พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 91 ที่หนึ่งเรื่องการให้ร้ายผู้อื่น
วินาทีที่จ้านเป่ยเซียวหันหน้าไปมองทางด้านโต๊ะหนังสือ ทันใดนั้นก็แจ่มแจ้งขึ้นมา และเห็นภาพจินตนาการที่ค่อนข้างทำให้คนน่าปวดหัวขึ้นมาฉากหนึ่ง
คิดไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนั้นจะเอนเงยหน้านอนอยู่บนเก้าอี้ไปแล้ว ด้านข้างก็มีกระดาษม้วนวางซ้อนๆ กันไว้อย่างเป็นระเบียบอยู่
จ้านเป่ยเซียวลุกขึ้นด้วยการเคลื่อนตัวเบาๆ หยิบเอากระดาษปึกหนึ่งขึ้นมา บนนั้นเขียนไว้อยู่สองพยางค์ว่ากฎตระกูลไว้ด้วยตัวหนังสือที่เป็นระเบียบเรียบร้อย
และในตอนที่กำลังจะพลิกเปิดหน้าถัดไปนั้น มุมปากที่สง่างามก็ค่อยๆ ยกขึ้น สีหน้าหนักใจราวกับก้นหม้อ
เห็นแต่เพียงด้านบนของกระดาษแต่ละแผ่นเขียนไว้เพียงอักษรตัวใหญ่สองพยางค์ว่า กฎตระกูล
เขยิบเข้าไปด้านหน้า ฝ่ายหญิงก็ยังเงยหน้านอนอยู่ ขนคิ้วค่อยๆ เลิกขึ้น เส้นผมสีดำแผ่กระจายอยู่ที่ด้านหลังรกรุงรังไปหมด ยิ่งทำให้เห็นได้ชัดว่าร่างผอมบางมากขึ้น
มือที่อยู่ในแขนเสื้อบีบเอาไว้แน่นอย่างไม่รู้ตัว นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของจ้านเป่ยเซียวที่มีความรู้สึกว่าหนึ่งหมัดซัดอยู่บนนุ่น
วินาทีต่อมา จ้านเป่ยเซียวเตะเก้าอี้ไปครู่หนึ่งเพื่อเรียกเฟิ่งชิงหัวให้รู้สึกตัว
เบิกตากว้างขึ้น ทั้งสองคนสบตากันอยู่นานก็ไร้ซึ่งคำพูดใด
สุดท้าย ก็เป็นเฟิ่งชิงหัวที่เป็นฝ่ายอดรนทนไม่ไหวก่อน แล้วก็นวดดวงตาอยู่ครู่หนึ่ง: “ท่านอ๋อง อรุณสวัสดิ์”
รูปร่างสูงยาวของฝ่ายชายค่อยๆ โน้มเอวโค้งลงเล็กน้อย และชี้ไปยังกฎตระกูลที่อยู่บนมือเป็นปึก จากนั้นสายตาก็เย็นชาขึ้นมา: “ข้าเรียกให้เจ้าคัดกฎของตระกูล แล้วนี่คืออะไร”
“กฎตระกูลไง” เฟิ่งชิงหัวจนปัญญา
ท่าทางของฝ่ายหญิงดูน่ารักไร้เดียงสา เผยให้เห็นเป็นท่าทางที่มีเสน่ห์อย่างเกียจคร้านที่เพิ่งจะตื่นนอนออกมา
จ้านเป่ยเซียวกล่าวด้วยท่าทีเย็นชา: “จะว่าไปแล้วกฎตระกูลร้อยจบสำหรับเจ้าแล้วมันน่าจะเบาไปแล้ว ข้าว่าต้องให้เจ้าทำอะไรที่ออกแรงหน่อยแล้วล่ะ”
“ฮะ!” เฟิ่งชิงหัวตกใจจนเด้งตัวขึ้นมา เกือบจะหลุดปากออกมาว่า “เจ้ามันเป็นบ้าอะไรไปอีกเนี่ย!”
