พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 141
เฉิงเจียวเหนียงมองไปที่ผู้มาเยือน สีหน้าของนางมิได้เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย
“ข้าป่วยอยู่ เลยรักษาคนให้ไม่ได้” นางเอ่ยพร้อมกับก้มศีรษะคำนับ
ป่วยอยู่หรือ
หมอเทวดาที่ช่วยคนตายให้ฟื้นคืนชีพได้ก็ป่วยได้อย่างนั้นหรือ หากเป็นเช่นนั้น ข่าวลือจากตลาดก็เป็นเรื่องจริงแล้วล่ะสิ
เพียงแต่…
“แม่นาง แม่นาง พ่อของข้า…ท่านช่วยหาวิธีที พวกเรามีเงิน มีเงิน เรียกเท่าไรก็ได้ทั้งนั้น” คนมากมายตะโกนร่ำร้อง
เมื่อเสียงโวยวายดังขึ้น เฉิงเจียวเหนียงก็หยุดพูดในทันที
“พวกเจ้าฟังไม่เข้าใจหรือ” สาวใช้ขึ้นเสียง ขวางคนที่จะกระโจนเข้ามา พลางขมวดคิ้วเอ็ดไปด้วย “นายหญิงข้าบอกแล้วว่านางป่วยอยู่ รักษาให้คนอื่นไม่ได้ พวกเจ้ารีบหามออกไปเถอะ อย่ามาเสียเวลาเลย”
เมื่อเห็นว่าหญิงสาวที่สวมเสื้อคลุมที่ยืนอยู่ด้านหลังไม่มีทีท่าว่าจะก้าวออกไปข้างหน้า ฝูงชนที่ได้สติก็ส่งเสียงร้องดังขึ้นอีกครั้ง
“หึ ใจดำอะไรเช่นนี้! ”
“เห็นคนจะตายก็ยังไม่ช่วยอีก! ”
“ตระกูลโจวของพวกเจ้าช่างใจดำอำมหิตยิ่งนัก! ”
“ตระกูลโจวของพวกเจ้าวัดคนตามฐานะ พวกเราเทียบไม่ได้กับตระกูลเฉินและตระกูลถง พวกเจ้าแม้เห็นคนจะตายก็ไม่ช่วย! ”
อะไรคือตระกูลโจวของพวกเราโหดร้ายอำมาหิต เห็นคนจะตายก็ไม่ช่วย! คนพวกนี้กำลังคิดอะไรอยู่! พอถึงเวลาเช่นนี้ก็ลากตระกูลโจวเข้ามาเกี่ยว!
ฮูหยินโจวรู้สึกถึงเลือดลมที่พุ่งพล่านและไอโขลกอย่างรุนแรง
เดี๋ยวก็บอกว่าไม่รักษา เดี๋ยวก็ตกลงว่าจะรักษาให้ ไม่เป็นไปตามกฎเหล็กสองข้อไม่รักษา พอรักษาหาย จู่ๆ ก็ไม่รักษาอีก! นี่จะกดดันให้ตายกันไปข้างหนึ่งเลยล่ะสิ!
นางไม่อายบ้างเลยหรือ แต่ละอย่างที่พูดออกมานั้น!
ป่วยหรือ หากป่วยจริงก็กลับไปนอนพักผ่อนเสีย และควรเล่นละครให้สมจริงบ้าง คิดว่าคนอื่นเป็นคนโง่อย่างนั้นหรือ
นังกาลกิณี!
