พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 133
ในเรือนบ้านตระกูลโจวแสงไฟสว่างไสว ในเรือนเฉิงเจียวเหนียงมีคนยืนอยู่เต็มเรือน
เนื่องจากไม่อนุญาตให้ญาติเข้าห้องดูการรักษา ฮูหยินถงก็ไม่ยอมไปพักผ่อนตามการจัดแจงของฮูหยินโจว ทุกคนยืนเบียดเสียดกันอยู่ตรงนี้ สะใภ้ ผู้ติดตาม บ่าวรับใช้ของบ้านตระกูลถงเข้าออกบ้านมากขึ้นเรื่อยๆ มองไปเผินๆ ไม่รู้ว่าเป็นบ้านตระกูลโจวหรือบ้านตระกูลถงกันแน่
“พี่สาวเชิญตรวจดู” ฮูหยินถงรับตั๋วเงินใบหนึ่งมาจากในมือลูกชายแล้วยื่นให้สาวใช้ “นี่คือตั๋วแลกเงิน หนึ่งหมื่น ก้วนตามจำนวนไม่ขาดแม้แต่แดงเดียว”
สาวใช้รับมาดูอย่างตั้งใจ
สาวใช้คนหนึ่งจะดูออกหรือ คนรอบข้างต่างก็สงสัย
“ไม่เลว ตั๋วแลกเงินของสำนักจิ้นโจ้วฝูโจว” สาวใช้ยิ้มกล่าว สะบัดตั๋วเงินแล้วเก็บขึ้น
ฮูหยินโจวที่อยู่ข้างๆ มองดูแล้วก็รู้สึกตื่นตระหนก แทบอยากจะยื่นมือไปหยิบมา
หนึ่งหมื่นก้วน!
“นี่ นี่ จะรับไว้ได้อย่างไร” นางกล่าวเสียงสั่นเครือ
“ฮูหยิน ท่านย่อมรับไว้ไม่ได้อยู่แล้ว ไม่ใช่ท่านเป็นคนรักษาโรคนี่” สาวใช้ยิ้มกล่าว
ถูกหัวเราะเยาะต่อหน้าผู้คน ฮูหยินโจวที่ทั้งโกรธทั้งกลัวทั้งหวาดระแวงอยู่ก็ยิ่งรู้สึกจุกหน้าอก
“ซื้อยากลับมาหรือยัง” สาวใช้ไม่สนใจ แล้วถามคนด้านนอก
เหล่าชายหนุ่มบ้านตระกูลถงสอบถามกันให้วุ่น ไม่นานก็มีคนหอบห่อยาเข้ามา
“มาแล้ว มาแล้ว” เขาตะโกน
สาวใช้ยื่นมือมารับ แล้วหิ้วเข้าห้องไป
ในห้องแสงไฟสว่างไสว ส่องเห็นเงาตัวที่ถูกยืดยาว ไม่นานก็เดินไปหลังฉากกั้น มองไม่ชัดเจน
“นางซื้อยาอะไรหรือ” ลูกชายคนหนึ่งเอ่ยถามเสียงแผ่วเบา
คนรับใช้สีหน้าประหลาดไป
“ซื้อโกฐนษิณี โต๋วต๋ง” เขากล่าว
ท่านชายบ้านตระกูลถงรออยู่นานแต่เขาก็ไม่ได้พูดต่อ
“แล้วอะไรอีก” เขาเอ่ยถาม
“แล้วก็มันฮ่อ …” บ่าวรับใช้กล่าวด้วยสีหน้าสับสน
มันฮ่อหรือ
ท่านชายตระกูลถงจ้องตาโต
“ยังมี กระเทียม เหล้า…” บ่าวรับใช้กล่าวต่อ
“ไม่ได้ซื้อเนื้อมาด้วยหรือ” มีคนอดไม่ได้กล่าวแทรกขึ้นมา
ท่านชายตระกูลถงจ้องไปทางเขา
“ช่างเถิด จะซื้อยาหรือซื้อกับข้าวก็ช่างนางเถิด” เขากล่าวพลางโบกมือ “อย่างไรเสียมาพบนายหญิงผู้นี้ ก็ไม่มีเรื่องที่เป็นปกติอยู่แล้ว พวกเราก็รอต่อไปแล้วกัน ยังดีที่ไม่ต้องรอนาน นางบอกว่าพรุ่งนี้ก็รู้ผลแล้วมิใช่หรือ”
แม่นมตระกูลโจวหอบเสื้อคลุมตัวหนามา เห็นท่านชายโจวหกยืนอยู่ตรงทางเดิน
“ท่านชาย กลับไปพักผ่อนก่อนเถิดเจ้าค่ะ” แม่นมคนหนึ่งกล่าวขึ้น แล้วส่งเสื้อคลุมตัวใหญ่ให้เขา
“ท่านแม่กลับไปไม่ได้ ตรงนี้มีชายคนนอกอยู่ พี่สะใภ้และพี่สาวน้องสาวไม่สะดวกที่จะมา ข้าอยู่ที่นี่แล้วกัน” ท่านชายโจวหกกล่าว พลางเอาเสื้อคลุมมาห่มตัว “หากเกิดอะไรขึ้น ก็จะได้ปกป้องได้”
