พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 4
บทที่ 4 เจียวเหนียง
Ink Stone_Romance
แม้ว่าที่นี่จะยังไม่ถึงเจียงหนัน แต่ฤดูร้อนที่นี่ก็ฝนตกบ่อย ลมฝนเมื่อคืนก็ค่อยๆ ซาลง เรือนที่เดิมทีก็ชื้นแฉะอยู่แล้ว ผ่านเพียงคืนเดียวตะไคร่ก็ขึ้นมาอีกชั้น
เสียงประตูดังเอี๊ยดอ๊าด สาวใช้ถือร่มกระดาษกับตะกร้าเข้ามาอย่างรีบร้อน เสียงเกี๊ยะไม้กระทบหินฟังดูร้อนรน นางวางร่มกระดาษไว้ตรงทางเดิน ก่อนจะเอ่ยเรียกนายหญิงในห้องเบาๆ
ไม่มีเสียงตอบรับจากในห้อง แต่ยังเห็นเงาคนนอนตะแคงหลังฉากกั้น
ใบหน้าสะสวยของสาวใช้ไร้ชีวิตชีวาไม่เหมือนยามอยู่ต่อหน้าผู้คน นางถอนหายใจด้วยความกังวล น้ำตาคลอเบ้า ถือตะกร้าเดินเข้าครัวที่อยู่ข้างๆ ไม่นานนักก็ยกน้ำแกงเดินเข้าห้องไปด้วยฝีเท้าว่องไวอย่างระมัดระวัง
เมื่อเดินอ้อมฉากกั้นมาก็เห็นสาวน้อยที่เดิมที่นอนอยู่ได้ลุกขึ้นมานั่งแล้ว สาวใช้ดีใจ แต่เมื่อดูอีกทีก็ต้องผิดหวัง
ดวงตาของสาวน้อยยังคงมีแต่ตาขาว หากน้ำลายที่มุมปากยังไม่หยุดไหลแล้วละก็ นางก็คือคนสติไม่สมประกอบดีๆ นี่เอง
“นายหญิง…” สาวใช้คุกเข่านั่งลงบนเสื่อรองนั่ง แล้วนำถ้วยน้ำแกงวางไว้บนโต๊ะเตี้ย นางร้องไห้เสียงสั่น “นายหญิง”
หญิงสาวไม่ตอบสนอง
“เจียวเหนียง เจียวเหนียง ยายป้อนข้าวให้เจ้ากินนะ” สาวใช้ยื่นมือมาเช็ดน้ำตา เปลี่ยนคำเรียกใหม่
สาวน้อยขยับตัวเล็กน้อย ดวงตาค่อยๆ กรอกหันมา
สาวใช้ดีใจอย่างมาก ถือถ้วยค่อยๆ ใช้ช้อนตักแล้วยื่นให้
ช้อนหยุดที่ริมฝีปากของสาวน้อยเพียงครู่ นางจึงอ้าปากแล้วกินลงไป
สาวใช้น้ำตาร่วงหล่นอีกครั้ง แต่มือยังคงไม่หยุดพัก ตักอีกช้อนหนึ่งแล้วยื่นไปให้
หลังจากกินไปสี่คำติดต่อกัน เมื่อยื่นให้อีกสาวน้อยก็ไม่อ้าเสียปากแล้ว
เพียงเท่านี้ก็ดีมากแล้ว สาวใช้วางถ้วยข้าวลงแล้วใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตา
“เจ้าบอกว่าข้าชื่อเจียวเหนียง…”
จู่ๆ เสียงของสาวน้อยก็โพล่งออกมา สาวใช้เงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ นางไม่รู้ว่าดวงตาของสาวน้อยกลับมาเป็นเหมือนคนปกติตั้งแต่เมื่อใด ถึงแม้ตาขาวยังคงมากกว่าตาดำอยู่เมื่อเปรียบกับคนทั่วไป มองดูแล้วแสนห่อเหี่ยวใจ
“นายหญิง! ท่านฟื้นแล้ว!” สาวใช้จับแขนเสื้อคลุมของนางไว้ น้ำตาไหลด้วยความดีใจ
