พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 16
บทที่ 16 ของว่าง
Ink Stone_Romance
เรื่องวุ่นวายที่เกิดจากการกลับมาของเฉิงเจียวเหนียงได้คลี่คลายลงชั่วคราว
นายรองเฉิงใช้เวลาหลายวันกว่าจะแก้ไขความวุ่นวายที่เกิดจากคนสนิทในอดีตได้อย่างเรียบร้อย ฮูหยินรองไม่ต้องไปลำบากดูแล ‘ลูกสาว’ ตัวปัญหาคนนี้เป็นการชั่วคราว
แม่นางเฉิงหกเฉิงเจ็ดไม่ต้องกังวลว่าชื่อของตนจะถูกเปลี่ยน คนสติไม่ดีคนนั้นก็โดนกักขังไว้ ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกทำให้ตกใจ
ฮูหยินใหญ่ไม่ต้องเป็นห่วงว่าสามีภรรยาบ้านรองจะทะเลาะกัน ครอบครัวเป็นสุข ข้างหูก็ไม่มีลูกสาวมาโวยวาย
ชีวิตเหมือนจะกลับไปเป็นเหมือนเก่า สงบเงียบ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ปั้นฉินและเฉิงเจียวเหนียงก็ใช้ชีวิตได้ไม่เลว ไม่ต้องเกรงกลัวหรือหวาดระแวงอะไร กินอยู่สุขสบาย แถมอีกยังมีห้องครัวเป็นของตัวเอง ไม่ต้องกลัวว่านายหญิงจะเลือกกินอีกต่อไป
“นายหญิงนายหญิง แบบนี้ได้หรือไม่เจ้าคะ”
เสียงตะโกนเรียกของปั้นฉินดังมาจากด้านนอก
เฉิงเจียวเหนียงหลับตาพิงพนัก ไม่รู้ว่าหลับหรือตื่นอยู่
ปั้นฉินตะโกนมาเรื่อยจนถึงหน้าประตู ในมือชูก้อนแป้งก้อนหนึ่ง สีเหลืองอร่าม
เฉิงเจียวเหนียงลืมตามาดู
“เติมน้ำผึ้งลงไปอีกหนึ่งช้อน” นางกล่าว “แล้วนวดก้อนแป้งได้”
ปั้นฉินตอบรับอย่างดีใจ
“เอ่อ…” นางจะวิ่งออกไปแล้วก็หันกลับมาอีก “นายหญิง ใช้ตะเกียบแผ่ออก แล้วก็…”
เฉิงเจียวเหนียงลุกขึ้นจากพนักวางแขน มือซ้ายและขวาชูสองนิ้วออกมา แล้วทำท่าทางบนอากาศ
ท่าทางของนางเชื่องช้า ปั้นฉินมองเห็นอย่างละเอียด
“ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” นางกล่าว แล้วรีบหันหลังวิ่งไปในห้องครัว
เฉิงเจียวเหนียงเม้มปาก นี่คือการยิ้มของนาง ก่อนจะท้าวแขนพิงพนักต่อ
“นายหญิง นี่เรียกว่าอะไรหรือเจ้าคะ ดูดีเสียจริง นี่ข้าทำออกมาเองจริงๆ หรือนี่” ปั้นฉินกล่าวอย่างดีใจและประหลาดใจ
อาหารทอดสีเหลืองทองเรียงตัวกันเหมือนพัดจีบวางอยู่บนโต๊ะเตี้ย เจริญตาเจริญใจ
เฉิงเจียวเหนียงมองดูแล้วยื่นมือออกมาบิดแท่งหนึ่ง ก่อนจะใส่เข้าไปในปากแล้วค่อยๆ เคี้ยว รสหวานละมุนเนื้อกรุบกรอบ ละลายทันทีเมื่อเข้าปาก
“ข้า ไม่รู้” นางกล่าวอย่างช้าๆ
“นายหญิงคิดวิธีทำได้เก่งจริงๆ เจ้าค่ะ” ปั้นฉินหักแท่งเล็กๆ มากินด้วย พลางพูดไป