แต่พอหวนคิดอีกทีว่าผู้ชายคนนี้เมื่อยั่วให้เขารำคาญแล้วไม่แน่ว่าเขาก็จะให้นางไปทำเรื่องอะไรที่นางไม่มีทางจะทำได้ก็เป็นได้
อธิบายเหตุผลกับเขายังไงก็ไม่สำเร็จ
ในเมื่ออธิบายไม่ได้ งั้นก็มีเพียงหารหนีเอาตัวรอดที่เป็นกลยุทธ์ที่เยี่ยมยอดสุดในบรรดา 36 กลยุทธ์แล้ว
ในขณะที่คิดอยู่นั้นเฟิ่งชิงหัวก็อุ้มเอากฎตระกูลที่อยู่บนโต๊ะทั้งหมดขึ้นมา แล้วก็หันหลังหนีไปเลย ทิ้งไว้เพียงคำพูดหนึ่งประโยคเท่านั้น: “ข้าเอากลับไปค่อยๆ คัด”
มองดูตรงหน้าที่ว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย ในที่สุดมุมปากของจ้านเป่ยเซียวก็อดที่จะเผยให้เห็นรอยยิ้มออกมาจางๆ ไม่ได้
หลังเวลาเที่ยง ในสวนดอกไม้ที่อยู่เรือนหลังจวนอ๋องก็มีเสียงถอดถอนใจดังออกมาเป็นระยะๆ
“เฮ้อ”
“เฮ้อ”
“เฮ้อ”
มือข้างหนึ่งของเฟิ่งชิงหัวหมุนพู่กันอยู่ ทั้งบนมือและบนใบหน้าไม่รู้ว่าเลอะน้ำหมึกไปตั้งแต่เมื่อไร แล้วก็ถอดถอนใจยาวบ้างสั้นบ้างไปยังกระดาษที่กองอยู่เป็นปึกบนโต๊ะ
นี่มันก็ผ่านไปทั้งเช้าแล้ว แม้แต่สักจบหนึ่งนางก็ยังคัดไม่เสร็จเลย จ้านเป่ยเซียวผู้นี้ต้องจงใจกลั่นแกล้งนางอยู่แล้ว ดังนั้นก็เลยทำกฎตระกูลอะไรออกมาเยอะเช่นนี้ และนางก็รู้สึกว่ากฎตระกูลนี้ราวกับว่าเขียนให้นางเอาไว้ดูคนเดียวอยู่แล้ว!
หลังฟ้ามืดแล้วอะไรกันไม่ให้ออกจากจวน ห้ามไม่ให้ใช้วิชาตัวเบาในจวนอ๋อง ห้ามไม่ให้ต่อปากต่อคำกับท่านอ๋อง ห้ามไม่ให้……
ดูยังไงก็เป็นเงื่อนไขของคนวางอำนาจบาตรใหญ่ หากจะต้องปฏิบัติตามกฎตระกูลที่อยู่บนนี้จริงๆ แค่กลัวว่าทั้งเนื้อทั้งตัวของนางจะไม่มีเนื้อชิ้นดีเลย
ในขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงกลุ่มคนดังมาจากที่ไม่ไกลมากนัก
เฟิ่งชิงหัวหันศีรษะไปด้วยความสงสัย ก็เห็นองค์หญิงเหออานนำพานางในและขันทีกลุ่มหนึ่งเดินมาทางด้านนี้อย่างสง่าผ่าเผย
หลิวหยิ่งกำลังเตรียมตัวเข้ามายับยั้งไว้
เฟิ่งชิงหัวเมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ในใจก็ปรากฏเป็นแผนการชั่วร้ายทันที แล้วรีบออกปากตะโกนบอกกับหลิวหยิ่งว่า: “หลิวหยิ่ง ชงน้ำชามาถ้วยหนึ่งให้ข้า แล้วก็ขนมด้วย!”
หลิวหยิ่งได้ยินคำพูดของนายหญิงของตนก็ได้เพียงรับคำ และเวลาเพียงไม่นานนักองค์หญิงเหออานก็ได้พบเจอกับนางแล้ว
ความสัมพันธ์ขององค์หญิงเหออานและท่านอ๋องเจ็ดนั้นนับว่าไม่เลว ดังนั้นคนในจวนอ๋องเฉินต่างก็ไม่ทำให้นางตกที่นั่งลำบากมาแต่ไหนแต่ไร และถึงกับให้นางพุ่งเข้ามาอย่างเปิดเผยโดยไม่มีการห้ามปรามได้ในวันนี้
เฟิ่งชิงหัวจงใจมองมาที่องค์หญิงเหออานอย่างยั่วเย้า: “ทำไมองค์หญิงจึงออกจากวังมาล่ะ เวลานี้ไม่ควรจะคิดทบทวนพิจารณาตัวเองอยู่ด้านในวังดีๆ ไม่ใช่หรือ?”
