พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 86 ใครกันที่ไม่ตรวจสอบ
พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 86 ใครกันที่ไม่ตรวจสอบ
เมื่อทุกคนมาถึงประตูท้องพระโรงก็ได้ยินเสียงครางของสตรีดังออกมาจากด้านใน ทั้งยังมีเสียงลมหายใจอันหนักหน่วงของบุรุษดังออกมาจากด้านในอีก ฮูหยินหลายคนต่างเอามือปิดหูลูกสาวของตนเอง
เมื่อไทเฮาได้ยินเสียงนั้นสีหน้าก็ดูไม่ได้ “เดรัจฉาน เดรัจฉาน! ถึงขั้นกล้าทำเรื่องราวเช่นนี้ในพระราชวังได้อย่างไร ทหาร ลากพวกเขาออกมา!”
ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นต่างเบนสายตาไปมองท่านอ๋องเจ็ด
ตอนนี้คนที่อยู่ด้านในคือพระชายาเจ็ด นั่นหมายความว่า เมื่อครู่นี้ที่ทั้งสองแสดงว่ารักใคร่กันต่อหน้าคนอื่นนั้นเป็นแค่การแสดงเท่านั้น
เรื่องที่ท่านอ๋องเจ็ดไร้มนุษยธรรมนั้นเป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอน
จ้านถิงเฟิงเปลี่ยนชุดเสร็จพักใหญ่แล้ว ตอนนี้จึงมายืนอยู่ด้านหลังของไทเฮา และรีบก้าวออกมาพร้อมกล่าวว่า “ไทเฮาได้โปรดลงโทษ เรื่องนี้อาจจะมีบางอย่างเข้าใจผิด พี่สะใภ้และท่านพี่เป็นคู่แต่งงานใหม่ ทั้งสองรักกันลึกซึ้งขนาดนี้ ไม่มีทางที่จะทำเรื่องแบบนั้นได้แน่ เรื่องนี้จะต้องมีความลับบางอย่าง”
“ความลับ? จะมีความลับอะไรได้ เห็นชัดๆ ว่าผู้หญิงคนนี้ไร้ยางอาย กล้าทำเรื่องราวเช่นนี้ในวังหลวง ทหาร ไปจับตัวคนไร้ยางอายสองคนออกมา!”
ในตอนนั้นเอง เสียงใสสะอาดของสตรีคนหนึ่งก็กล่าวขึ้นด้วยความสงสัย “ทุกคนมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ด้วยเรื่องอะไรหรือ เกิดเรื่องอะไรขึ้นเพคะ?”
เฟิ่งชิงหัวยังคงแต่งกายด้วยชุดเดิม ในมือของนางยังถือชุดคลุมของจ้านเป่ยเซียวเอาไว้ด้วย นางพูดพลางเดินมาหยุดอยู่ด้านข้างจ้านเป่ยเซียวพลางเอาเสื้อคลุมให้เขาด้วยท่าทางอ่อนโยนอย่างมาก
เฟิ่งชิงหัวอาศัยจังหวะที่ไม่มีใครสังเกตหันไปกะพริบตาให้จ้านเป่ยเซียว
สีหน้าของไทเฮาหมองคล้ำจนน่าตกใจ “มีคนเห็นเจ้าเดินโอบกอดกับบุรุษเข้าไปในตำหนัก เจ้ามีอะไรจะอธิบายหรือไม่”
เมื่อได้ยินดังนั้น เฟิ่งชิงหัวก็กล่าวกับไทเฮาด้วยสีหน้าน่าสงสาร “เหตุใดเสด็จย่าถึงใส่ร้ายหม่อมฉันแบบนี้ล่ะเพคะ ข้าก็แค่ไปเปลี่ยนชุดข้างหลัง และมีเพียงข้าคนเดียวเท่านั้น เรื่องนี้มีใครบงการอยู่เบื้องหลังหรือไม่นั้น หม่อมฉันจะต้องทวงความยุติธรรมให้ตนเอง”
เมื่อกล่าวเช่นนี้ สายตาอันคมปลาบก็ตกไปอยู่ที่นางในที่ยืนอยู่แถวด้านหลังและตั้งท่าจะแอบย่องหนีไป
นางในคนนั้นคิดไม่ถึงว่า ทั้งๆ ที่นางเห็นด้วยตาของตนเองว่าพระชายาเจ็ดเข้าไปด้านใน เหตุใดตอนนี้นางถึงปรากฏตัวอยู่ด้านนอกได้
ทว่าเฟิ่งชิงหัวยังไม่ทันจะกล่าวอะไร จ้านเป่ยเซียวที่เงียบไม่ปริปากมาโดยตลอดก็กล่าวเสียงแข็งออกมาว่า “ทหาร เอาตัวออกไปควักลูกตาทั้งสองข้าง และตัดแขนขาเอาไปทำเป็นปุ๋ยที่สวนบุปผาหลวง ในเมื่อตามองเห็นไม่ชัด เช่นนั้นก็อย่าใช้อีกต่อไปเลย”
ทุกคนในที่นั้นสีหน้าซีดเผือดและก้มหน้างุดลงโดยสัญชาตญาณ เพราะไม่กล้าสบตากับเขา
ในตอนนั้นเอง ทหารที่เข้าไปด้านในก็ลากคนทั้งสองออกมา แม้ว่าจะยังสวมใส่เสื้อผ้าอยู่แต่ก็ปกปิดความโป๊เปลือยไม่มิด
เมื่อเผชิญหน้ากับเหตุกาณ์เช่นนี้ สายตาของทุกคนก็ไปตกอยู่ที่คนทั้งคู่ ตอนที่ทุกคนเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นคือองค์หญิงเหออาน ทุกคนก็อดไม่ได้ที่สูดหายใจเข้าไปลึกๆ
และเมื่อหันไปมองผู้ชาย ก็เห็นว่าเป็นผู้ส่งสารแห่งฉีเซี่ย!
