พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 89 จับตัวเหลียนเจี้ยง
พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 89 จับตัวเหลียนเจี้ยง
“ไม่เป็นไร หากเขามีพรสวรรค์จริงๆ ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร” เฟิ่งชิงหัวเงยหน้าไปมองอีกด้านหนึ่ง “รอให้กลับมาแล้วค่อยว่ากัน”
เฟิ่งชิงหัวเข้าไปในโรงยาโดยมีอู๋ตู่จื่อเดินตามมา ตอนแรกตั้งใจจะพูดบางอย่างแต่ก็ได้แต่กลืนคำพูดลงไป และเป็นผู้ช่วยให้เจ้านายไปเงียบๆ
ตอนค่ำ ด้านนอกประตูจวนเจ้าผู้อารักขา เฟิ่งชิงหัวและอู่ตู๋จื่อแอบไปซุ่มอยู่ในที่ลับแห่งหนึ่ง เมื่อเห็นโคมลอยทั้งสามดวงลอยขึ้น สีหน้าของพวกเขาก็เคร่งขรึมขึ้นมา
ไม่นานนัก เงาร่างดำก็โฉบผ่านกลางท้องฟ้า และล่วงลงมาอยู่บนจวนเจ้าผู้อารักขาอย่างแผ่วเบาไร้ซุ่มเสียง
“ลงมือ!” เฟิ่งชิงหัวกล่าวเสียงกร้าว เงาร่างดำทั้งสี่ทิศพุ่งทะยานเข้ามาห้อมล้อมคนผู้นั้นเอาไว้
ในมือของทุกคนถือตาข่ายผืนใหญ่เอาไว้ ตั้งใจจะใช้จับเป็นคนผู้นี้
เงาดำบินทะยานไปทั่วฟ้าแล้วกระโดดขึ้นไปอยู่เหนือคนผู้นั้น กระบี่ที่อยู่ในมือของเขาพุ่งทะยาน เมื่อปะทะเข้ากับตาข่ายก็เกิดเปลวไฟจากการกระทบกัน แต่ไม่สามารถทำให้ตาข่ายขาดได้
เมื่อเฟิ่งชิงหัวเห็นเช่นนี้ก็รีบเอ่ยว่า “เอาตาข่ายพื้นขึ้น!”
มีเงาดำอีกแปดนายยกตาข่ายจากพื้นขึ้นไปคลุมร่างของคนผู้นั้นเอาไว้ และขังเขาไว้ตรงกลาง ตาข่ายฟ้าและตาข่ายดินสอดประสานเข้าด้วยกัน มัดคนผู้นั้นเข้ามาอยู่ตรงหน้าเฟิ่งชิงหัว
ในตาข่ายมีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ คนผู้นั้นสวมใส่ชุดสีดำและหน้ากากรูปสัตว์ร้าย รอบกายของเขามีรังสีความพิศวงออกมาทั่ว ผมที่สยายอยู่ด้านหลังเป็นสีเงิน และเนื่องจากเขานั่งอยู่ผมของเขาจึงละพื้น ตัดกับตาข่ายสีดำกลายเป็นคู่สีตรงข้าม
เฟิ่งชิงหัวเดินเข้ามาใกล้ สีหน้าของเขาเย็นชา “เหลียนเจี้ยง ยังไม่ยอมมอบตัวอีกหรือ!”
“ที่แท้ก็คือชิงหัวนี่เอง มิน่าเล่าทหารเลวพวกนี้ถึงได้กล้ามาจับข้า” ชายผู้นั้นยิ้มแล้วกล่าวอย่างอ่อนโยน ราวกับไม่สนใจว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางการผูกมัด
อู่ตู๋จื่อกล่าวเสียงแข็ง “เจ้าทำร้ายพวกเดียวกัน ทรยศอาจารย์และบรรพบุรุษ สมควรแล้วที่โดนลงโทษ ยังไม่ยอมมอบตัวอีกรึ!”