เขาพูดคำนี้ แล้วมองไปในห้องหลัก
“ท่านชายหกกตัญญูยิ่งนัก” เหล่าแม่นมกล่าวพลางคำนับ รีบส่งเสื้อกันหนาวไปให้เหล่าหญิงสาวในบ้าน
เสียงลมยามดึกพัดโบก ค่ำคืนอันมืดมิดเหมือนดั่งยามฟ้าสว่าง ทุกคนต่างกระวนกระวายใจไม่เป็นสุข
เมื่อฟ้าสาง เฉินเซ่าเดินเข้าเรือนหลังอย่างเร็วรี่
นายใหญ่เฉินกำลังประคองไม้เท้าเดินเล่นอยู่ มีสาวใช้สองคนคอยเดินติดตาม
“ท่านพ่อ ท่านพ่อ” เฉินเซ่าตะโกนเรียก
นายใหญ่เฉินหยุดเดิน
“ลมบูรพามาแล้วขอรับ” เฉินเซ่ากล่าว
นายใหญ่เฉินชะงักไปสักครู่ แล้วก็หลุดหัวเราะออกมา แต่ก็รีบเก็บอาการ
“ใครเล่า ช่วงเทศกาลปีใหม่ ช่างน่าสงสารเสียจริง” เขากล่าวพลางคุมอาการสีหน้า
“บัณฑิตถง” เฉินเซ่ากล่าวเสียงแผ่วเบา
“ช้าเร็วก็จะรู้ ว่ากินหินโลหะแล้วตายได้” นายใหญ่เฉินส่ายหน้า “ถือว่าเขาโชคดี ที่นายหญิงเฉิงอยู่”
“มีคนกินหินโลหะแล้วตายมากมาย จะช่วยชีวิตไว้ได้จริงๆ หรือ” เฉินเซ่ากล่าวด้วยสีหน้ากังวล
“ได้” นายใหญ่เฉินกล่าวอย่างไม่ลังเล แล้วยื่นมือมาตบบ่าลูกชาย “ในเมื่อปราชญ์ให้ศิษย์เข้าทางโลก ก็ไม่ได้ให้มาเพื่อทำลายชื่อเสียงของตนอยู่แล้ว”
“พูดถึงปราชญ์” เฉินเซ่ากล่าวเสียงแผ่วเบา “ท่านพ่อ เมื่อวานนี้ได้ยินข้อมูลใหม่มาขอรับ”
“หืม” นายใหญ่เฉินสนใจขึ้นมาทันใด ทิ้งไม้เท้าในมือให้กับสาวใช้ “ไป เรากลับไปคุยกัน”
ถึงแม้เพิ่งจะผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืน แต่คนที่ได้ข่าวคราวไวต่างก็รู้กันแล้ว หน้าบ้านตระกูลโจวมีคนผ่านไปผ่านมามากขึ้นกว่าเดิม
ประตูมุมเรือนเปิดออก รถม้าคันหนึ่งขับออกไป ทำให้คนรอบๆ ยื่นหน้าไปดู
รถม้าวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
“มีเสียงร้องไห้หรือไม่”
“ชายหรือหญิง”
รถม้าขับผ่านถนนไป ประทัดถูกจุดอยู่ตรงพื้นถนน ถนนแทบจะสั่นสะเทือนไปครึ่งสาย เสียงประทัดหยุดลงก็เป็นเสียงฆ้องเสียงกลองดังขึ้นมา
“ทำอะไรน่ะ ใครสู่ขอเจ้าสาวหรือ”
คนเดินผ่านไปผ่านมาที่อยู่ไกลออกไปก็ถูกความคึกคักนี้ดึงดูดเข้ามา ต่างก็สอบถามและมองมา
“เหมือนว่าจะมีโรงเหล้าเปิดร้านใหม่” มีคนกล่าวแล้วยื่นมือชี้ไป
บนท้องถนนที่ผู้คนทะลักท่วมท้น หน้าโรงเหล้าร้านหนึ่งมีกระโจมประดับรับแขกสูงสองจั้ง กว่า มีดอกไม้ผ้าพันรอบ สะดุดตายิ่งนัก
“เรือนนางฟ้า” มีคนที่รู้หนังสือหรี่ตาอ่านธงสีที่ลู่ลอยตามลม
“เรือนนางฟ้า ชื่อช่างบ้าบิ่นเสียจริง”
คนที่ไม่รู้จักกล่าว มีคนที่รู้จักส่งเสียงประหลาดใจ
“ไม่ได้อยู่นอกเมืองหรือ เปิดสาขาที่นี่หรือ”