เฉิงเจียวเหนียงเงียบไปครู่หนึ่ง
นางไม่ได้คิดขึ้นมาเอง แต่มันอยู่ในความทรงจำของนาง
“อาหารเล็กน้อยเท่านั้น” นางกล่าว
นางกินเพียงไม่กี่คำก็หยุด ปั้นฉินยกน้ำขึ้นให้นาง
“ว่าแต่ นายหญิงเจ้าคะ ไม่ดื่มชาจริงๆ หรือเจ้าคะ” นางถาม
“ไม่ดื่มชาแบบนั้น” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว ยกน้ำขึ้นมาดื่มอย่างช้าๆ
ปั้นฉินแลบลิ้นออกมาเล็กน้อย
“แล้วนายหญิงดื่มชาแบบไหนเจ้าคะ” นางถามอย่างจนปัญญา
เฉิงเจียวเหนียงค่อยๆ ดื่มน้ำจนหมด แล้ววางแก้วน้ำลง
ความจำของนางยังไม่ฟื้นคืน นอกจากความจำที่กลับมาเองตามสัญชาติญาณแล้ว แม้ว่านางไปคิดค้นหาเองอย่างไรก็นึกไม่ออก
อย่างเช่นบางครั้งมองเห็นแป้ง ในหัวก็จะมีวิธีทำโผล่ขึ้นมา แต่บางครั้งกลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ อย่างเช่นชาที่ดื่มอย่างไรก็ไม่คุ้นชิน นอกจากในหัวที่ต่อต้านไม่ยอมกิน ส่วนอยากกินแบบไหนนั้น กลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ
นางเหมือนจะเป็นนาง แต่ควบคุมตนเองไม่ได้ ช่างจนปัญญาเสียจริง
“ไม่รู้” นางกล่าว
นี่เป็นคำตอบให้แก่ปั้นฉิน ในตอนนั้นปั้นฉินได้เลื่อนโต๊ะเตี้ยออกไปแล้ว นางเคยชินกับการที่นายหญิงตอบคำถามช้าแล้ว
“นายหญิง ถึงเวลานอนกลางวันแล้วเจ้าค่ะ” นางกล่าว
เฉิงเจียวเหนียงพูด ‘อืม’ ตอบรับ ปั้นฉินพยุงมือนางลุกขึ้นผ่านม่านไผ่แล้วเดินไปยังเตียงนอน
ในห้องเงียบสงัดทันใด
ด้านนอกมีสาวใช้คนหนึ่งชะโงกหัวมองเข้ามาในห้อง เมื่อมองทะลุผ่านม่านไผ่ไป ก็เห็นเพียงหญิงสาวนอนบนเตียงและสาวใช้ที่นอนด้านล่าง ทั้งสองต่างนอนอย่างนิ่งสงบ ทั้งยังมองเห็นของกินสีเหลืองทองจานหนึ่ง ที่ส่งกลิ่นหอมไปทั่ว วางอยู่บนโต๊ะกลางห้อง วางซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ ดูไม่ออกว่ามีวิธีการทำอย่างไร
สาวใช้ตาเป็นประกายอย่างอดไม่ได้ เดินย่องเข้ามาอย่างระมัดระวัง ก่อนยื่นมือมาบิดชิ้นหนึ่งใส่เข้าปาก สีหน้าชื่นชมยิ่งชัดเจนขึ้น
ในห้องมีเสียงกรนเล็กๆ กับเสียงลมฤดูร้อนพัดมาพร้อมกัน
“คนสติไม่ดีจริงๆ ด้วย เอาแต่กินกับนอน” นางพูดเบาๆ เบะปาก “เสียดายของกิน”
นางมองไปข้างในสองสามครั้ง คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยกของกินทั้งจานออกไปนอกห้อง
มีสองคนที่ถูกส่งมายังเรือนหลังนึ้ คนหนึ่งคือตัวนางเอง และยังมีสาวใช้ที่ทำงานบ้านอีกคนหนึ่ง
สาวใช้วัยสาวออกไปเที่ยวเล่นทุกวัน เวลานี้ยิ่งไม่เห็นเงา
ส่วนนางเหลียวซ้ายแลขวา แล้วยกอาหารออกห้องไป
แสงแดดแผดเผาจนดอกบัวในสระเหี่ยวเฉา เสียงจักจั่นร้องในสวนก็ไร้เรี่ยวแรง เวลาพักลางวันพอดี ในสวนจึงเงียบสงัดไร้เสียง
สาวใช้ยกจานพร้อมเร่งฝีเท้าเดินไปข้างนอก นางเดินทะลุผ่านสวนออกประตูมุมเรือนไป จากนั้นจึงเดินผ่านตรอกแคบมาถึงบ้านของตน
“นี่”
เสียงตะโกนเรียกของหญิงสาวดังมาจากเหนือศรีษะ
สาวใช้ฝีเท้าชะงัก มองไปรอบๆ อย่างระแวง
“ทางนี้” เสียงหญิงสาวตะโกนเรียก
สาวใช้เงยหน้าขึ้นก็เห็นเด็กหญิงสามคนยืนอยู่ในศาลาน้อยบนเขาหินจำลอง
“แม่นางหก แม่นางเจ็ด แม่นางห้า” สาวใช้รีบย่อตัวเคารพ
แม่นางห้าอยู่ลำดับหน้าสุด แต่กลับเรียงไว้สุดท้าย ไม่ใช่สาวใช้ผู้นี้มึนงงไป แต่เป็นการแบ่งตามบ้านใหญ่บ้านเล็ก
“นังแก่ มาทำอะไรลับๆ ล่อๆ” แม่นางเฉิงเจ็ดกล่าว
แม่นางเฉิงหกสายตาแหลมคม เห็นจานที่สาวใช้ถืออยู่ จึงรีบกระตุกแขนเสื้อแม่นางเฉิงเจ็ดแล้วชี้ไป
“เจ้าถืออะไรไว้ ขโมยของในบ้านมาปรนเปรอตัวเองอีกแล้วหรือ!” แม่นางเฉิงหกกล่าว
ตอนนี้นางก็อายุสิบสองแล้ว ถึงอายุที่คุยเรื่องออกเรือนได้แล้ว ทั้งยังเริ่มเรียนรู้การดูแลบ้านเรือนกับแม่และ
นายหญิงที่ดูแลเรื่องในบ้านแล้ว นางรู้ดีว่าสาวใช้พวกนี้ขโมยของเก่งนัก
เมื่อโดนข้อหานี้ไป อย่างเบาก็แค่ไล่ออกไป อย่างหนักต้องส่งให้ทางการ สาวใช้ตกใจจนรีบคุกเข่าลง
“แม่นางหกเจ้าคะ ข้าไม่กล้าหรอกเจ้าค่ะ นี่เป็นของที่เจียวเหนียงกินเหลือจะทิ้งแล้ว ข้าเห็นว่าของกินดีๆ จะเสียของเอา ก็เลยจะเอาไปให้หลานกิน ไม่ได้ขโมยมาเจ้าค่ะ” นางเอ่ยสารภาพ
แม่นางเฉิงเจ็ดพูด ‘อ้อ’ เพิ่งจะรู้ว่าคนใช้ผู้นี้เป็นของเฉิงเจียวเหนียง เป็นเพราะนางรังเกียจคนสติไม่ดีนั่น เลยพาลรำคาญสาวใช้ผู้นี้ไปด้วย
“เป็นของเจ้าสติไม่ดีนั่นรึ ช่างมันเถอะ” นางเอ่ยพลางดึงแขนเสื้อของแม่นางหกไว้
แม่นางห้าข้างๆ เม้มปากยิ้ม แล้วส่ายหัว
สาวใช้พวกนี้แต่ละคนเจ้าเล่ห์เสียจริง โยนไปให้คนสติไม่ดี จะพูดอย่างไรนางก็มีเหตุผล ไม่กลัวจะโดนสอบสวน
แม่นางเฉิงหกได้ยินว่าเป็นคนของคนสติไม่ดี ก็จะปล่อยไปอย่างรังเกียจ แต่สายตาตกจับจ้องไปที่อาหารสีทองอร่ามจานนั้นไม่อาจละไปได้
จู่ๆ นางก็นึกถึงกลิ่นหอมหวนของวันนั้น ตอนที่เกาะหน้าต่างนางบ้านั่น
“นี่ เอาอันนั้นมา” นางกล่าว ยื่นมือชี้จานใบนั้น
สาวใช้ไม่กล้าชักช้า เวลานี้นางไม่กล้าคิดที่จะเอาของกลับบ้านแล้ว ขอแค่แม่นางทั้งสามไม่เอาเรื่องอีกเป็นพอ แล้วจึงรีบประเคนให้อย่างนอบน้อม
“เอาสิ่งนี้มาทำไม” แม่นางเฉิงเจ็ดปิดจมูก กล่าวอย่างรังเกียจ “อย่าไปติดโรคเสียสติเลย”
แม่นางเฉิงห้ารับจานที่สาวใช้ส่งมาให้ ประเคนมาตรงหน้าแม่นางเฉิงหกอย่างยิ้มแย้ม
“น้องสาว เจ้าจะเอามันมาเล่นอะไรหรือ” นางถาม
“พวกเรา เอาไปให้อาหารปลา” แม่นางเฉิงหกกลอกตาไปมาแล้วกล่าว
“ปลากินแล้วจะสติไม่ดี!” แม่นางเฉิงเจ็ดตะโกนกล่าว
“สติไม่ดีแล้วยิ่งดี พวกเราตกปลาก็ยิ่งง่ายขึ้นสิ” แม่นางเฉิงหกพูดพลางหัวเราะไปพลาง ยกกระโปรงขึ้นเดินไปทางสระบัว
แม่นางเฉิงเจ็ดหน้ามุ่ย
“อย่างนั้นข้าไม่เล่นกับเจ้าแล้ว” นางตะโกนขู่
แม่นางเฉิงหกไม่กลัวนาง เร่งเร้าแม่นางเฉิงห้าให้รีบมา
แม่นางเฉิงห้ายิ้มไปลากแม่นางเฉิงเจ็ดไปพลาง
“กินของคนสติไม่ดี ไม่ทำให้เสียสติหรอก อีกอย่างนี่ไม่ใช่ของนาง เป็นของบ้านพวกเราต่างหาก” นางยิ้มกล่าว
แม่นางเฉิงเจ็ดจึง ‘อ้อ’ รับคำ ยอมครึ่งไม่ยอมครึ่งเดินตามไป
สาวใช้ฉวยโอกาสหนีไปอย่างว่องไว
บีบเพียงแผ่วเบา แป้งที่กรุบกรอบก็กระจายบนพื้นน้ำ เพียงไม่กี่อึดใจก็ชักนำปลาตัวใหญ่ใต้ใบบัวขึ้นมากิน
“นี่อะไร ทำไมไม่เคยเห็น” แม่นางเฉิงหกกล่าว ให้อาหารปลาครู่หนึ่ง แต่ก็ทนความหอมของของกินในมือไม่ได้
จนต้องจ้องมองอยู่อย่างนั้น
“ไม่รู้ ข้าก็ไม่เคยเห็น” แม่นางเฉิงห้ากล่าว
“ของที่ให้คนสติไม่ดีนั่นกิน ก็ต้องไม่เหมือนของพวกเราเป็นธรรมดา” แม่นางเฉิงเจ็ดกล่าว ปิดจมูกยืนออกห่างสองสามก้าว
แม่นางเฉิงหกกลอกตาไปมา ยื่นมือไปบิดแล้วเอาเข้าปาก แม่นางเฉิงเจ็ดตกใจร้อง
“อ้า” แม่นางเฉิงหกก็ตะโกนออกมาตาม
แม่นางเฉิงห้าเข้าใจบ้างแล้ว ได้ยินว่าคนสติไม่ดีนั่นมีห้องครัวเป็นของตัวเอง แต่ไม่ได้ให้คนครัวไว้ ให้เพียงคนใช้แก่กับเด็กที่คอยทำความสะอาดบ้าน สาวใช้พวกนี้จะทำอาหารเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร แต่ทว่าคนสติไม่ดีก็ไม่ต้องกินอาหารดีอะไร สำหรับคนสติไม่ดีแล้ว กินแค่ให้อิ่มท้องเท่านั้น
อาหารนี้ไม่เคยเห็น ไม่ใช่อย่างที่พวกนางกินอยู่ประจำ คิดว่าน่าจะทำมาจากครัวของคนสติไม่ดีนั่นเป็นแน่ อร่อยก็แปลกแล้ว