สาวน้อยหายใจออกเบาๆ ดวงตากลิ้งกลอก ถึงแม้จะเฉื่อยๆ แต่ภายในเริ่มเผยความคล่องแคล่ว นางมองไปรอบๆ เหมือนกับไม่คุ้นชินที่ที่ตัวเองอยู่
“ปั้นฉิน นี่โรคข้ากำเริบเป็นครั้งที่เท่าไรของเดือนนี้แล้ว” นางกล่าวถาม
น้ำเสียงแผ่วเบา ราวกับไร้เรี่ยวแรง
“ครั้งที่สามแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้ปั้นฉินรีบตอบกลับ
สาวน้อยพูด ’อ้อ’ ตอบรับ
“เดือนที่แล้ว กี่ครั้ง” นางถามอีก “เจ้าเคยบอก แต่ข้าจำไม่ได้”
“นายหญิงไม่ต้องจำเจ้าค่ะ ไม่ต้องจำ บ่าวจำได้เจ้าค่ะ บ่าวจำได้” ปั้นฉินกล่าวอย่างดีอกดีใจ “ห้าครั้งเจ้าค่ะ”
สาวน้อยพูด ’อ้อ’ ตอบรับอีกครั้ง นางยกแขนขึ้นเท้าศรีษะของตนบนโต๊ะเตี้ย มองดูฉากกั้นเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ด้วยดวงตาที่แปลกประหลาด จึงดูเหมือนเหม่อลอยเสียมากกว่า
จู่ๆ สาวน้อยก็ตื่นกลัวขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมจ้องมองนางด้วยความพินิจ
“ถ้าอย่างนั้น อาการป่วยข้าก็ค่อยๆ ดีขึ้นแล้วสิ” สาวน้อยกล่าว
ปั้นฉินโล่งอก นางรีบพยักหน้า
“เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ นายหญิงหายแล้ว นายหญิงหายแล้ว” นางกล่าว
สาวน้อยเม้มปาก คล้ายอยากจะยิ้ม แต่ก็เหมือนใบหน้าตึงเกร็งจนทำไม่ได้
“ปั้นฉิน ข้าจำไม่ค่อยได้อีกแล้วว่าข้าเป็นใคร เรื่องในอดีต เจ้าเล่าให้ข้าฟังอีกที” นางกล่าว
“เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ” ปั้นฉินรีบพยักหน้าตอบรับ แล้วรีบคุกเข่าต่อหน้าสาวน้อย
ตอนนี้เป็นยุคราชวงศ์ต้าโจวรัชศกเฉียนหยวนปีที่ห้า นายหญิงแซ่เฉิง ชื่อเจียวเหนียง อยู่ในตระกูลเฉิงแถบแม่น้ำซีเหอเมืองเจียงโจว บิดาเป็นผู้ว่าการเมืองปิ้งโจว เดิมทีทั้งครอบครัวอาศัยอยู่ที่ปิ้งโจว เมื่อครึ่งปีก่อนครบวาระกลับเมืองเจียงโจว เนื่องด้วยอาการป่วยของเฉิงเจียวเหนียงจึงผ่อนผัดวันกลับ และอาศัยตามลำพังในวัดเต๋านอกเมือง
“ที่จริงแล้วนายหญิงถูกเลี้ยงดูในวัดเต๋ามาตั้งแต่อายุหกขวบเจ้าค่ะ” ปั้นฉินก้มหน้ากล่าว
“เพราะข้าเกิดมาเป็นเด็กสติไม่ดีงั้นหรือ” สาวน้อยถาม เหมือนว่าจะย้ำเตือนความจำอีกครั้ง แต่ก็เหมือนกับกำลังขบคิดสงสัย
ปั้นฉินก้มหน้าลง
“เจ้าค่ะ” นางกล่าว เหมือนนึกอะไรได้จึงรีบเงยหน้าขึ้น “ไม่ใช่ ไม่ใช่เจ้าค่ะ นายหญิงแค่ป่วย ป่วยเจ้าค่ะ ดูสิเจ้าคะ นายหญิงตอนนี้ก็หายดีแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
ความสงสัยบนใบหน้าของสาวน้อยยิ่งทวีคูณ
“แล้วทำไม ข้าถึงแทบจะจำเรื่องเหล่านี้ไม่ได้เลยเล่า” นางพูดพึมพำ
“นายหญิงป่วยมาสิบปี เป็นธรรมดาที่จะจำเรื่องเหล่านั้นไม่ได้ แต่ว่า…แต่ว่านายหญิงจำเหล่าฮูหยินได้ไม่ใช่หรือเจ้าคะ” ปั้นฉินกล่าว ควบคู่กับความร้อนใจเล็กน้อย
ท่านยายเหล่าฮูหยิน…
ภาพหญิงผมขาวที่กำลังส่งยิ้มมาให้ลอยขึ้นมาในหัวของสาวน้อย
เจียวเจียวเด็กดีของข้า…
“ท่านยาย…” สาวน้อยพึมพำ
เสียงพึมพำมาพร้อมกับความปั่นป่วนที่ปะทุขึ้นในหัวของนางที่เดิมทีก็แสนยุ่งเหยิงอยู่พอตัว อารมณ์และภาพหลากหลากปรากฏขึ้น แต่มองไม่ชัดทั้งยังจับต้องไม่ได้ เอาแต่ผุดขึ้นมาจนนางปวดหัวแทบระเบิด
“นายหญิง นายหญิงเจ้าคะ” ปั้นฉินเห็นสีหน้าเจ็บปวดของนาง ก็ตกใจเสียจนยกตัวขึ้นประคองนางไว้ นางตะโกนด้วยความตื่นตกใจ พลางตบบ่าสาวน้อยเบาๆ
ในภาพความทรงจำนั้น เหมือนมีมือคู่หนึ่งที่คอยปลอบประโลมนางเช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง ท่าทางของปั้นฉินทำให้สาวน้อยค่อยๆ สงบอารมณ์ลง ความเจ็บปวดมลายหายไป เหลือไว้เพียงความยุ่งเหยิงในหัว และความรู้สึกที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูก
“ข้าคือเฉิงเจียวเหนียง ป่วยเป็นโรคสติไม่สมประกอบ แม่ข้าเสียตั้งแต่ข้ายังเด็ก พ่อข้ามีภรรยาใหม่ ไม่มีใครชอบข้า เห็นว่าได้คำแนะนำจากเซียนให้ส่งข้าไปเลี้ยงในวัดเต๋า ต่อมาทิ้งข้าไว้แล้วจากไป” นางกล่าว
หลังจากที่อารมณ์สงบลง เสียงของนางก็มีพลังขึ้น แต่ทว่าความอ่อนโยนกลับหายไป น้ำเสียงแข็งกระด้าง ฟังดูไร้อารมณ์
ปั้นฉินก้มหน้าลง
เห็นบอกว่าเพราะร่างกายอ่อนแอเดินทางไกลไม่ได้ ยังบอกอีกว่าอีกสักพักจะให้คนมารับนางกลับบ้าน
แต่แท้จริงแล้วความจริงเป็นอย่างไร พวกเขาต่างรู้ดี
ตั้งแต่วินาทีที่เด็กไม่สมประกอบคนนี้ได้เกิดมา ก็เป็นความอัปยศของบ้านตระกูลเฉิง หากไม่ใช่เพราะแม่ของเฉิงเจียวเหนียงยืนกรานว่าจะเลี้ยง ก็คงโดนถ่วงน้ำตายไปตั้งแต่ตอนที่หมอบอกว่าเป็นโรคสติไม่สมประกอบตอนหนึ่งขวบแล้ว