“ที่นี่ไม่ใช่สาขา”
โต้วชีที่แต่งตัวสีสันสดใสยืนอยู่หน้าประตูร้าน รับรองคนด้านนอกด้วยตนเอง
“เรือนนางฟ้าเรา ตั้งแต่วันนี้ไปจะเปิดอยู่ที่นี่แล้ว!” เขายิ้มกล่าว ยกมือขึ้นมาคารวะ “ทุกคนช่วยอุดหนุนกันด้วย”
“นางฟ้าผ่านทางในเรือนนางฟ้าเราของดีราคาถูก เหมาะกับทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่” คนดูแลร้านกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“นางฟ้าผ่านทางหรือ ข้าไม่ได้กินมาหลายวันแล้ว กำลังอยากกินอยู่พอดี ที่แท้ก็ย้ายมาอยู่ที่นี่นี่เอง สะดวกขึ้นมากเลย” มีคนตะโกนกล่าว แล้วก็เข้าร้านไป
เมื่อมีคนนี้เป็นคนนำ ก็มีลูกค้าเก่าอีกหลายคนเข้ามา ทำให้คนที่มุงดูอยู่ก็ทะลักเข้าไปกัน บวกกับแขกที่ตั้งใจเชิญมาช่วยอุดหนุนร้านอีก เรือนนางฟ้าชั้นสองลูกค้าเต็มในเวลาไม่นาน
“ยินดีกับนายเจ็ดด้วย” คนดูแลร้านยิ้มกล่าว
โต้วชีมองดูคนเต็มร้านด้านหลังตน แล้วดูคนบนท้องถนนที่ก้าวเข้าร้านมาอย่างไม่ขาดสาย เท้าเอวหัวเราะอย่างพออกพอใจ
แต่ในเวลานี้ เรือนนางฟ้านอกเมือง คนน้อยรถม้าห่างหาย ในห้องโถงกว้างใหญ่ มีคนเพียงสี่ห้าคนนั่งอยู่
“พวกเจ้าทำอะไร บอกว่าหารือกันอีกสักสองสามวันมิใช่หรือ” ฟ่านเจียงหลินเลิกคิ้วกล่าว
ชายหนุ่มที่มีฝีเต็มหน้าเอามือถูจมูก
“ขอโทษนะลูกพี่ เปิดร้านใหม่ รีบใช้เงิน พวกเจ้าจะซื้อหรือไม่ซื้อ ก็บอกกันมาตรงๆ เลย พวกเจ้าไม่ซื้อ คนที่รอซื้อมีเยอะแยะมากมาย” เขากล่าวแล้วตบหนังสือสัญญาบนโต๊ะ
“ซื้ออยู่แล้ว” ฟ่านเจียงหลินกล่าว แล้วมองดูสวีเม่าซิว
สวีเม่าซิวก็พยักหน้าเช่นกัน
“ลงชื่อเลย” เขากล่าว
“เยี่ยมมาก” ชายหน้าฝียกนิ้วโป้งให้แล้วยิ้มกล่าว พลางดันหนังสือสัญญาออกมา
สวีเม่าซิวหยิบขึ้นมาแล้วอ่านดูทีละบรรทัด ก็ขมวดคิ้วทันใด
“ไม่ใช่แปดพันก้วนหรือ ทำไมกลายเป็นเก้าพันแล้วเล่า” เขาเอ่ยถาม
“พี่ชาย เรือนนางฟ้าในเมืองเปิดกิจการใหม่ ก็รวดโฆษณาให้ที่นี่ไปด้วย อีกหน่อยคนอื่นเขาบอกว่าเป็นร้านเก่า กิจการของพวกเจ้าก็ได้ประโยชน์ไม่น้อย เงินนี้เพิ่มได้คุ้มค่ายิ่งนัก” ชายหน้าฝียิ้มกล่าว
“เจ้ามันขึ้นราคาหน้าด้านๆ!” สวีปั้งฉุยตบโต๊ะจ้องตาแล้วลุกขึ้นมาตะโกนกล่าว
ชายหน้าฝีไม่หวาดกลัวเลยสักนิด แต่กลับหัวเราะขึ้นมา
“เอ้า รู้สึกไม่เป็นธรรมหรือ ไม่ยอมหรือ ขาดทุนหรือ” เขากล่าว แล้วยื่นมือมาหยิบสัญญาไป “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร คุยกันได้ ไม่ซื้อก็ไม่ซื้อ ไม่จำเป็นต้องทำร้ายจิตใจกันหรอก ช่วงปีใหม่ ไม่คุ้มหรอก”
สวีปั้งฉุยโมโหจนจ้องตาเขม็ง คนพาลเมืองหลวงพวกนี้ น่าชังกว่าพวกทหารพาลเมืองตะวันตกเฉียงเหนือนัก!
