระราชวังเพื่อปลอบประโลมพวกเขา
หลิวหยิ่งที่อยู่ด้านข้างรับคำสั่งแทนจ้านเป่ยเซียวซึ่งไม่สะดวกรับ
เฟิ่งชิงหัวค่อยๆ ลุกขึ้นจากพื้นอย่างช้าๆ และพูดด้วยความโกรธ “ทุกวันนี้ จะไม่ให้พักผ่อนอย่างเต็มที่เลยหรือไง ต่างบอกว่าเรารอดพ้นจากความตาย ดังนั้นจึงเราจึงต้องพักผ่อนอย่างเพียงพอและใช้ชีวิตอย่างสุขสำราญไม่ใช่หรือ?”
จ้านเป่ยเซียวไม่พูดอะไร แต่หลิวหยิ่งอธิบายว่า “พระชายาอ๋อง งานเลี้ยงครั้งนี้ไม่เพียงต้อนรับเท่านั้น แต่ยังส่งผู้ส่งสารหลายคนกลับด้วย เดิมที เรื่องนี้มีองค์ราชทายาทที่เป็นผู้จัดการ แต่องค์ราชทายาททรงบาดเจ็บ ไม่สะดวก ดังนั้นจึงจัดพร้อมกัน”
เฟิ่งชิงหัวยังคงไม่พอใจเล็กน้อย นางไม่ชอบบรรยากาศในวัง โดยเฉพาะกฎที่ต้องคุกเข่าบ่อยครั้ง
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เป็นเรื่องปกติที่จะต้องไป ข้าอยากเห็นว่าองค์ราชทายาททรงปกป้องเสด็จพ่ออย่างกล้าหาญเพียงใด” จ้านเป่ยเซียวกล่าวอย่างเย็นชา
วันที่สอง ทั้งสองเข้าไปในพระราชวังแต่เช้า ระหว่างทางเดินไปยังสวนบุปผาหลวง เฟิ่งชิงหัวได้รับการทักทายจากผู้คนบ่อยครั้ง นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่ดูเหมือนว่าทั้งสองจะคุ้นเคยกันมาก
เมื่อเห็นท่าทางหดหู่ของนาง สีหน้าจ้านเป่ยเซียวไม่เปลี่ยน แต่พูดว่า “ในวังก็เป็นเช่นนี้ คนเหล่านี้จะเริ่มแสดงความกรุณาต่อเจ้าหากพวกเขาคิดว่าเจ้ามีประโยชน์ และถ้าพวกเขาคิดว่าเจ้าไร้ประโยชน์ พวกเขาจะปฏิบัติต่อเจ้าด้วยคำพูดที่ไม่ดีและการเยาะเย้ย”
“แต่ข้าจะมีประโยชน์อะไรสำหรับพวกนาง ข้าไม่รู้จักพวกนางด้วยซ้ำ” เฟิ่งชิงหัวขมวดคิ้ว
จ้านเป่ยเซียวเห็นว่านางดูฉลาด แต่ในตอนนี้นางเหมือนคนโง่เขลา เขาส่ายศีรษะอย่างจนปัญญาและอธิบายว่า “เจ้าลืมไป เจ้าเป็นพระชายาอ๋องเพียงคนเดียวที่เสด็จพ่อของข้าแต่งตั้งให้ไปสนามล่าสัตว์ เจ้าเห็นพระชายาอ๋องของท่านอ๋องผู้อื่นไปหรือไม่?”
เฟิ่งชิงหัวพลันตระหนักได้เมื่อได้ยินอย่างนี้ แต่นางก็ยังคิดไม่ออก นางแค่ถูกเรียกให้ไปเป็นเพื่อน ไม่ใช่ว่าได้รับประโยชน์มากอะไร ต้องทำถึงขนาดนี้เลยหรือ
ด้วยอย่างนี้ เฟิ่งชิงหัวเดินไปตลอดทางและได้รับการทักทายบ่อยครั้ง ใบหน้าของนางเกือบจะแข็งทื่อจากการยิ้ม ในขณะที่จ้านเป่ยเซียวกลับมีใบหน้าเป็นก้อนน้ำแข็งเสมอ
แม้ว่างานเลี้ยงจะจัดขึ้นที่สวนบุปผาหลวง แต่จริงๆ แล้วจัดที่ ตำหนักเฉาฮั๋ว ซึ่งอยู่ติดกับสวนบุปผาหลวง ความแตกต่างจาก ตำหนักฉางฮั๋วคือในตำหนักเฉาฮั๋ว จะเป็นดอกไม้สดส่วนใหญ่ที่ใช้ในการตกแต่งเพิ่มเติม ผ่อนคลายอารมณ์ได้มากกว่า
นอกห้องตำหนักใหญ่ ขันทีที่ยืนอยู่บนที่สูงกระแอมพร้อมตะโกนว่า “ฮ่องเต้มาถึง ฮองเฮาเหนียงเหนียงมาถึง ไทเฮาเหนียงเหนียงมาถึง”
ครั้งนี้ บรรดาขุนนางทุกคนลุกขึ้นยืนคำนับสถานที่สูง และกล่าวพร้อมกันว่า “ถวายบังคม ฝ่าบาท ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆปี ฮองเฮาเหนียงเหนียง ทรงพระเจริญพันปี พันปี พันพันปี ไทเฮาเหนียงเหนียง ทรงพระเจริญพันปี พันปี พันพันปี”
ครั้งนี้ยืนอยู่บนที่สูง ฟังเสียงตะโกนจากด้านล่าง เฟิ่งชิงหัวเพิ่งรู้สึกว่าพลังของฝูงชนนั้นน่าทึ่งมาก เสียงนี้ทำให้นางไม่สามารถควบคุมตนเองได้ คนขี้กลัวอาจมุดลงไปอยู่ใต้โต๊ะแล้ว
นางเพียงแค่ขยับริมฝีปาก ไม่ได้ส่งเสียงออกมา เป็นแค่การแสดงเท่านั้น แต่นางพบว่า จ้านเป่ยเซียวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ไม่แม้แต่ขยับริมฝีปาก ยืนอยู่ที่นั่นไม่ใช่เย่อหยิ่งแบบธรรมดา
เมื่อเหล่าฮ่องเต้เซวียนถ่งนั่งลง เสียงทุ้มต่ำแฝงอิทธิพลที่ไม่อาจต้านทานได้ดังขึ้น “ขุนนางทุกท่านไม่จำเป็นต้องสุภาพเกินไป วันนี้เป็นงานเลี้ยงปลอบประโลมที่จัดขึ้นเป็นพิเศษสำหรับท่านอ๋องเจ็ดและพระชายาเจ็ด ขุนนางทุกท่านดื่มเหล้าแก้วนี้พร้อมข้า ขอแสดงความยินดีกับทั้งคู่ที่กลับมาโดยสวัสดิภาพ”
ขุนนางทุกคนยกแก้วขึ้นเพื่อแสดงความเคารพกับทั้งสองคน ยกแก้วขึ้นเขย่าและดื่มให้หมดในอึกเดียว จ้านเป่ยเซียวไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยกแก้วขึ้นและดื่มทั้งหมด
หลังจากดื่มเหล้าแล้ว ทุกคนก็นั่งลง ไทเฮาบนแท่นสูงก็เริ่มพูดและชี้ไปยังเฟิ่งชิงหัว