ผ่านไปครู่หนึ่งแม่นางเฉิงหกไม่ได้คายออกมาอย่างที่นางคิดไว้ แต่กลับยื่นมือมาหยิบยัดเข้าปากอีก
“อร่อย!” นางเอ่ยพึมพำ
แม่นางเฉิงห้ากับแม่นางเฉิงเจ็ดเบิกตาโต มองดูแม่นางเฉิงหกที่เสียอาการคุณหนูบ้านใหญ่
“แม่นางหกสติไม่ดีไปแล้ว!” แม่นางเฉิงเจ็ดตะโกน ยกกระโปรงวิ่งหนี
ฮูหยินใหญ่เฉิงเพิ่งจะสงบหูไปได้สามวันก็ถูกลูกสาวโวยวายจนหูอื้อ
ลูกสาวคนนี้ เดิมทีอยากจะให้อยู่อีกสองสามปี ตอนนี้ดูแล้วให้รีบแต่งงานไปจะดีเสียกว่า
“ท่านแม่ ท่านแม่ ข้าจะกินอันนี้ ข้าจะกินอันนี้ด้วย” แม่นางเฉิงหกกล่าว คุกเข่าบนเบาะรองนั่ง เขย่าแขนแม่
โต๊ะเตี้ยตรงหน้ามีอาหารที่ถูกหักเป็นชิ้นกระจุยกระจายวางอยู่จานหนึ่ง
“แม่นางหก เจ้าอายุสิบสองปีแล้ว จะกินจุกจิกเช่นนี้ได้อย่างไร” ฮูหยินใหญ่ขมวดคิ้วกล่าว
“ท่านแม่ ข้าไม่อยากฟัง ท่านลำเอียง ทำของอร่อยให้เจ้าสติไม่ดีนั่น ไม่ให้ข้ากิน” แม่นางเฉิงหกกล่าวหน้ามุ่ย “ท่านยังอยากให้นางเป็นแม่นางหก ให้ข้าเป็นแม่นางเจ็ด!”
ฮูหยินใหญ่ปวดหัว
“อร่อยอย่างไรเล่า” นางยื่นมือมาบิคำหนึ่งเอาเข้าปาก ตาลุกวาว พยักหน้า “อืม ไม่เลว”
เห็นว่าท่านแม่ว่าดี แม่นางเฉิงหกยิ่งได้ใจ โวยวายจนฮูหยินใหญ่ทนไม่ไหว
“ไป ไปถามคนครัวที่ทำ” นางได้แต่กล่าว
เพียงไม่นาน สาวใช้ของเรือนเฉิงเจียวเหนียงก็มาคุกเข่าอยู่หน้าห้องอย่างกระวนกระวาย
คนใช้ทำงานหยาบเช่นนี้ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเข้ามาในห้อง
นางนึกว่าเกิดเรื่องแล้ว คำพูดของนางหลอกหญิงสาวในบ้านได้ แต่กับนายหญิงอย่างไรก็หลอกไม่ได้
คราวนี้คงแย่แน่ นางคงถูกไล่ออกเป็นแน่ ต้องโทษเจ้าสติไม่ดีนั่นแท้ๆ จะทำอาหารส่งเดชนี่ขึ้นมาทำไมกัน
สาวใช้ทั้งเกลียดทั้งกลัวก้มตัวลงบนพื้นลุกลี้ลุกลน
“นี่เจ้าทำหรือ” ฮูหยินใหญ่กล่าวถาม
สาวใช้ฟังสองรอบถึงจะฟังรู้เรื่องว่าถามอะไร
“ไม่ใช่ ไม่ใช่เจ้าค่ะ สาวใช้ปั้นฉินนั่นเป็นคนทำเจ้าค่ะ” นางรีบโบกไม้โบกมือกล่าวเสียงดัง
ปั้นฉินหรือ
ฮูหยินใหญ่นึกอยู่สักพักเพิ่งจะนึกออกว่าเป็นใครก่อนจะพยักหน้า ก็จริง ในเมื่อเหล่าฮูหยินโจวให้สาวใช้นี่รับใช้คนสติไม่ดีนั่น ก็ต้องเลือกมาแล้วอย่างพิถีพิถัน คนสติไม่ดีจะต้องการอะไร นอกจากกินอิ่มเสื้ออุ่น หากมีสาวใช้ทำอาหารเก่งก็เป็นเรื่องธรรมดา
“ท่านแม่ ข้าจะเอาสาวใช้คนนั้น” แม่นางเฉิงหกนั่งหลังตรงพร้อมเอ่ยขึ้น
……………………………………………………………………..