วันนี้ที่องค์หญิงเหออานมาที่นี่สาเหตุหลักก็คือว่าเมื่อวานฮ่องเต้เซวียนถ่งได้สืบหาต้นสายปลายเหตุอย่างชัดเจนแล้ว ได้ทราบว่ามันเป็นกลอุบายของนางเองที่เห็นแล้วขัดตาขัดใจในตัวพระชายาเจ็ด ดังนั้นจึงสั่งการให้นางมาขอโทษที่นี่
แน่นอนว่าองค์หญิงเหออานเป็นไปไม่ได้ที่จะว่าง่ายเช่นนี้ มาที่นี่ก็เพียงแค่อยากจะมาปลดปล่อยอารมณ์ก็เท่านั้นเอง
พอได้ยินคำพูดนี้ของเฟิ่งชิงหัวก็เห็นได้ชัดว่ากำลังบ่งชี้ถึงเหตุการณ์เมื่อวานอยู่ จู่ๆ ก็มีอารมณ์ขุ่นเคืองปะทุขึ้นมา พุ่งมาทางที่ด้านหน้าของเฟิ่งชิงหัวพร้อมกับยกมือที่จะตบหน้าของเฟิ่งชิงหัว
เฟิ่งชิงหัวถอยหลังไปสองสามก้าวแล้วก็หยิบกฎตระกูลเล่มนั้นขึ้นมา กล่าวด้วยสายตาที่ค่อนข้างระมัดระวังเป็นพิเศษ: “องค์หญิงจะทำอะไรกับข้าก็ได้ แต่จะมาลงกับหนังสือเล่มนี้ไม่ได้เด็ดขาด สิ่งนี้เป็นถึงของที่ท่านอ๋องลงมือเขียนด้วยตัวเองมามอบให้ข้าเชียวนะ”
พอองค์หญิงเหออานได้ยินว่าหนังสือเล่มนี้สำคัฐเช่นนี้ต่อเฟิ่งชิงหัว จู่ๆ ก็แย่งเอาไป แม้แต่จะดูก็ยังไม่ดูเลยแล้วก็เริ่มฉีกขาดออกเป็นชิ้นๆ ไปเลย: “เสด็จพี่ของข้าไม่ได้ชอบเจ้าอยู่แล้ว เจ้าก็ได้เพียงคู่ควรแค่เอาของของเขาไปดูต่างหน้าก็เท่านั้นเอง ข้าก็จะไม่ทำให้เจ้าสมหวังได้หรอก!”
สีหน้าท่าทางของเฟิ่งชิงหัวอยากจะห้ามปรามอย่างยากลำบาก: “องค์หญิง อย่านะ”
ในขณะที่พูดอยู่ก็บ่นพึมพำกับตัวเองอย่างสลดใจว่า: “ฉีกขาดไปแล้ว ข้าก็ได้เพียงค่อยๆ มาจับมันต่อปะเข้าหากัน”
เมื่อองค์หญิงเหออานได้ยินก็รีบเอากระดาษที่ฉีกขาดแต่ละหน้านั้นทำให้แหลกละเอียดอีก ให้แปะก็ไม่ได้เช่นนั้นเลย
เฟิ่งชิงหัวเอามืออุดปากเอาไว้อย่างเสียใจ แต่ความจริงแล้วในใจนั้นสุขใจเป็นดอกไม้บานไปเลย คิดไม่ถึงว่าองค์หญิงเหออานผู้นี้จะยุขึ้น
เฟิ่งชิงหัวยิ่งเสียใจ องค์หญิงเหออานก็ยิ่งมีความสุข ก็ยิ่งฉีกรุนแรงขึ้นอีก บนพื้นต่างก็มีเศษกระดาษหนาหลายชั้นสะสมทัยถมกันอยู่ นางก็ยังไม่สะใจมากพอ รับสั่งให้นางในและขันทีที่อยู่ด้านหลังฉีกกระดาษที่ขาดอยู่บนพื้นให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยมากขึ้นอีก จากนั้นก็ให้เอาทั้งหมดนี้สาดเข้าไปในสระน้ำเลย อยากจะไปงมขึ้นมาก็งมไม่ได้
เฟิ่งชิงหัวอยากจะยกนิ้วหัวแม่มือให้แก่องค์หญิงเหออานอย่างมาก แล้วก็อุ้มนางวนไปสองรอบอีก
ชายตาขององค์หญิงเหออานก็มองไปเห็นกระดาษและพู่กันที่อยู่บนโต๊ะ ก็คิดถึงหนังสือเล่มนั้นที่เมื่อครู่นี้แล้วก็กล่าวด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ย: “คิดไม่ถึงว่าผู้หญิงเช่นนี้อย่างเจ้าจะหลงรักเสด็จพี่ของข้าอย่างหัวปักหัวปำ คิดไม่ถึงเลยว่าจะเลียนแบบตัวอักษรของเขา ช่างหน้าไม่อายเสียจริงเชียว!”