“ใช้แค่ตาข่ายพังๆ แค่นี้น่ะหรือ” ชายผู้นั้นยิ้ม เสียงที่กล่าวผ่านหน้ากากออกมาสดใสและน่าฟัง ใครจะคิดว่าชายที่สง่างามเช่นนี้จะทำเรื่องบ้าระห่ำอย่างนั้นได้
การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นภายในชั่วพริบตา ชายที่นั่งอยู่ในตาข่ายหยิบของสีเงินสองชิ้นออกมาจากอก เป็นถุงมือไหมทอที่ฟันไม่เข้าและพิษไม่อาจซึมผ่านเข้าไปได้
เมื่อเฟิ่งชิงหัวเห็นเช่นนั้นสีหน้าของนางก็เครียดขึ้น นางดึงกระบี่ออกมาแล้ววิ่งเข้าหาชายผู้นั้น แต่ชายผู้นั้นเพียงใช้ถุงมือจับปลายกระบี่ของเฟิ่งชิงหัวเอาไว้ ขยับเล็กน้อย กระบี่ยาวก็ส่งเสียงหักดังเคร้ง
วินาทีถัดมา ชายผู้นั้นก็ใช้มือทั้งสองจับตาข่ายฟ้าเอาไว้แล้วหมุนตัวอย่างรวดเร็ว และสะบัดเงาดำที่จับตาข่ายฟ้ากระเด็นออกไปและใช้โอกาสนี้สะบัดตัวออกมา
“ชิงหัว หากข้าไม่มีที่พึ่งพาอื่น ข้าจะกล้าหักหลังอาจารย์ได้อย่างไร เจ้าดูถูกข้าเกินไปแล้ว” ชายผู้นั้นหัวเราะเบาๆ
เฟิ่งชิงหัวกดข้อมือเอาไว้ เข็มเล็กจำนวนหลายร้อยอันพุ่งทะยานเข้าหาชายคนนั้นอย่างรวดเร็ว
“ร้อยเข็มพายุสาลี่?” ชายผู้นั้นเลิกคิ้ว “ได้ยินมาว่ายังเป็นแค่ชิ้นทดลองอยู่ไม่ใช่หรือ คิดไม่ถึงเลยว่าจะทำออกมาเป็นงานจริงแล้ว ไม่เสียแรงที่ชิงหัวเป็นศิษย์คนโปรดในสำนัก”
เหลียนเจี้ยงกล่าวพลางดูดซับเข็มพวกนั้นจนหมด ภายในชั่วพริบตาเข็มพวกนั้นก็ได้กลายเป็นขยะกองอยู่บนพื้น
“ได้ยินมาว่าถุงมือไหมทอเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่เจ้าภูมิใจ ร้อยเข็มพายุสาลี่เจ้าก็เป็นคนลงมือทำเช่นกัน ข้าอยากจะจับตัวเจ้าไปลองศึกษาดูยิ่งนัก”
“เหลวไหล ปัญญาอ่อน” เฟิ่งชิงหัวกล่าว พลางเหาะขึ้นไปด้านบนและเริ่มต่อสู้กับเข้าทันที
วรยุทธ์ของทั้งสองต่างกันไม่มากนัก ปะทะกันอยู่พักใหญ่ก็ยังดูไม่ออกว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะ
เมื่อเห็นจันทร์กระจ่างกลางท้องฟ้า แสงจันทร์สาดส่องสู่พื้นดินฉาบลงที่กายของคนทั้งสอง
เฟิ่งชิงหัวยิ้มเย็น “เจ้่าคิดว่า ข้าจะโจมตีโดนไม่เตรียมตัวอะไรเลยงั้นหรือ ทั้งหมดนั้นก็แค่เอาไว้ถ่วงเวลาเท่านั้นเอง”
ระหว่างที่กล่าวเฟิ่งชิงหัวก็ถอยหลังไปสองสามก้าว ปากของนางสั่น เสียงที่เล็ดลอดออกมาเป็นโน้ตดนตรีอันซับซ้อน โน้ตดนตรีนั้นไม่ได้ส่งผลอะไรต่อคนรอบด้าน แต่ส่งผลต่อเหลียนเจี้ยงคนเดียว
เมื่อได้ยินโน้ตดนตรีตัวแรกก็รู้สึกเจ็บหน้าอกขึ้นมา จึงหันไปมองเฟิ่งชิงหัวอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา “นี่เจ้าถึงกับ……”
เฟิ่งชิงหัวไม่สนใจเขาและสวดพึมพำต่อไป ถึงแม้ว่าเสียงจะเบาจนไม่มีใครได้ยิน แต่เสียงที่เข้าไปในหูของเหลียนเจี้ยงกลับดังสนั่น ร่างของเขาเริ่มเจ็บปวดรวดร้าวและล้มลงไปนั่งบนพื้น เหงื่อเย็นๆ ซึมออกมาทั่วร่าง
ตอนนี้เฟิ่งชิงหัวหยุดชะงัก สายตาของนางจ้องเขม็งไปที่เหลียนเจี้ยง แม้เขาจะนั่งคุกเข่าบนพื้นและห่างจากนางเพียงไม่กี่ก้าว แต่กลับไม่แสดงท่าทางทุรนทุราย เขายังคงหลังตรงสง่าและมาดร้าย
ภายใต้หน้ากากสัตว์ร้าย แววตาเย็นยะเยือกคู่นั้นของเขา จ้องไปที่นางอย่างอาฆาต
“ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะฝึกวิชามารจริงๆ! เหลียนเจี้ยง เจ้ามันบ้าไปแล้ว!” เฟิ่งชิงหัวตวาดอย่างเดือดดาล
เคล็ดวิชาของสำนักมีหลายพันหลายหมื่น แต่เหลียนเจี้ยงกลับเลือกวรยุทธ์ของสำนักมาร โจมตีร้อยคนแต่ทำร้ายเป็นพัน
หากเป็นสถานการณ์ปกติคงไม่มีทางชนะ เฟิ่งชิงหัวก็ยอมรับว่าตนเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ยกเว้นในกรณีของคืนวันเพ็ญเพียงอย่างเดียว ภายใต้แสงจันทร์สาดส่อง โลหิตทั่วกายของนางจะค่อยๆ ผลึกตัวเข้าด้วยกัน บวกกับการที่นางท่องคาถาสาบแช่ง จะทำให้เขาทรมานเหมือนตาย
“วิชามาร? เหอะๆ จะสู้มารตัวจริงได้อย่างไร เฟิ่งชิงหัว เจ้าช่วยคนชั่วทำชั่ว เจ้าไม่มีทางตายดี!” เหลียนเจี้ยงบ่นอย่างเจ็บปวด และตั้งท่าจะลุกขึ้น แต่กลับไร้ซึ่งเรี่ยวแรง
เฟิ่งชิงหัวหัวเราะเบาๆ “คนต้มตุ๋น วันนี้ข้าจะดูสิว่า คนที่ฆ่าอาจารย์และพี่น้องสำนักเดียวกันจะมีหน้าตาอัปลักษณ์ได้ขนาดไหน!”