ในตอนนั้นเอง ทุกคนต่างรู้สึกเสียใจที่มาที่นี่เพื่อหาละครสนุกๆ ดู ความสนุกของราชวงศ์ ไม่ได้สนุกมากถึงขนาดนั้น
เมื่อขายหน้าต่อหน้าเหล่าขุนนางอย่างมากขนาดนี้ สีหน้าของฮ่องเต้ในตอนนี้จึงแทบดูไม่ได้ จึงชี้ไปที่องค์หญิงเหออาน “เดรัจฉาน เจ้าทำอะไรลงไป!”
ตอนนี้องค์หญิงเหออานตื่นขึ้นมาแล้ว เมื่อนึกได้ว่าตนเองถูกองครักษ์เห็นในสภาพเสื้อผ้าหลุดรุ่ย น้ำตาของนางจึงเอ่อล้นออกมา “หม่อมฉันไม่ทราบ หม่อมฉันไม่ทราบเพคะ หม่อมฉันถูกคนตีจนสลบไปด้านหลัง พอตื่นขึ้นมาก็มีสภาพเช่นนี้แล้ว”
องค์หญิงเหออานกล่าวพลางเงยหน้าขึ้นมา เมื่อเห็นคนคนหนึ่งท่ามกลางฝูงชน อารมณ์ก็พลุ่งพล่านขึ้นมา “เพราะเจ้า เจ้าทำร้ายข้า!”
เฟิ่งชิงหัวได้ยินดังนั้นก็ถอยหลังไปหนึ่งก้าว แล้วไปแอบอยู่ด้านหลังจ้านเป่ยเซียวอย่างหวาดกลัว “องค์หญิงเหออานสติพร่าเลือนไปแล้วหรือไม่ ข้าจะทำร้ายท่านได้อย่างไร ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าท่านอยู่ในนี้ด้วย”
“เพราะเจ้า เป็นเพราะเจ้า! คนที่ควรอยู่ด้านในต้องเป็นเจ้า แล้วสุดท้ายจะกลายมาเป็นข้าได้อย่างไร จะต้องเป็นเจ้าแน่ๆ ที่ใส่ร้ายข้า เจ้าตีข้าจนสลบ!” องค์หญิงเหออานแผดเสียงลั่น
สีหน้าของเฟิ่งชิงหัวตกตะลึง “องค์หญิงพูดอะไรน่ะเพคะ คนที่อยู่ข้างในควรเป็นข้าหมายความว่าอย่างไร ข้าไม่รู้จักเขาเลยสักนิด ท่านจะสาดน้ำสกปรกใส่ข้าแบบนี้ไม่ได้นะเพคะ หากท่านอ๋องเชื่อเรื่องนี้ขึ้นมาจริงๆ ท่านอยากให้ข้าโดนปลดหรอกหรือ พอพฤติกรรมไม่เหมาะสมโดนเปิดโปงแล้วจะมาใส่ร้ายข้าไม่ได้นะเพคะ”
เฟิ่งชิงหัวพูดไปเรื่อยๆ ก็เอามือกุมหน้าแล้วร้องไห้ ทุกคนต่างเห็นนางมีน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและโกรธ
ในขณะที่ในใจของทุกคนมีแต่ความสงสัยอยู่นั้นเอง
คนที่ค่อนข้างใสซื่อจึงเชื่อคำพูดของเฟิ่งชิงหัว และเชื่อว่าองค์หญิงเหออานโกรธที่คนอื่นจับได้จึงพยายามโยนความผิดให้คนอื่นเพื่อให้ตนเองพ้นผิด
ดูสิ พระชายาเจ็ดร้องไห้น่าสงสารเสียขนาดนั้น
