พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 118
พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง – บทที่ 118 เตรียมชุดปีใหม่
สาวใช้เจ้าเสน่ห์หัวเราะจนทำให้พวกเขาทั้งสามที่อยู่ในห้องถึงกับทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย
“ท่านชายหันคิดมากไปแล้ว นายข้ามิได้จะมาจับบุตรเขยแต่อย่างใด” สาวใช้กลั้นหัวเราะกล่าว
ทันทีที่พูดจบ หันหยวนเฉาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและรู้สึกเขินอายเล็กน้อย พร้อมกับอดไม่ได้ที่จะหันหน้าจ้องมองเขาทั้งสอง
ทั้งสองก็รู้สึกเขินอาย สบตากันแล้วหัวเราะออกมา
“ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก ข้าคิดว่าโอกาสในการตัดสินใจเรื่องศีลธรรมจะมาถึงแล้ว และได้ลิ้มรสความเจ็บปวดอันน่าสะพรึงกลัวที่ไม่เลือกไม่ได้”
“ใช่ๆ ข้าคิดไว้แล้วว่ารอเพียงหยวนเฉาทิ้งคำมั่นสัญญาเก่ามาหาคนใหม่ ข้าก็ตัดขาดความสัมพันธ์กับเขา เจ้าว่าข้าตัดเสื้อตัวนี้ดีหรือเปลี่ยนใส่ชุดเก่าดีกว่า”
สาวใช้ที่เพิ่งกลั้นเสียงหัวเราะไป กลับหัวเราะอีกครั้งและเสียงหัวเราะก้องกังวานดังออกจากประตูห้อง ซึ่งเพิ่มความมีชีวิตชีวาให้แก่โรงแรมที่หดหู่ในช่วงปีใหม่นี้มาก
“ไม่รู้ว่าท่านบัณฑิตทั้งหลายพบเจอเรื่องสนุกอะไรหรือขอรับ” บ่าวที่ร้านกล่าวด้วยความสนใจ
เสียงหัวเราะหยุดลงและคนในห้องก็ต่างจัดร่างกายให้เรียบร้อย
“เจ้าหมายความว่านายของเจ้าต้องการให้ข้าช่วยอย่างนั้นหรือ” หันหยวนเฉาถามด้วยความตกตะลึงเล็กน้อย
สาวใช้พยักหน้า พร้อมกับยื่นถุงเงินให้
“เมื่อวานสงสารผู้หญิงและเด็กสองคนนั้นและอยากจะช่วยเหลือ แต่เวลานั้นนายของข้ามีเหตุผลบางประการและไม่สามารถออกหน้าช่วยเหลือได้ นอกจากนี้ ท่านชายเป็นผู้มีพระคุณต่อผู้หญิงคนนั้น ฉะนั้น หากไหว้วานท่านชายเป็นธุระให้ ผู้หญิงคนนั้นก็จะเชื่อใจมากกว่า” นางกล่าว
หันหยวนเฉาประหลาดใจ แต่ก็พยักหน้าอีกครั้ง
“ผู้สูงส่งพิทักษ์ความยุติธรรม” เขากล่าว “เพียงแต่…”
“ต้องขอโทษอย่างมากที่รบกวนเวลาอ่านหนังสือของท่านชาย” สาวใช้กล่าวโดยตัดบทสนทนา พร้อมโค้งคำนับขอโทษ
หันหยวนเฉารีบโค้งคำนับครึ่งหนึ่งตอบ
“เกรงใจไปแล้ว เกรงใจไปแล้ว การอ่านหนังสือมิได้อาศัยเพียงชั่วเวลาเดียว” เขากล่าว พร้อมกับครุ่นคิดชั่วครู่แล้วพยักหน้า “ได้ พรุ่งนี้ข้าจะไปพร้อมเจ้า”
“พรุ่งนี้ข้าจะมาหาท่านชายที่นี่ ไปเยี่ยมผู้หญิงคนนั้นเรียบร้อยแล้ว นายหญิงข้าจะได้สบายใจ” สาวใช้กล่าวพร้อมกับลุกขึ้นเดินออกไป
หันหยวนเฉาเดินออกไปส่ง และมองดูสาวใช้ที่สวมเสื้อคลุมและหมวกเดินจากไปท่ามกลางลมหิมะ
“หยวนเฉา คงจะไม่ใช่คนหลอกลวงหรอกกระมัง” สหายกล่าวด้วยความสงสัย
“คนหลอกลวงหรือ จะหลอกอะไรข้าเล่า” หันหยวนเฉาหัวเราะกล่าว
สหายแกล้งมองหน้าเขาอย่างจริงจังชั่วครู่
“ชู้สาว” เขาเอ่ย
หันหยวนเฉาหัวเราะแล้วเอื้อมมือชกไปที่เขา
“ก่อนที่จะตัดความสัมพันธ์ เจ้ารีบไปเช่ารถม้าให้ข้าที และเรื่องสำคัญคือพรุ่งนี้จะพาพวกเจ้าทั้งหลายติดตามข้าไปด้วย” เขายิ้มกล่าว
รถม้าที่เช่าด้วยตัวเองและเพิ่มผู้ติดตามถึงหกเจ็ดคน หัวขโมยทั่วไปของเมืองหลวงคงจะรับมือได้ หากเป็นขุนโจร…
“ตระกูลหันของข้าถือว่าเป็นตระกูลใหญ่ในซู่โจว แต่นี่คือเมืองหลวงเกรงว่าจะไม่มีค่าพอสำหรับผู้คนในการออกอุบายทำร้ายหรอก” หันหยวนเฉายิ้มกล่าว “หากมีคนคิดวางแผนทำร้ายจริงๆ ข้าก็คงมิอาจรับมือได้ แทนที่จะรุก ก็นั่งรอจะดีเสียกว่า”
“ใครบอกว่าผู้พิทักษ์ความยุติธรรมบ้ากัน คนที่พูดเช่นนั้นควรโดนตบปากเสียจริง” สหายส่ายหัวพลางถอนหายใจ
สาวใช้ก้าวเข้าไปในบ้านพร้อมบ่าวสองคนตามอยู่ด้านหลัง โดยถือผ้าห่อเสื้อผ้าไว้คนละสองใบ
เดินเพียงสองก้าวเท่านั้น ก็ได้ยินเสียงประทัดดังมาจากด้านข้าง
“จินเกอร์ อย่าซนเช่นนี้! ” นางรีบยื่นมือปิดหูแล้วตะโกน
จินเกอร์ที่วิ่งหนีหลังจากเปิดประตูก็หัวเราะเสียงดัง แล้วโยนก้านไม้ไผ่ในมือทิ้ง
สาวใช้เปิดประตู หัวเราะเสียงดังลั่น และไออุ่นพุ่งเข้าใส่ใบหน้า
เสียงพูดคุยในห้องหยุดลง
“ปั้นฉินมาแล้ว” สวีเม่าซิวกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“คาราวะท่านชายสามเจ้าค่ะ” สาวใช้ทำความเคารพ และค่อยๆ ทำความเคารพต่อชายหนุ่มคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่ภายในห้องทีละคน
จากนั้น หันหน้ากลับมารับผ้าห่อจากบ่าวที่ยืนอยู่ด้านหลังนำไปวางไว้ในห้อง แล้วบ่าวก็ถอยหลังออกไป สาวใช้จึงปิดประตูกระดาษ เพื่อกันไม่ให้ลมหนาวด้านนอกพัดผ่านเข้ามา
“ปั้นฉินมิต้องมากพิธีหรอก พวกข้าไม่คู่ควรกับคำว่าท่านชายเลย แต่พี่สามกลับบอกว่าการรับไหว้เท่ากับการเคารพต่อเขา ปั้งฉุยเหตุใดข้าถึงฟังไม่เข้าใจ…” ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านหลังสุดกล่าว
“หากฟังไม่เข้าใจ ก็ไม่ต้องเข้าใจ พูดให้มันน้อยๆ หน่อยเถิด” ชายผู้หนึ่งบ่นพึมพำ
เห็นหน้าเพียงไม่กี่ครั้ง ทำให้สาวใช้ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ถึงจะจำได้ว่านี่คือพี่ชายใหญ่ฟ่านเจียงหลิน
“วันปีใหม่ใกล้จะมาถึงแล้ว ตัดชุดใหม่ไม่ทัน นายหญิงจึงให้ข้าซื้อเสื้อสำเร็จรูปมาให้เจ้าค่ะ” สาวใช้พูดพลางยื่นถุงห่อเสื้อผ้าไป
ชายหนุ่มทั้งหลายต่างโวยวายเสียงดัง
“จะรบกวนน้องสาวให้จัดเตรียมเสื้อผ้าชุดใหม่ได้อย่างไร” สวีเม่าซิวเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงที่นั่งเงียบฟังพวกเขาพูดอยู่นั้น มุมปากก็ได้โค้งขึ้น
“ผู้หญิงที่เป็นพี่สาวและน้องสาวในครอบครัวมิได้ทำกันเช่นนี้หรอกหรือ” นางกล่าว “แค่ข้ามิได้ทำด้วยตัวเอง ก็ถือว่าแย่มากแล้ว”
ฟ่านเจียงหลินและคนอื่นๆ กล่าวขอบคุณ
“ไม่รู้ว่าจะใส่พอดีหรือไม่ ท่านชายทั้งหลายลองใส่ก่อนนะเจ้าคะ หากคับหลวมอย่างไร จะได้ให้ร้านตัดเย็บแก้ให้เจ้าค่ะ” สาวใช้ยิ้มกล่าว
“ไอ้หยา ข้าไม่ได้ใส่เสื้อใหม่ต้อนรับปีใหม่มานานมากแล้ว” สวีปั้นฉุยตะโกนคนแรก กอดถุงห่อเสื้อผ้าแล้วเดินออกไป เขาดีใจจนหุบยิ้มไม่ได้เลย
มีเขาเป็นผู้นำคนแรก คนอื่นๆ ก็ไม่ต้องระมัดระวังตัวอีกต่อไป
“พอดีเลย อาบน้ำไปด้วยเลย เสื้อใหม่จะได้ไม่ติดกลิ่นเหม็นก่อนใส่จริง”
“เจ้าสี่นั่นแหละที่เหม็น ข้าเพิ่งอาบน้ำเมื่อวานนี้เอง”
“พี่สามควรตัดหนวดเคราออกเสียบ้าง””
“พี่ชายทั้งหลายไปลองกันก่อน เก็บของเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาทานอาหารร่วมกันพอดี” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
“หากเป็นเช่นนั้น คงต้องรบกวนน้องสาวแล้ว” สวีเม่าซิวกล่าว
มีเขาเป็นผู้นำกล่าว พี่น้องคนอื่นๆ ก็รีบกล่าวขอบคุณเช่นกัน
เฉิงเจียวเหนียงทำความเคารพตอบ ทุกคนต่างหัวเราะพูดคุยกันและลุกขึ้นเดินออกไป
มีเสียงดังลั่นและกลิ่นแปลกๆ ของผู้ชายทั้งหลายภายในห้องแห่งนี้ สาวใช้ปรนบัติเฉิงเจียวเหนียงดื่มน้ำ จากนั้นอ่านหนังสือให้เฉิงเจียวเหนียงเขียนอย่างเงียบๆ ก่อนจะนั่งคุกเข่า
“ท่านชายหันตอบรับคำแล้ว ข้าจะไปพร้อมเขาพรุ่งนี้เจ้าค่ะ” นางกล่าว
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“เหตุใดนายหญิงถึงให้ข้าเชิญท่านชายไป แต่ไม่เชิญ…” สาวใช้ลังเลชั่วครู่แล้วเอ่ยถาม
นายหญิงเองก็รักษาผู้ป่วยได้ เหตุใดถึงไม่ไปด้วยกัน แต่กลับเสียแรงเชิญหมออีกคนไปแทน
เฉิงเจียวเหนียงจับโต๊ะไม้เตี้ยลดศีรษะลง
“เขายังไม่จำเป็น ให้ข้าไปรักษา” นางเอ่ย
พูดว่าคนต้อยต่ำผู้นั้น ไม่มีคุณสมบัติพออย่างนั้นหรือ
สาวใช้คาดเดา แต่นี่เป็นเพียงความคิดที่ผุดขึ้นมาชั่วขณะ สำหรับความคิดของนายหญิงแล้ว นางไม่เคยเก็บเอามาคิด แค่เอ่ยถามประโยคนั้นไป ก็ถือว่าล่วงเกินมากแล้ว จึงรีบเปลี่ยนเรื่องสนทนา โดยปิดปากหัวเราะ
“นายหญิง ท่านชายหันผู้นั้นช่างน่าขันยิ่งนักเจ้าค่ะ” นางกล่าว
เฉิงเจียวเหนียงเงยหน้าขึ้นพลางมองไปที่นาง
“เกิดอะไรขึ้นหรือ” นางเอ่ยถาม
นายหญิงปกติไม่ค่อยถามถึงเรื่องคนอื่นมากนัก ดูเหมือนว่าท่านชายหันผู้นี้จะเป็นคนที่รู้จักกันเก่าก่อนอย่างแน่นอน สาวรับใช้นึกถึงเรื่องนั้น ก็รีบนั่งหลังตรง
“เขาคิดว่าพวกเรามาขอแต่งงานเจ้าค่ะ” สาวใช้ยิ้มกล่าว “กล่าวปฏิเสธข้าด้วยเหตุผลถูกต้องและวาทะเต็มไปด้วยสัจธรรม”
มุมปากของเฉิงเจียวเหนียงโค้งขึ้น
“เหตุใดถึงคิดเช่นนั้นได้” นางกล่าว
“ไม่น่าแปลกใจที่เขาคิดเช่นนั้นเจ้าค่ะ” สาวใช้หัวเราะกล่าว “เมืองหลวงมีธรรมเนียมปฏิบัติเช่นนี้มาโดยตลอดทุกๆ ปี โดยที่ตระกูลร่ำรวยและมีอำนาจจะเลือกบัณฑิตที่ได้รับการจัดอันดับมาเป็นบุตรเขยเจ้าค่ะ หวังเหว่ยเจิ้งข้าราชการเลขานุการแห่งหอสมุดหลวงคนปัจจุบัน ขณะนั้นก็ถูกสองตระกูลใหญ่แย่งชิง และฟ้องร้องไม่ยอมความต่อเบื้องหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้เลยเจ้าค่ะ”
“ธรรมเนียมของเมืองหลวงช่างน่าสนใจยิ่งนัก” มุมปากของเฉิงเจียวเหนียงโค้งขึ้นอีกครั้งและปรากฎให้เห็นถึงรอยยิ้มแล้วกล่าว
“สถานที่แห่งอื่นที่ไม่ใช่เมืองหลวง มิได้แย่งชิงกันดุเดือดถึงเพียงนี้เจ้าค่ะ แต่ทว่า บัณฑิตผู้โดดเด่นก็จะถูกแย่งชิงขอมาแต่งงานอยู่แล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้ยิ้มกล่าว
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“แต่ท่านชายหันกลับคิดเช่นนั้นไปได้” สาวใช้กลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่อีกครั้ง
ขณะหัวเราะพูดคุยกันอยู่นั้น เสียงฝีเท้าและเสียงผู้ชายกระแอมเบาๆ ดังมาจากนอกประตู
“น้องสาว” เสียงเรียกของสวีเม่าซิวดังมาจากด้านนอก
สาวใช้ยิ้มแล้วรีบไปเปิดประตู
“ท่านชายสาม…รวดเร็วถึงเพียงนี้” นางเงยหน้าขึ้นกล่าว เมื่อพูดจบก็ตกตะลึงในทันที
เฉิงเจียวเหนียงมองตามเสียงนั้น มือที่กำลังวาดภาพอยู่บนโต๊ะไม้เตี้ยก็หยุดชะงักลง
ชายคนหนึ่งยืนอยู่นอกประตู สวมใส่เสื้อคลุมผ้าฝ้ายสีฟ้าใหม่เอี่ยมและรองเท้าผ้า รูปร่างสูงใหญ่และแข็งแรง ใบหน้าสะอาดสะอ้านและชุ่มชื่นหลังจากการอาบน้ำ คิ้วหนาตาโต หน้าผากกว้างและกรามใหญ่ แม้ว่าผิวจะดูหยาบกร้านไปบ้าง แต่ก็ซ่อนความหล่อเหลาไว้ไม่อยู่
“พอดีตัว ไม่จำเป็นต้องแก้แล้ว” เขาก้มศีรษะพลางมองสำรวจไปที่เสื้อผ้าแล้วกล่าว
…………………………………………………………