สวีเม่าซิวจ้องเขา สวีปั้งฉุยถ่มน้ำลายแล้วนั่งลงข้างๆ
“เอาอย่างไรดีเล่า พวกท่านไม่เอาก็ช่าง ข้ายังมีธุระอีก เพิ่งจะเปิดร้านใหม่งานยุ่งนัก ข้าเสียเวลากับพวกเจ้ามาหลายวันแล้ว ไม่มีเวลามาเสียแล้วจริงๆ ไม่งั้น พวกเจ้าไปดูร้านอื่นดีหรือไม่” ชายหนุ่มหน้าฝีกล่าวพลางแคะเล็บ
สวีเม่าซิ่วยื่นมือมา
“ไม่ต้องแล้ว ลงชื่อเลย” เขากล่าว
หนังสือสัญญาลงชื่อพิมพ์ลายมือ ชายหน้าฝีสะบัดเล็กน้อย แล้วยกมือมาคารวะด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“เช่นนั้นพรุ่งนี้เราเอาฉโนดแลกกับเงินกันที่จวนทางการ” เขากล่าว
สวีเม่าซิวพยักหน้า ยกมือมาคารวะแล้วเดินออกไปก่อน
“ช่างเป็นคนบ้านนอกโง่ๆ จริงๆ แค่ขู่นิดเดียวก็ยอมด้วยดีเสียแล้ว” ชายหน้าฝียิ้มกล่าว แล้วกวักเรียกคนติดตามสองคนปิดบานประตู “เสียเงินมากมายเพื่อซื้อร้านซอมซ่อหลังนี้ น่าจะใช้ได้ไม่นานก็คงต้องขาดทุนหนีไปตัวเปล่าเสียแล้ว”
“ลูกพี่ ช่างเขาสิ อย่างไรเสียก็มีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษร จะโทษเราก็ไม่ได้” คนติดตามทั้งสองยิ้มกล่าว
พวกสวีเม่าซิวทั้งสามคนเข้าเมืองไปคืนม้าที่เช่ามา สีหน้าต่างก็เคร่งเครียดกัน
“ช่างไร้ประโยชน์เสียจริง” ฟ่านเจียงหลินถอนหายใจกล่าว “คุยกันอย่างดีว่าแปดพันก้วน สุดท้ายกลายเป็นเก้าพันก้วน จะบอกกับน้องสาวอย่างไรดี”
“เราไปยืมกันเถิด” สวีเม่าซิวกล่าวขึ้นมาทันใด
“กับใคร” ฟ่านเจียงหลินเอ่ยถาม
“เซี่ยงชีอย่างไรเล่า” สวีเม่าซิวกล่าว
“คนตระหนี่อย่างเขาน่ะหรือ!” สวีปั้งฉุยตะโกน
“ข้าไปขอร้องเขา คิดว่า เขาไม่น่าจะเป็นคนที่ไม่ยอมช่วยเหลือยามคับขันหรอก” สวีเม่าซิวกล่าว
“ไม่ได้ ถ้าจะไปก็ให้ข้าไป” ฟ่านเจียงหลินกล่าว “เจ้าไปพบเขา จะต้องโดนดูถูกไม่น้อย”
ขณะกำลังถกเถียงกันอยู่ จินเกอร์ก็กระโดดออกมาจากในบ้าน
“ท่านชายใหญ่พวกท่านกลับมากันแล้วหรือ” เขาตะโกนกล่าว “พี่ปั้นฉินรอพวกท่านอยู่สักพักแล้วขอรับ”
เมื่อก่อนทุกครั้งที่ได้ยินดังนั้น ทุกคนก็จะรีบเข้าประตูไป เวลานี้ได้ยินคำนี้ ทั้งสามคนก็ชะงักไป รู้สึกก้าวเท้าเข้าไปไม่ไหว
“ท่านชาย” สาวใช้ออกมาจากด้านในแล้วกล่าวพลางอมยิ้ม “นายหญิงให้ข้ามา…”