ใครไม่รู้บ้างว่าท่านอ๋องเจ็ดเป็นคนที่มีนิสัยแปลกประหลาด ใครก็ตามที่มีพฤติกรรมน่าสงสัยต่อพระชายา สถานเบาก็คือได้รับการทรมาน สถานหนักก็คืออาจจะไม่สามารถรักษาชีวิตของตนเองเอาไว้ได้
เรื่องนี้เกิดขึ้นกับองค์หญิงเหออานที่ชอบวางโตก็ว่าแย่แล้ว ตอนนี้ยังจะมาโยนความผิดให้คนอื่นอีก ช่างเป็นเรื่องที่เกินไปจริงๆ
ส่วนคนที่หัวไวหน่อยก็พอเข้าใจสถานการณ์บ้าง เหตุใดองค์หญิงเหออานถึงแน่ใจขนาดว่าพระยาชาอ๋องเจ็ดอยู่ด้านใน ถ้าไม่ได้เป็นเพราะว่านางรู้อะไรบางอย่าง บางทีตอนแรกนางอาจจะเป็นคนที่วางแผนเหตุการณ์เอง แต่สุดท้ายทำไมผลกรรมถึงตามสนองได้ ในราชวงศ์มีใครกันบ้างที่รับมือกันได้ง่ายๆ
แต่คนหัวไวพวกนี้จะกล่าวออกมาได้อย่างไร เรื่องนี้เกี่ยวพันกับราชวงศ์และยังเกิดขึ้นกับองค์หญิงที่ฝ่าบาทโปรดปราณมากที่สุด จึงได้แต่ต้องเงียบปากเอาไว้
เมื่อองค์หญิงเหออานได้ยินเฟิ่งชิงหัวพูดไปสะอึกสะอื้นไปเช่นนี้ก็ยิ่งรู้สึกหมั่นไส้ ตัวนางเองก็อับอาย นางก็อยากร้องไห้เหมือนกัน จู่ๆ ตนเองกลายเป็นแบบนี้ นางจึงเบนสายตาไปที่ชายที่ไม่ยอมเอ่ยปากอะไรเลยมาตั้งแต่ต้น
นางมองชายที่นั่งคุกเข่าอยู่ด้านข้างตนเอง ชุดขาวที่เขาสวมใส่อยู่นั้นค่อนข้างจะยุ่งเหยิง แต่ตัวเขากลับสงบนิ่งไร้ซึ่งอารมณ์ใดปรากฏ ดวงตาและคิ้วของเขาทำให้เขาดูสูงส่งอย่างยิ่ง
อารมณ์ขององค์หญิงเหออานเริ่มสงบลงบ้าง โชคดีที่ตนเองไปหาผู้ส่งสารฉีเซี่ย หน้าตาของเขานับว่าใช้ได้ หากเปลี่ยนเป็นคนอ้วนหัวล้านขึ้นมา นางคงเอาหัวโขกพื้นตายเสียเดี๋ยวนี้
ตอนนี้ฮ่องเต้เซวียนถ่งก็เริ่มนึกออกแล้วว่า จะช่วยลูกสาวของตัวเองได้หรือไม่นั้นก็ต้องให้ผู้ชายคนนี้ช่วยแล้ว จึงกล่าวเสียงเข้มว่า “ผู้ส่งสารฉีเซี่ย เรื่องนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!”
เมื่อเยลู่ฉู่เห็นว่ามีคนถามเขาก็รีบคุกเข่าลงแล้วอธิบายว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น ตอนแรกกระหม่อมอยู่ในสวนดอกไม้ ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นทำให้กระหม่อมสลบไป พอฟื้นขึ้นมาก็มีสภาพเช่นนี้แล้ว ฝ่าบาทได้โปรดตรวจสอบ! กระหม่อมถูกใส่ร้ายพะย่ะค่ะ!”
เมื่อได้ยินเยลู่ฉู่กล่าวเช่นนี้ สายตาของฝูงชนก็หันไปจ้องมองที่องค์หญิงเหออาน เมื่อเห็นว่าองค์หญิงเหออานคล้ายเกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้นกับชายผู้นี้ จึงแกล้งแสดงละครเช่นนี้ออกมา
ฮ่องเต้เซวียนถ่งสีหน้ามืดคล้ำ ก่อนจะกล่าวอย่างวางอำนาจว่า “ความจริงเป็นอย่างไร ข้าจะตรวจสอบด้วยตนเอง แต่ในเมื่อเจ้ามีความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยากับลูกสาวของข้าแล้ว เช่นนั้นข้าจะพระราชทานงานอภิเษกสมรสให้กับพวกเจ้าทั้งสองและเลือกวันพิธีให้!”
องค์หญิงเหออานไม่มีความเห็นสำหรับคำสั่งนี้ ตอนแรกใบหน้าของนางที่ซีดขาวเริ่มเปลี่ยนมามีสีสันของความเขินอาย นางหันไปมองชายที่อยู่ด้านข้างเพื่อเฝ้ารอให้เขาคารวะฮ่องเต้อย่างปลาบปลื้ม
ทว่าในวินาทีถัดมา ชายคนนั้นกลับโขกหัวอย่างแรงลงกับพื้น จากนั้นจึงกล่าวว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมไม่อาจยอมรับได้พะย่ะค่ะ!”
“อะไรนะ! เจ้าทำแบบนี้กับองค์หญิงของข้าแล้วยังจะไม่ยอมรับอีกรึ ให้เจ้าเป็นราชบุตรเขยก็นับว่าเห็นแก่ผู้ส่งสารฉีเซี่ย แล้ว เจ้ายังกล้าปฏิเสธอีก ข้าสามารถส่งเจ้าไปประหารได้เดี๋ยวนี้!” ไทเฮาที่เริ่มตั้งสติได้แล้วตวาดลั่น
เยลู่ฉู่กล่าวอย่างไม่ร้อนลน “กระหม่อมไม่ได้ล่วงเกินองค์หญิง เสื้อผ้าขององค์หญิงไม่ได้เป็นฝีมือของข้า แม้ว่าข้าจะโดนวางยา แต่ข้าก็รักษาตัวเอาไว้ได้ จึงไม่ได้แตะต้ององค์หญิงแต่อย่างไร”
ระหว่างที่กล่าว ชายคนนั้นก็เปิดแขนเสื้อของตัวเองออก จึงปรากฏรอยกากบาทสีเลือดอยู่บนแขนของเขา แค่ดูก็รู้แล้วว่าโดนมีดกรีดและมีเลือดไหลออกมาค่อนข้างมาก
“แม้ว่าเจ้าจะไม่ได้แตะต้อง แต่เจ้าก็นอนร่วมห้องกับองค์หญิงแล้ว หากเจ้าไม่แต่งงานกับนาง เจ้าจะไม่ไว้หน้าโอรสสวรรค์บ้างเลยหรือ!” ไทเฮากล่าวกดดัน
เยลู่ฉู่กล่าวว่า “ไทเฮาและฝ่าบาท ได้โปรดตรวจสอบผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ให้แน่ชัดด้วยเถิด คืนความบริสุทธิ์ให้กับกระหม่อม ในใจของกระหม่อมมีคนรักอยู่แล้ว วันนี้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น กระหม่อมไม่รู้จะเอาหน้าที่ไหนไปพบหน้านาง หากฝ่าบาทและไทเฮาบังคับให้กระหม่อมแต่งงาน กระหม่อมก็จะฆ่าตัวตายเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจ”
คำพูดของชายผู้นี้แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ต้องการแต่งงานกับองค์หญิง
เมื่อองค์หญิงเหออานได้ยินสีหน้าก็เปลี่ยนไป “อย่างนั้นข้าจะประหารเจ้าเอง!”
กล่าวจบนางก็ลุกขึ้นยืนแล้วแย่งกระบี่จากองครักษ์วิ่งเข้าไปหาเยลู่ฉู่ แต่ยังไม่ทันจะได้ลงมือ ฮ่องเต้เซวียนถ่งก็ส่งคนเข้าไปขวางเอาไว้ได้ก่อน องค์หญิงเหออานจึงพยายามขัดขืน “เสด็จพ่อ!”
“แค่นี้ยังไม่ขายหน้าพออีกหรือ! เรื่องนี้วันนี้เอาไว้แค่นี้ สืบหาคนผิดให้ได้ ข้าจะประหารหมื่นมีดพันแล่ และเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ ห้ามเอาไปพูดต่อ หากข้ารู้ว่าใครแอบนินทาลับหลัง ข้าจะประหารมันเก้าชั่วโคตร!” ฮ่องเต้เซวียนถ่งกล่าวจบก็เดินจากไปอย่างเดือดดาล