เหลียนเจี้ยงจ้องเขม็งไปที่เฟิ่งชิงหัว ดวงตาของเขาแดงเลือด
ในตอนนั้นเอง ปรากฏกลีบดอกไม้สีเลือดปลิวว่อนไปทั่วร่าง สถานการณ์ไม่ต่างอะไรกับคืนวันแหกคุกวันนั้นเลย
“ป้องกัน!” เฟิ่งชิงหัวแผดเสียง
คนหลายสิบคนปรากฏกายขึ้น และเริ่มเข้ามาต่อสู้กับเงาดำ และยังต้องคอยหลบกลีบดอกไม้พวกนั้น ทำให้เป็นการต่อสู้ที่กินแรงมาก เหลียนเจี้ยงจึงถือโอกาสหลบหนีไปโดยการช่วยเหลือของคนพวกนั้น
คนพวกนั้นไม่ชอบการต่อสู้เท่าไหร่นัก เมื่อเห็นว่าเขาหลบหนีไปได้อย่างปลอดภัยแล้วก็ต่อสู้พลางล่าถอยไปจนถึงด้านนอกประตูเมือง
ในพระนคร องครักษ์ลาดตระเวณอยู่เป็นจำนวนมาก เมื่อเห็นว่าเกิดเหตุการณ์ไม่ปกติก็รีบไล่ตามไป เฟิ่งชิงหัวจึงสั่งให้พวกเขาล่าถอย
เฟิ่งชิงหัวและอู่ตู๋จื่อกลับไปยังที่หลบซ่อน สีหน้าของทั้งสองไม่สู้ดีนัก วันนี้เหลียนเจี้ยงหนีไปได้ หากคิดจะตามหาเขาให้เจออีกครั้ง ขึ้นสวรรค์ยังเป็นเรื่องที่ง่ายกว่า
เฟิ่งชิงหัวคิดไว้ร้ายแรงยิ่งกว่านั้น คนที่ช่วยเหลียนเจี้ยงไปมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับมือสังหารในวังของซุนผิน ดูท่าแล้วคงจะต้องตามสืบไปทางซุนผินเพื่อหาเบาะแสของกลุ่มนั้น
“ช่วงนี้ในเมืองหลวงกำลังจะมีข่าวร้าย ให้เงาดำซ่อนตัวไว้ให้ดี อย่าให้โดนจับตัวไปสอบสวนได้ เรื่องที่เหลือข้าจะไปจัดการเอง เจ้าห้ามประมาทอย่างเด็ดขาด” เฟิ่งชิงหัวกล่าวกำชับ
“ขอรับ อาจารย์ย่า”
“ยังมีอีกเรื่อง อีกไม่นานนักจะมีคนมาหาเจ้าเพื่อขอให้เจ้าช่วยรักษาแผลบนใบหน้า เจ้าตั้งใจรักษาให้ดี แต่อย่ารักษาให้หาย”
อู่ตู๋จื่อขมวดคิ้ว รักษาให้ดี แต่อย่ารักษาให้หาย แล้วจะให้รักษาอย่างไร?
“อาจารย์ย่า ช่วยอธิบายได้หรือไม่?”
“บาดแผลบนใบหน้าของนางเป็นฝีมือของข้าเอง ข้าอยากรู้ข้อมูลบางอย่างจากนาง ดังนั้นเจ้าต้องใช้ยาเพื่อเลี้ยงไข้ของเขาเอาไว้ รอให้ข้าจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วแล้วค่อยว่ากัน”
“เข้าใจแล้ว ท่านโปรดวางใจ ข้าจะต้องดึงตัวนางเอาไว้โดยนางไม่รู้ตัว ต้องการให้นางทรมานด้วยหรือไม่ขอรับ” อู่ตู๋จื่อกล่าวอย่างเอาใจ คนที่ทำร้ายอาจารย์ย่าได้ ถือเป็นการท้าทายตระกูลของนาง ดังนั้นทรมานนางนิดหน่อยก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว
“ได้”