เนื่องจากต้องดูแลเด็กสติไม่สมประกอบอีกทั้งยังถูกบ้านสามีทอดทิ้งและเย้ยหยัน แม่ของเฉิงเจียวเหนียงได้จากไปตั้งแต่เจียวเหนียงอายุได้หกขวบ บ้านตระกูลเฉิงยิ่งมีข้ออ้างที่จะไล่เด็กคนนี้ออกจากบ้านให้ไปอยู่วัดเต๋าเสีย
โชคดีที่ยังมีท่านยายคอยดูแล เจียวเหนียงจึงมีชีวิตรอดปลอดภัยในวัดเต๋าได้ แต่ทว่าเมื่อหนึ่งปีก่อน ท่านยายก็เสียชีวิตไปอีกคน ท่านลุงท่านป้าไม่มีทางที่จะยอมเสียเงินทองมากมายเพื่อดูแลลูกคนอื่น วัดเต๋าก็ขาดเงินเยียวยา อีกทั้งเวลานี้ผู้ว่าการเฉิงก็ยังรักษาราชการนอกปิ้งโจว ทิ้งเด็กคนนี้ไว้ที่วัดเต๋าเพียงลำพัง ถึงปากจะบอกว่าจะกลับมารับ แต่อยู่ห่างกันไกลกว่าแสนลี้ ใช่เรื่องง่ายเสียที่ไหนกัน
ชัดเจนแล้วว่านี่คือการทอดทิ้งเฉิงเจียวเหนียง ชีวิตของเฉิงเจียวเหนียงจึงลำบากขึ้นมาทันใด
แท้จริงแล้วบ้านตระกูลเฉิงทอดทิ้งเด็กคนนี้มาตั้งนานแล้ว
ห้องเงียบสงัด
“ปั้นฉิน ลำบากเจ้าต้องมาดูแลข้ามาตั้งนานหลายปี” สาวน้อยพูดอย่างช้าๆ
ปั้นฉินส่ายหน้า
“เหล่าฮูหยินช่วยชีวิตของปั้นฉินไว้ ปั้นฉินเคยรับปากกับเหล่าฮูหยิน จะรับใช้นายหญิงไปชั่วชีวิตเจ้าค่ะ”
นางกล่าว
ตั้งแต่แม่ของเฉิงเจียวเหนียงเสีย ท่านยายก็รู้ว่าคนบ้านตระกูลเฉิงพึ่งพิงไม่ได้ นายพึ่งไม่ได้ ไหนเลยบ่าวจะทุ่มเทให้ เหล่าฮูหยินจึงตั้งใจส่งสาวใช้มาไว้สองคน แก่คนหนึ่ง สาวคนหนึ่ง เพื่อคอยตามรับใช้ข้างกายเฉิงเจียวเหนียงสาวใช้ที่อายุมากได้ป่วยตายไปเมื่อปีที่แล้ว ตอนนี้เหลือปั้นฉินเพียงคนเดียว
สาวน้อยมองดูนางพลางขยับมุมปากเล็กน้อย ปั้นฉินคุ้นชินกับท่าทางของนางแล้ว รู้ว่านางกำลังยิ้มกับตน
สาวใช้รีบเผยยิ้ม ทั้งที่ในตายังมีน้ำตาคลออยู่ มองดูน่าขันยิ่งนัก
ขนาดยิ้มยังยากขนาดนี้เชียวหรือ สาวน้อยยื่นมือออกมาลูบหน้าตัวเอง ดั่งร่างกายนี้ไม่ใช่ของนางอย่างนั้น
แต่ยังดีที่ตอนนี้เดินทรงตัวได้แล้ว พูดได้แล้ว เพียงแต่บางครั้งอาการเหม่อลอยกำเริบจึงหมดสติไป นางไม่ชอบแสงแดดแต่ชอบความเย็นชื้น ทว่าโดยรวมแล้วอาการนางดีขึ้นเรื่อยๆ
เฉิงเจียวเหนียง…
มือของนางค่อยๆ กดนวดบนใบหน้า บนผิวเนียนนุ่ม…
ความรู้สึกไม่คุ้นชินกับตัวเองนั้นช่างแปลกยิ่งนัก แต่ทว่าในหัวยังคงมีความทรงจำผุดขึ้นมา ความทรงจำที่แตกละเอียด ไม่ปะติดปะต่อของเฉิงเจียวเหนียง รวมถึงความทรงจำแปลกประหลาดบางอย่าง เช่นสามารถรักษาโรคได้
………………………………………………………