ในขณะที่พูดอยู่ก็เอาแผ่นกระดาษที่เฟิ่งชิงหัวคัดไว้มาตลอดทั้งเช้าฉีกออกเช่นกัน ครั้งนี้เฟิ่งชิงหัวก็เริ่มเสียดายขึ้นมาบ้างจริงๆ ยังไงก็เป็นสิ่งที่ตนเป็นคนทำเองกับมือนะ
“องค์หญิงเหออาน ท่านทำเช่นนี้ได้อย่างไรกัน นี่เป็นกฎตระกูลที่ท่านอ๋องลงโทษให้ข้าคัด บัดนี้ถูกท่านฉีกขาดหมดแล้ว ท่านไม่กลัวว่าท่านอ๋องจะตำหนิท่านหรือไงกัน!” เฟิ่งชิงหัวกล่าวด้วยความจริงที่ล่าช้าไปหน่อย อันที่จริงแล้วเป็นเพราะว่าเฟิ่งชิงหัวได้เห็นว่าจ้านเป่ยเซียวกำลังเลื่อนเก้าอี้รถเข็นมาทางนี้แล้ว
องค์หญิงเหออานก็กล่าวอย่างไม่มองหน้าด้วยน้ำเสียงเย็นชาเย้ยหยันและไม่ชัดแจ้งอย่างแน่นอน: “ข้าก็จะฉีก เจ้าจะทำไมเหรอ ข้ากับเสด็จพี่มีเสด็จพ่อคนเดียวกัน พวกเราต่างหากที่เป็นคนครอบครัวเดียวกันอย่างแท้จริง เจ้าคิดว่าลูกสาวของเฉิงเซี่ยงตัวเล็กๆ อย่างเจ้าคนหนึ่งก็สามารถจะมายุยงความสัมพันธ์ของพวกเราได้แล้วเหรอ? ช่างคิดเพ้อเจ้ออะไรอย่างนั้น! วันนี้ข้าไม่เพียงแต่จะฉีกหนังสือของเจ้า ยังจะฉีกเจ้าด้วย! มานี่ซิ โยนนางลงไปในสระน้ำด้วยกันให้ข้าที!”
ทันใดนั้นหลิวหยิ่งที่อยู่ด้านข้างก็โพร่งขึ้นมาว่า: “ท่านอ๋อง”
สีหน้าของนางในที่กำลังเริ่มจะลงมือพวกนั้นต่างก็พากันเปลี่ยนไปในทันที และถอยกลับมาทำความเคารพยังด้านหลังขององค์หญิงเหออาน: “กระหม่อมขอคารวะท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
จ้านเป่ยเซียวเดินเข้ามาใกล้ด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก ไม่พูดแม้แต่คำเดียว ยังคงให้พวกคนในวังเหล่านั้นคุกเข่าอยู่บนพื้น
“อ๋อง……” เฟิ่งชิงหัวกำลังจะกล่าวขึ้น องค์หญิงเหออานที่อยู่ด้านข้างก็รีบแย่งขึ้นก่อน: “เสด็จพี่ ผู้หญิงคนนี้รังแกข้า ท่านต้องให้ความยุติธรรมแก่ข้านะ”
เฟิ่งชิงหัวทำเสียงจิ๊จ๊ะขึ้น ทักษะในการให้ร้ายผู้อื่นนี่องค์หญิงเหออานที่หนึ่งเลย
“งั้นเหรอ?” จ้านเป่ยเซียวมองมายังองค์หญิงเหออานที่อยู่ตรงหน้าครู่หนึ่งอย่างปกติ ดวงตาสีดำก็มองข้ามมายังเฟิ่งชิงหัวที่อยู่ข้างหลังนางและเศษกระดาษชิ้นเล็กชิ้นน้อยกองหนึ่งที่อยู่บนพื้นนั้นอย่างไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย