พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 119
พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง – บทที่ 119 หนักใจ
ชายผู้นั้นดูเหมือนจะอึดอัดเล็กน้อย จึงเอามือลูบคางโดยไม่รู้ตัว
หญิงสาวทั้งสองที่อยู่ตรงประตูนิ่งเงียบอย่างกะทันหันและจ้องมองอย่างพินิจพิเคราะห์ ทำให้เขารู้สึกอึดอัดมากยิ่งขึ้น
“ท่านชายสามหรือเจ้าคะ” สาวใช้ตะโกนหลังจากได้สติกลับมาและรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
สวีเม่าซิวเงยหน้าขึ้นมองสาวใช้แล้วรีบมองลงไปที่เสื้อผ้า
“ไม่พอดีหรือ ข้าคิดว่าพอดีอยู่นะ” เขากล่าว
“ท่านชายสาม! ” ครั้งนี้สาวใช้ยิ้มขัดจังหวะเขา “ท่านโกนหนวดเคราแล้ว ข้าจำท่านไม่ได้เลยเจ้าค่ะ! ”
หลังจากโกนหนวดเคราแล้ว สวีเม่าซิวก็ไม่คุ้นชินอย่างมากเช่นกัน เขานั่งลงโดยไม่สบายใจเล็กน้อย และก็ดึงมุมเสื้อเป็นระยะๆ
สาวใช้ที่อยู่ด้านข้างกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่
“ข้าถอดเสื้อใหม่ดีกว่า ไว้ใส่วันตรุษจีน จะได้ไม่ยับ” สวีเม่าซิวกล่าว
สาวใช้รีบลุกขึ้นไปเปิดประตู
“เสื้อชุดนี้ของท่านชายสาม ช่างพอดีตัวเสียจริงเจ้าค่ะ” นางยิ้มกล่าว
“เจ้าเลือกเก่งไง” สวีเม่าซิวหัวเราะกล่าวแล้วเดินจากไป
“นายหญิงเจ้าคะ ท่านชายทั้งหลายจะเปลี่ยนรูปลักษณ์หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่หรือไม่เจ้าค่ะ สาวใช้ยิ้มกล่าวพลางมองออกไปนอกประตูด้วยความขี้เล่นเล็กน้อย
แต่ทว่า ที่น่าเสียดายคือบรรดาชายหนุ่มทั้งหลายที่สวมเสื้อใหม่เข้ามาหลังจากนั้น ต่างไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ หรือดูจะน่าขบขันมากขึ้นเสียด้วยซ้ำ
“ตัวนี้เล็กไป…”
“ข้าลองมาหมดแล้ว ตัวนี้ใหญ่ที่สุด…”
“ท่านชายหก ข้าน้อยจดไว้แล้ว ข้าจะรีบนำไปแก้เจ้าค่ะ”
“ข้าไปกับเจ้าแล้วกัน กลัวว่าแก้ไม่ได้แล้วจะเป็นการทำลายชุดนี้เสีย”
เมื่อเห็นพูดคุยหัวเราะเสียงดังกันเช่นนี้ สวีเม่าซิวที่เปลี่ยนมาใส่เสื้อผ้าตัวเก่าแล้ว หันหน้ากลับมายิ้มให้เฉิงเจียวเหนียง
“สำหรับของใช้ในวันตรุษจีน เจ้าอย่าหนักใจไปอีกเลย” เขาเอ่ย
ระหว่างการสนทนา จินเกอร์ก็วิ่งเข้ามาจากนอกประตู
“นายหญิงขอรับ ของขวัญวันตรุษจีนจากตระกูลอำมาตย์เฉินส่งมาถึงแล้วขอรับ”
เสียงตะโกนเพียงเท่านี้ ทำให้คนในห้องถึงกับตกตะลึงและลุกขึ้นยืนทันที
“อำมาตย์เฉิน อำมาตย์เฉินคือผู้ใดกัน”
ชายหนุ่มคนอื่นๆ ไม่รู้จัก ขณะที่ สวีเม่าซิวรู้จักเขาอยู่แล้ว เพราะคนที่ถูกเรียกว่าอำมาตย์ย่อมมิใช่บุคคลธรรมดาทั่วไป
“น้องสาว พวกเราขอตัวไปข้างนอกก่อน” เขากล่าวอย่างรีบร้อน
เฉิงเจียวเหนียงส่ายหัว
“พี่ชาย ท่านพูดไม่ถูก พวกท่านเป็นพี่ชายของข้า จะให้ข้าที่เป็นน้องสาวรับแขกเองหรือ” นางกล่าว
ชายหนุ่มทั้งหลายในบ้านก็ยิ่งแตกตื่นขึ้นทันที
สวีเม่าซิวมองไปที่เฉิงเจียวเหนียงและหายใจเข้าลึกๆ แล้วพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
“หากเป็นเช่นนี้ พี่ชายใหญ่” เขามองไปที่ฟ่านเจียงหลิน “พวกเราไปต้อนรับแขกกัน”
ฟ่านเจียงหลินพยักหน้า สะบัดเสื้อแล้วเดินออกไปก่อน
“… ข้า…ข้าเปลี่ยนใส่ชุดใหม่ดีกว่า…”
เสียงทุ่มต่ำของชายหนุ่มคนอื่นดังมาจากด้านหลัง
ณ ลานกว้าง พ่อบ้านของตระกูลเฉินกำลังเฝ้ามองบ่าวขนย้ายของลงมาจากรถ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าก็รีบจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยและเข้ามาทำความเคารพ พอเงยหน้าขึ้นมองกลับเห็นชายหนุ่มแปลกหน้าหลายคน จึงกลั้นความตกใจไว้ไม่อยู่
“ข้าฟ่านเจียงหลินขอบคุณแทนน้องสาวด้วย” ในฐานะที่เป็นพี่ชายคนโต จึงกล่าวนำก่อน
พ่อบ้านของตระกูลเฉินไหวพริบดี จึงแสดงความเคารพทันที
การเข้าใจผิดที่วันนั้นจินเกอร์ถูกลักพาตัวไปขายแพร่สะพัดไปทั่ว เพลานี้เมื่อจ้องมองดู ก็เข้าใจเป็นอย่างมากแล้วเช่นกัน
จริงๆ แล้ว ชายหนุ่มเหล่านี้ไม่เพียงแต่รู้จักกับแม่นางเฉิงเท่านั้น แต่ยังเป็นพี่น้องกันอีกด้วย
พ่อบ้านตระกูลเฉินทำความเคารพอย่างจริงจัง และมิได้ถามแม่นางเฉิงก่อน เขาปฏิบัติต่อฟ่านเจียงหลินและคนอื่นๆ ในฐานะเจ้าบ้านอย่างเป็นทางการ และส่งมอบนามบัตร โดยอธิบายรายการของขวัญแต่ละชิ้นอย่างละเอียด ซึ่งมิบังอาจละเลยต่อหน้าที่ได้เลย
ฟ่านเจียงหลินรับของขวัญ ส่วนสวีเม่าซิวรับหน้าที่พูด แม้ว่าเขาจะไม่คุ้นชิน แต่ก็มิได้ตะขิดตะขวงใจเลยแม้แต่น้อย หลังจากนั้นไม่นาน ก็ส่งพ่อบ้านของตระกูลเฉินออกไป
“โอ้แม่เจ้า” สวีปั้งฉุยตะโกนทันทีพลางเอื้อมมือทำท่าเช็ดเหงื่อ “ข้าอายุถึงเพียงนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้รับของขวัญวันตรุษจีน”
บางคนไปดูของขวัญ ขณะที่บางคนก็เร่งให้สวีเม่าซิวอ่านนามบัตร
“ตระกูลใดกัน ตระกูลใดกัน”
สวีเม่าซิวเปิดนามบัตร
เฉินผู่แห่งฉวีโจว
ชื่อนี้กลับไม่รู้จัก สวีเม่าซิวเปิดอ่านข้อความอีกครั้ง นามบัตรหนึ่งแผ่นกลับมีรายการของขวัญสองรายการ นอกจากของขวัญชิ้นใหญ่ที่สุดแล้ว ยังมีของขวัญอีกชิ้นหนึ่ง
เจ้าของของของขวัญลงชื่อไว้เช่นกัน
เฉินเซ่า
นามบัตรในมือของสวีเม่าซิวสั่น ฟ่านเจียงหลินผู้ว่องไวรีบเอื้อมมือไปหยิบรายการของขวัญที่กำลังจะร่วงหล่นอยู่
“พี่สาม” เขาเอ่ยถาม “เขาคือใครหรือ”
“เสนาบดีกรมขุนนางอำมาตย์เฉิน” สวีเม่าซิวกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ
แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้จักขุนนางทั้งหมดของราชสำนัก แต่อย่างน้อยก็รู้จักขุนนางชั้นสูงอยู่หลายคนและยิ่งไม่ต้องพูดอำมาตย์ผู้อาวุโสที่ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นอำมาตย์แห่งเสนาบดีกรมขุนนาง
“นี่คือบุคคลยิ่งใหญ่ที่สามารถกำหนดชะตาฟ้าดินได้” ฟ่านเจียงหลินกล่าวด้วยความประหลาดใจ อดไม่ได้ที่มองกลับไปที่ห้อง
สาวใช้ในบ้านกำลังถือพู่กันจดอะไรบางสิ่งอยู่ ขณะที่ เฉิงเจียวเหนียงกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำสองสามประโยคเป็นระยะๆ ราวกับสมาชิกในครอบครัวที่เป็นผู้หญิงของทุกบ้านก็ไม่ปาน
สวีเม่าซิวครุ่นคิดชั่วครู่ เก็บนามบัตรไว้อย่างดีแล้วก้าวเข้ามาในบ้าน
“น้องสาว เราจะให้ของขวัญตอบแทนอย่างไรดี พวกเราเพิ่งจะเข้ามาเมืองหลวงเป็นครั้งแรก ไม่รู้ขนบธรรมเนียมของที่นี่ ดังนั้นต้องให้เจ้าตัดสินใจแล้ว” เขากล่าวด้วยรอยยิ้มพร้อมกับยื่นนามบัตรออกไปโดยไม่ถามอะไรเลย
เฉิงเจียวเหนียงมองไปที่เขาพร้อมกับโค้งมุมปากขึ้น
“พี่ชาย ข้าก็เพิ่งจะเคยมาเมืองหลวงเช่นกัน” นางกล่าวพลางมองไปที่สาวใช้อีกครั้ง “แต่ปั้นฉินเป็นแขกประจำเมืองหลวง”
สวีเม่าซิวอดไม่ได้ที่จะมองไปที่สาวใช้
สาวใช้ผู้นี้เป็นแขกประจำเมืองหลวงจริงหรือ ส่วนเฉิงเจียวเหนียงมิได้เป็นชาวเมืองหลวงหรอกหรือ นี่มันอะไรกัน
“ดีเลย” สวีเม่าซิวยิ้มและพยักหน้า พร้อมกับเรียกฟ่านเจียงหลิน “ครั้งที่แล้วเงินที่น้องสาวให้ไว้ยังเหลืออยู่มาก ปั้นฉินนำไปจัดเตรียมของขวัญเถิด”
สาวใช้รับคำ
“เงินอยู่ที่ข้า เจ้าเดินตามข้ามา” ฟ่านเจียงหลินยืนขึ้นกล่าว
“แล้วก็ถือโอกาสไปถนนนั้นพร้อมกับพวกเรา จะได้ส่งเสื้อไปแก้ที่ร้านตัดเย็บด้วย” สวีปั้งฉุยกล่าวเช่นกัน
“ถือโอกาสซื้อของใช้ในวันตรุษจีนด้วยเลยแล้วกันเจ้าค่ะ” สาวใช้กล่าว
“ใช่ๆ ยันต์ไม้ท้อและประทัดก็ต้องซื้อเช่นกัน”
“เหล้า เหล้า”
“ธูปเทียนบูชาบรรพบุรุษก็ขาดไม่ได้”
“ไปทุกคน ไปทุกคน ข้ายังไม่เคยเดินเที่ยวเมืองหลวงเลย”
พี่น้องทุกคนลุกขึ้นยืนและหัวเราะพูดคุยกันเสียงดัง หากพวกเรามิได้ตั้งใจลดเสียงพูดลง หลังคาคงพังทลายด้วยเสียงดังสนั่นเช่นนั้นไปแล้ว
สวีเม่าซิวละสายตาแล้วมองไปที่เฉิงเจียวเหนียง เห็นผู้หญิงที่นั่งนิ่งเงียบอยู่ตรงข้าม มุมปากโค้งขึ้น
นับตั้งแต่รู้จักกันมา ไม่ค่อยได้เห็นสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปตามอารมณ์ของหญิงสาวผู้นี้เลย แต่การแสดงออกเช่นนี้ จึงเป็นอารมณ์ความรู้สึกที่พบเจอได้ยากยิ่งนัก
“เสียงดังรบกวนเจ้าแล้วสิ” เขากล่าว “ทุกคนเป็นผู้ชายหยาบกระด้าง ไม่ค่อยรู้จักกฎเกณฑ์อะไรมากนัก” เฉิงเจียวเหนียงมองไปที่เขา
“เป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องมีกฎเกณฑ์” นางกล่าว “เช่นนี้ถึงจะคึกครื้นและสนุกสนาน ขอบคุณพี่ชายทั้งหลายที่ไม่ระมัดระวังจนเกินไปและเป็นกันเอง”
สวีเม่าซิวยื่นมือออกไปสัมผัสที่เคราของเขา ขณะที่จับเคราถึงนึกขึ้นได้ว่าโกนออกไปหมดแล้ว จึงจับคางสองครั้งอย่างไม่คุ้นชิน
“ดูสิ หากเจ้ายังพูดเช่นนี้ ก็เท่ากับว่าเห็นพวกเราเป็นคนนอก” เขายิ้มกล่าว
“พี่ชายพูดถูก” เฉิงเจียวเหนียงพูดพลางนั่งหลังตรง
เสียงประทัดดังมาจากด้านนอก ประตูถนนถูกเปิดออก เด็กๆ วิ่งผ่านไปมาพร้อมกับเสียงหัวเราะและวันตรุษจีนก็ใกล้จะมาถึงแล้ว
มีการจุดประทัดตามท้องถนนมากขึ้นเรื่อยๆ สาวใช้ก้าวเข้าไปในบ้านพักขุยหยวนโดยหลบเลี่ยงเด็กๆ ที่วิ่งถือโคมกระต่ายและหัวเราะเล่นกันเสียงดัง
เมื่อบ่าวมองเห็นนางก็รีบยิ้มต้อนรับ
“พี่สาวมาแล้ว” เขาเอ่ย “ท่านชายหันสั่งไว้ว่าเมื่อท่านมาถึงให้ไปเรียกเขา”
สาวใช้ยิ้มและกล่าวขอบคุณ
หลังจากนั้นไม่นาน หันหยวนเฉาก็มาพร้อมกับชุดเสื้อคลุมตัวใหญ่
บ่าวที่อยู่นอกประตูก็แจ้งรถม้าให้รีบมา จากนั้นสาวใช้ก็ขึ้นนั่งบนรถม้า หันหยวนเฉาขึ้นขี่ม้า และเชิญหมอไปด้วย ทั้งสองก็เดินทางออกไปนอกเมือง
“ฟังจากสำเนียงของแม่นางแล้ว มาจากเจียงหนานหรือ” หันหยวนเฉาชวนคุย
วันนี้อากาศดี สาวใช้จึงยกผ้าม่านของรถม้าขึ้น คลุมด้วยเสื้อคลุมตัวใหญ่ก็มิได้รู้สึกหนาวอะไร และจะพูดคุยกับหันหยวนเฉาได้สะดวกด้วย
“ใช่ เป็นชาวเจียงโจว” สาวใช้พยักหน้ากล่าวอย่างเปิดเผย
“จะพำนักอยู่ในเมืองหลวงนานเท่าไรหรือ” หันหยวนเฉาเอ่ยถามอีกครั้ง
“เรื่องนี้” สาวใช้ส่ายหัว “ไม่รู้เหมือนกัน ต้องฟังคำสั่งจากนายหญิง”
หันหยวนเฉาเข้าใจแล้วจึงพยักหน้า
“มีอีกเรื่องหนึ่ง” สาวใช้กล่าว “ท่านชายอาจจะยังไม่ทราบ ร้านเรือนนางฟ้ากับราชเลขานุการหลิวแห่งหอสมุดหลวงไปมาหาสู่กันอยู่บ้าง”
หันหยวนเฉาสะดุ้งพลางหันหน้ามองสาวใช้
…………………………………………………………………..ต