“ปั้นฉิน เจ้าบอกกับน้องสาวว่า พวกข้า ทำได้ไม่ดี” ฟ่านเจียงหลินสูดหายใจลึกแล้วกล่าว
สาวใช้ชะงักไปสักครู่
“เขาไม่ขายหรือ” นางเอ่ยถาม
“ไม่ใช่” สวีปั้งฉุยรีบกล่าว “เจ้านั่นขึ้นราคาหน้าด้านๆ นายหญิงรีบร้อนอยากได้ พวกข้าไม่กล้าล่าช้า พวกข้า… ต้องใช้เงินเพิ่ม”
“ไม่โทษที่นายหญิงรีบร้อนอยากได้หรอก พวกเราเองที่เจรจาการค้าไม่เป็น” สวีเม่าซิวกล่าว
สาวใช้หัวเราะออกมา
“ข้าก็นึกว่าอะไร ก็แค่จ่ายเงินเพิ่ม นายหญิงรู้แต่แรกแล้ว” นางกล่าว “อีกอย่าง นายหญิงบอกว่า ยิ่งเขาเรียกเงินมากเท่าไรก็ยิ่งดีเจ้าค่ะ”
ยิ่งเรียกเงินมากเท่าไร ยิ่งดีหรือ
ตรรกะอะไรกัน
“นายหญิงบอกว่า ขาดทุนก็คือโชค” สาวใช้ยิ้มกล่าว แล้วนำตั๋วแลกเงินออกมายื่นให้ “หนึ่งหมื่นก้วน พอแล้วกระมัง”
หนึ่งหมื่น!
พวกสวีเม่าซิวทั้งสามคนจ้องตาโต
“แต่ว่านี่คือเงินหรือ” สวีปั้งฉุยมองดูตั๋วแลกเงินอย่างสงสัย
“นี่คือตั๋วแลกเงิน หนึ่งหมื่นก้วนจะขนย้ายมาไหวได้อย่างไร นี่คือตั๋วเงินของสำนักจิ้นโจ้วฝูโจว ถึงเวลาพวกท่านถือสิ่งนี้ไปจัดการกับคนทางนั้นก็พอ พวกเขารู้ว่าจะต้องทำอย่างไรเจ้าค่ะ” สาวใช้ยิ้มกล่าว
ในเมืองหลวงนี้มีลูกเล่นมากมายเสียจริง สวีปั้งฉุยไม่ถามต่อ แต่มองดูตั๋วแลกเงินที่สวีเม่าซิวรับมา
หนึ่งหมื่นก้วน
“นายหญิงช่าง มีเงินมากมายเสียจริง” เขากล่าวพึมพำ
สาวใช้นั่งบนรถม้าแล้ว ได้ยินดังนั้นก็หัวเราะออกมาอีก
“นายหญิงไม่มีเงิน เพียงแต่ ตอนต้องการเงินก็มีคนยอมให้เท่านั้น” นางกล่าว “เรื่องที่เหลือ ท่านชายไปทำต่อก็พอ ไม่ต้องกังวลมากเกินไปเจ้าค่ะ”
พวกสวีเม่าซิวพยักหน้า แล้วมองรถม้าวิ่งจากไป
สาวใช้เดินเข้าเรือนไป คนในเรือนต่างก็รอจนแทบคลั่ง
“ไหนบอกว่าฟ้าสว่างก็พากลับได้มิใช่หรือ ทำไมข้างในไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรเลยเล่า” ฮูหยินถงกล่าวอย่างร้อนรนพลางร่ำไห้
“เข้าไปดูสิ” ฮูหยินโจวทนมาหนึ่งวันหนึ่งคืนแทบจะยืนไม่อยู่แล้ว จึงตะโกนออกมา
“ช้าก่อน” ภรรยารองข้างกายฮูหยินถงรีบห้ามไว้ “สาวใช้คนนั้นบอกไว้ ไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปทั้งนั้น หากใครเข้าไปก็จะเอาชีวิตของนายท่าน!”
“เจ้าเชื่อนางหรือ!” ฮูหยินโจวกล่าวอย่างร้อนรน
“ข้าเชื่อ!” ภรรยารองตะโกนกล่าว ท่าทางเหมือนว่าใครกล้าเข้าไปก็จะสู้กับคนนั้นสุดชีวิต
สู้สุดชีวิตจริงๆ สู้สุดชีวิตของตน ครั้งนี้หากนายท่านฟื้นขึ้นมานางก็จะได้รับความร่ำรวยและวาสนาไปตลอดกาล หากนายท่านตายไป นางก็รอถูกฝังไปพร้อมศพนายท่านแล้วกัน
เห็นสาวใช้เดินเข้ามาทุกคนก็รีบเข้าไปล้อม พร้อมสอบถามกันวุ่นวาย
“อย่ารีบร้อนไป ข้าไปดูให้” สาวใช้กล่าว แล้วแหวกฝูงคนออกมา เปิดประตูออก
ทุกคนรีบยื่นหน้ามองไปด้านใน กลับเห็นเพียงฉากกั้นบานหนึ่ง บดบังสายตาเอาไว้
ประตูก็ถูกปิดลงอีกครั้ง
ในเรือนนั้นไร้ซึ่งเสียงนกกา
เหมือนว่าผ่านไปเป็นเวลานานมาก ประตูก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง
มองดูสาวใช้ที่ยืนอยู่หน้าประตูยิ้มเล็กน้อย คนในที่นั้นก็อดไม่ได้ที่จะกลั้นหายใจไว้ ต่างก็ตึงเครียด ในขณะเดียวกันก็มีสีหน้าแปลกประหลาด
ครั้งนี้ นางจะพูดอะไรอีก
ครั้งแรก จะคุยเรื่องเงิน ครั้งที่สอง จะซื้อเข็มทอง ครั้งที่สาม จะซื้อยา ครั้งที่สี่ จะออกไปข้างนอก นี่เป็นครั้งที่ห้า นางจะออกมาพูดอะไรที่ไม่เกี่ยวข้องอีก
“ที่แท้ก็เสร็จนานแล้ว ข้าออกไปข้างนอกจึงเสียเวลาไปบ้าง พวกท่านรีบยกคนกลับไปเถิดเจ้าค่ะ” สาวใช้ยิ้มกล่าว แล้วยื่นมือไปเปิดประตูทั้งสองบ้าน
ฉากกั้นถูกย้ายออกไป เผยให้เห็นชายหนุ่มที่นอนอยู่บนไม้กระดาน เหมือนกับตอนที่เพิ่งยกมา
คนด้านนอกไม่กล้าขยับไปชั่วขณะ ต่างก็มองเหม่อไป
“นายท่าน” ฮูหยินถงตั้งสติได้คนแรก ดันภรรยารองและสาวใช้ที่พยุงตนเองอยู่ออก ล้มลุกคลุกคลานกระโจนเข้าด้านในไป
คนอื่นๆ ก็ทะลักตามเข้าไปกัน
ฮูหยินโจวถูกดันจนโซซัดโซเซ แม่นมก็พยุงไปหลบอยู่ข้างๆ แต่ภรรยารองคนนั้น กลับยืนตะลึงอยู่กับที่ เหมือนเสียสติไปอย่างนั้น
“ฟื้นหรือยัง ฟื้นหรือยัง”
“มีลมหายใจ มีลมหายใจ!”
“ชายสาม ชายสาม ข้าคืออาหวั่น ข้าคืออาหวั่น เจ้าเห็นข้าหรือไม่”
“นายท่าน จะดื่มน้ำ จะดื่มน้ำ รีบเอาน้ำมา! สวรรค์ นายท่านจะดื่มน้ำ!”
เสียงโหวกเหวกเอะอะดังลั่นเรือน ท่ามกลางเสียงตะโกนนี้ ภรรยารองเหมือนถูกสูบแรงออกทั้งร่างล้มตัวลงกับพื้น หมอบพื้นแล้วร้องไห้เสียงดัง
…………………………………………………………………..