“แล้วหลังจากนั้นล่ะ”
นายใหญ่เฉินเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
“หลังจากนั้น คนของตระกูลนั้นจึงทำได้เพียงหามคนป่วยไปที่สำนักแพทย์อื่นขอรับ” บ่าวตอบอย่างออกรสออกชาติ
“ตายแล้วหรือ” หญิงสาวหลายคนถามอย่างกังวล
เฉินตันเหนียงถึงกับไม่กล้ากระพริบตา
“เกือบแล้วขอรับ” บ่าวเอ่ย “ยังดีที่คนของตระกูลนั้นรีบหามคนป่วยไปส่งที่สำนักหมอหลวงได้ทัน หมอหลวงทั้งสี่คนใช้เวลาถึงครึ่งวัน สุดท้ายก็ช่วยชีวิตไว้ได้ บอกว่าเลือดคั่งเนื่องจากลมปราณอ่อนแรงขอรับ”
ทุกคนต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ก็อย่างที่บอก เพราะยังไม่ถึงฆาต พี่เฉิงถึงไม่ช่วยรักษาเพราะไม่ได้เป็นไปตามกฎ” เฉินตันเหนียงเอ่ย
“แล้วเหตุใดไม่ใช่เพราะหมอหลวงมีความชำนาญถึงช่วยชีวิตกลับมาได้เล่า” หญิงสาวคนหนึ่งรีบโต้กลับทันที “นางควรพูดว่ายังไม่ถึงฆาตจึงไม่รักษา มิใช่ข้าป่วยอยู่จึงไม่รักษา”
เฉินตันเหนียงถึงกับพูดไม่ออก ยู่ปากและนิ่งเงียบไป
“หมอย่อมปฎิบัติต่อทุกคนอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกัน หากพูดว่าไม่รักษาก็คือไม่รักษาจริงๆ ” หญิงสาวอีกคนพยักหน้าแล้วเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ “นางพูดเองว่ามีกฎสำหรับการไม่รับรักษาเพียงสองข้อ ไม่ได้บอกว่านางล้มป่วยจึงไม่รักษา เช่นนี้ไม่เรียกว่าทำผิดกฎของตัวเองหรอกหรือ”
“นางบอกว่านางไม่สบาย ไม่สามารถรักษาได้ ผิดตรงไหนกัน” แม่นางเฉินสิบแปดเอ่ย “อีกอย่าง นางก็ไม่ใช่หมอด้วย”
ใช่ นางไม่ใช่หมอ
ผู้หญิงทั้งสองหันหน้ามาสบตากัน แต่ทว่า…
“ถึงแม้นางจะไม่ใช่หมอ แต่ก็รักษาโรคได้” หญิงสาวผู้นี้ลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะพูดออกมา “ทำได้แต่ไม่ทำ ไร้ความเมตตาธรรม ไร้คุณธรรม”
“แต่พี่สาวเฉิงป่วยอยู่ นางอยากรักษาก็รักษาให้ไม่ได้” เฉินตันเหนียงเอ่ยอย่างน้อยใจ
“ใครจะเชื่อ” หญิงสาวทั้งสองมองหน้ากันแล้วส่ายหัว
เมื่อเห็นหลานสาวทั้งหลายถกเถียงกันอย่างดุเดือด นายใหญ่เฉินที่นั่งอยู่ข้างๆ ไม่ได้ตำหนิอะไร
แต่กลับนั่งฟังด้วยรอยยิ้ม
แม่นางเฉินสิบแปดยิ้มอย่างเย็นชาแล้วกวาดสายตามองไปที่พี่สาวและน้องสาวของนาง
“บัดนี้ข้ารู้แล้วว่าแม่นางเฉิงทำไมไม่ชอบพูด” นางพูดขึ้นอย่างกะทันหัน
พอพูดถึงตรงนี้ พี่น้องต่างมองก็หน้ากัน
“เพราะบางคนพูดจาไม่รู้เรื่อง และพวกเจ้าคิดเท่าที่พวกเจ้าคิดถึง แต่ไม่เชื่อในสิ่งที่นางพูด” แม่นางเฉินสิบแปดเอ่ย
พี่สาวและน้องสาวทั้งสองคนนั่งหลังตรงโดยไม่รู้ตัว
“แม่นางสิบแปด เจ้าหมายความว่าอย่างไร” พวกนางเอ่ยอย่างไม่พอใจ
“นางพูดว่านางไม่สบาย ไม่สามารถรักษาโรคได้ ทำไมพวกเจ้าถึงไม่เชื่อนาง และยังคาดเดาไปต่างๆ นานาอีก” แม่นางสิบแปดยิ้มเยาะเอ่ย “อะไรจิตใจเมตตาไม่เมตตา คนที่ไม่มีจิตใจเมตตาไม่ใช่นาง แต่เป็นของพวกเจ้าต่างหาก ใช้จิตใจเมตตาของพวกเจ้าเองมาผูกมัดนางอย่างไร้ความปราณี พวกเจ้ามีสิทธิอะไร! ”
หญิงสาวทั้งสองหน้าแดงก่ำในทันที ไม่สามารถพูดอะไรต่อได้อีก
“หากเวลานั้นท่านปู่ไม่ได้เจอกับแม่นางเฉิงที่วัดร้างและถามไถ่อาการกันมาก่อน หากตอนนี้ท่านล้มป่วย แล้วให้ท่านอาเดินทางไกลไปถึงเจียงหนานเพื่อเชิญนางมารักษา ท่านว่านางจะยอมมาหรือไม่เจ้าคะ” แม่นางเฉินสิบแปดเอ่ย พลางมองไปที่นายใหญ่เฉินซึ่งกำลังยิ้มอยู่
เมื่อมองเห็นหลานสาวมองมา นายใหญ่เฉินก็นั่งหลังตรง
“แน่นอนว่า” เขาเอ่ยพร้อมกับหายใจเข้าลึก “ไม่มาหรอก”
เขาเลียนแบบลักษณะท่าทางการพูดจาและเสียงของเฉิงเจียวเหนียง ราวกับว่าหญิงสาวผู้นั้นกำลังพูดอยู่ต่อหน้า เช่นเดียวกับตอนเผชิญหน้ากับประโยคที่นางเอ่ยถามตนเกี่ยวกับการรักษาในครั้งก่อน ซึ่งค่ารักษาถูกกว่าตอนนี้เสียอีก รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยากจะหัวเราะทั้งน้ำตา
ดูเหมือนใจดำอำมหิต ดูเหมือนเลือดเย็น แต่ก็ดูตรงไปตรงมา
พูดกันตรงๆ ว่าอะไรคือะไร ไม่เสแสร้ง ไม่คดโกง ไม่ปลอบโยน ไม่ประจบสอพลอ
“แล้วท่านปู่โกรธเกลียดนางหรือไม่เจ้าคะ” แม่นางเฉินสิบแปดเอ่ยถาม เมื่อคิดอะไรบางอย่างออกจึงรีบเอ่ยเสริม “เมื่อรู้ว่านางสามารถรักษาท่านได้”
หากเป็นตนเอง ก็คงไม่สามารถรับรู้ถึงความรู้สึกของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจนหรอก แล้วถ้าหากเรื่องนี้เกิดขึ้นกับตนเล่า
หลานสาวทุกคนต่างมองไปที่นายใหญ่เฉิน เฉินตันเหนียงยังเด็กอยู่ นางไม่เข้าใจในสิ่งที่พี่สาวทั้งหลายกำลังโต้เถียงกันอยู่ แต่นางเข้าใจความหมายของคำว่าโกรธเกลียด ทันใดนั้นก็รู้สึกประหม่าในทันที พร้อมกับจ้องมองไปที่นายใหญ่เฉิน และเอื้อมมือไปจับที่แขนของเขา
“หากเป็นข้า ข้าจะคิดก่อนว่าความโกรธแค้นนี้มีความหมายกับข้าหรือไม่” นายใหญ่เฉินเอ่ย “และข้าสามารถอาศัยความแค้นนี้รักษาตนให้หายได้หรือไม่”
“ไม่ได้แน่นอนเจ้าค่ะ” แม่นางเฉินสิบแปดเอ่ย
พี่สาวและน้องสาวคนอื่นๆ ต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย
“ดังนั้น การกล่าวโทษผู้อื่นทำได้ง่าย แต่มันไร้ประโยชน์ สู้คิดเสียว่าเหตุใดตนถึงต้องประสบพบเจอกับปัญหาเหล่านี้จะดีกว่า มิใช่เพราะนางไม่รักษา แต่เป็นเพราะตนมิได้ปฏิบัติตามกฎของนาง และมิใช่เพราะนางรักษาตนไม่ได้ แต่เป็นเพราะตนล้มป่วย จึงต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนี้ อะไรคือสาเหตุและอะไรคือผล ต้องแยกแยะให้ชัดเจน” นายใหญ่เฉินเอ่ยด้วยรอยยิ้มและกวาดสายตามองหลานสาวที่ต่างวัย “ดังนั้น ข้าหวังว่าเมื่อพวกเจ้าพบเจอกับปัญหา จะเริ่มพิจารณาจากสาเหตุในตัวของพวกเจ้าก่อน”
“หากทำการใดไม่ได้ผลตามที่คาดหวังไว้ ให้ตำหนิตัวเองก่อน เมื่อตนเที่ยงตรงแล้ว สรรพสิ่งทั้งหลายย่อมเป็นไปตามหมาย” แม่นางเฉินสิบแปดเอ่ย
นายใหญ่เฉินพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
“แม้ว่าพวกเจ้าจะเป็นหญิง ไม่จำเป็นต้องสอบคัดเลือกขุนนาง มิได้มีหน้าที่ดูแลราษฎรให้กินดี อยู่ดี ชีวิตเป็นสุข แต่พวกเจ้าทุกคนต้องเป็นภรรยาและเป็นมารดา ต้องฝึกฝนตัวเองและดูแลครอบครัว สนับสนุนสามีและสั่งสอนบุตร” เขาเอ่ย “พวกเจ้าต้องจำไว้เสมอว่าอย่าทำในสิ่งที่ไร้ประโยชน์”
หลานสาวทั้งหลายต่างรีบแสดงความเคารพ
“ขอบคุณสำหรับคำสั่งสอนเจ้าค่ะท่านปู่” พวกนางเคารพอย่างพร้อมเพรียงกัน
นายใหญ่เฉินพยักหน้ารับ
“มีอีกเรื่องหนึ่ง พวกเจ้าถามข้าไปแล้ว ตอนนี้ถึงตาข้าถามพวกเจ้าบ้าง” นายใหญ่เฉินนึกอะไรบางอย่างออก จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หากเป็นพวกเจ้า มีเงินสองหมื่นก้วนอยู่ตรงหน้าจะรักษาหรือไม่”
สองหมื่นก้วน ไม่ใช่เพียงสองก้วน
หญิงสาวทั้งหลายสบตากัน
เงินสองหมื่นก้วนเพียงพอที่จะเป็นสินสอดของหญิงสาวชนชั้นกลางแล้ว ตอนนี้สินสอดมากที่สุดในเมืองหลวงอยู่ที่ประมาณหนึ่งแสนก้วน
สองหมื่นก้วน หากบอกว่าไม่หวั่นไหว คงจะยากยิ่งนัก
“ดังนั้นนอกจากมองตามกฎและจิตใจเมตตาแล้ว ยังต้องดูความหนักแน่นอีกด้วย” นายใหญ่เฉินเอ่ย “มันขึ้นอยู่กับการเลือกทั้งสิ้น”
หญิงสาวทั้งหลายรับคำและแสดงความเคารพอีกครั้ง
“กลับไปคัดคัมภีร์เมิ่งจื่อ บทหลีโหลวและบทเถิงเหวินกง บทละสิบจบ แล้วปู่จะให้อาจารย์ทดสอบความรู้ของพวกเจ้า” เขาเอ่ย
หญิงสาวทั้งหลายรับคำ แสดงความเคารพก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินจากไป
แม่นางเฉินสิบแปดเดินตามหลังอยู่ไม่กี่ก้าว พอถึงประตู จู่ๆ ก็นึกบางอย่างออก นางหยุดเดินแล้วหันหน้ากลับมา
“ท่านปู่เจ้าคะ” นางเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา แววตาเป็นประกาย “เมื่อครู่ท่านปู่ลืมเอ่ยเงื่อนไขไปข้อหนึ่งหรือเปล่าเจ้าคะ ที่ว่าโรคนี้รักษาให้หายได้ใช่หรือไม่”
……………………………………………………