พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 42
บทที่ 42 สงบสุข
Ink Stone_Romance
แม้จะเตรียมใจไว้ก่อนล่วงหน้านานแล้วว่าจะต้องมาเจอกับความยากลำบากกว่าตอนที่อยู่บ้านมาก แต่เมื่อมาเจอกับตัวเองจริง สาวใช้ก็ยังคงรู้สึกโกรธและเสียใจ
“ไอ้ทาสชั่วกล้าดียังไงถึงทำเช่นนี้ได้!” นางกล่าว “ที่บ้านขายทาสรับใช้ไปจำนวนมากขนาดนี้ ยังไม่ได้รับบทเรียนกันอีกหรือ เขาไม่กลัวว่าพวกเราจะบอกให้ที่บ้านรู้หรือเจ้าคะ”
“เมื่อกล้าทำ ก็ไม่กลัวหรอก” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว “ข้าเดาว่าเขาคงตกลงกับเจ้าอาวาสเรียบร้อยแล้ว”
เจ้าอาวาสหรือ
สาวใช้นั่งหลังตรง
“นายหญิงหมายความว่าเจ้าอาวาสรู้เห็นเป็นใจหรือเจ้าคะ” นางถาม
“ไม่ใช่แค่เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดหรอก แต่น่าจะเป็นผู้บงการเลยเสียมากกว่า” เฉิงเจียวเหนียงกล่าวพร้อมกับถือหนังสือ โดยยังไม่ได้เปิดอ่าน
“ข้าจะไปหานางเจ้าค่ะ” สาวใช้พูดพร้อมกับลุกขึ้น
“เจ้าไปหานาง จะพูดอะไรกับนางหรือ” เฉิงเจียวเหนียงถาม “ในเมื่อนางกล้าทำเช่นนี้ ก็คงมีข้อแก้ตัวต่างๆ นานาไว้รอแล้ว ในเมื่อข้าถูกส่งมาอยู่ที่นี่ หากเกิดเรื่องทะเลาะขึ้นมาอีก ก็เหมือนทำผิดในเรื่องเดิมซ้ำๆ ญาติพี่น้องในตระกูลก็ไม่ชอบใจนักหรอก ยิ่งไปกว่านั้น ครั้งนี้ไม่มีคนของตระกูลโจวแล้วด้วย
“ท่านหญิงเจ้าคะ” สาวใช้นึกบางอย่างออกแล้วนั่งหลังตรง “ตระกูลโจวส่งคนมาอยู่ที่วัดนี้สองสามคนพอดีเจ้าค่ะ หรือว่าเราไปหาพวกเขาดีหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่ดี” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
สาวใช้มองหน้าเฉิงเจียวเหนียง
“พวกเขามาถึงก่อนที่พวกเราจะมาถึงเสียอีก” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว “ข้าถูกส่งมาที่นี่ เกิดอะไรขึ้นกับข้าบ้าง มีหรือที่พวกเขาจะไม่รู้”
สาวใช้รู้สึกเศร้า
“ใช่เจ้าค่ะ หากตอนนั้นพวกเขาไม่ช่วยเช่นไร ตอนนี้ก็คงไม่ช่วยเช่นนั้น” นางก้มศีรษะลงแล้วพูด
“อีกอย่าง ครั้งที่แล้วก็เป็นแค่เรื่องบังเอิญ” เฉิงเจียวเหนียงกล่าวต่อ “หากคนอยากช่วยจริงๆ แค่เราเอ่ยปาก เขาก็ช่วยแล้ว แต่บัดนี้พวกเขาได้สิ่งที่ต้องการจากตระกูลโจว ข้ารู้จักคนพวกนี้ดี”
ถ้าเป็นเช่นนั้นก็คงช่วยไม่ได้จริงๆ
สาวใช้นิ่งเงียบ
“หากพูดกันตรงๆ คนบ้าอย่างข้าคือต้นเห็นของเรื่องทั้งหมด” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
มิฉะนั้นในฐานะเป็นลูกสาวคนโตของตระกูลเฉิง แม้ว่ามารดาจะเสียชีวิตนานแล้ว คงไม่มีใครกล้าดูถูกดูแคลนได้ถึงเพียงนี้หรอก
สาวใช้ร้องไห้
คำพูดประโยคเดียว เหตุใดถึงทำให้รู้สึกเศร้าได้ถึงเพียงนี้
“นายหญิงไม่ได้บ้านะเจ้าคะ” นางกล่าว
“เดิมทีข้าอยากจะค่อยๆ ดีขึ้นทีละนิด หายดีอย่างเงียบๆ ข้าไม่สนใจหรอกว่าคนอื่นจะปฏิบัติต่อข้าเช่นไร ข้าไม่ได้เอามาใส่ใจ แต่บัดนี้ดูเหมือนว่าข้าคิดเช่นนั้นไม่ได้แล้ว” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
สาวใช้เศร้าใจอีกครั้ง
“ที่นี่ไม่ดีเลยเจ้าค่ะ อาจทำให้อาการป่วยของนายหญิงหายช้าลง” นางกล่าว
“ไม่นะ เราอยู่กันที่นี่ล่ะดีแล้ว” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว “ช้าชอบที่นี่มาก”
สาวใช้มึนงง
นี่เรียกว่าดีได้อีกหรือ มันดีตรงไหนกัน
“คนบ้ามาอยู่ที่นี่ก็ดีเหมือนกัน”
ดึกแล้ว แต่ห้องที่อยู่อีกฝั่งกลับมีคนที่ถูกเรียกว่าชายส่งฟืนนั่งอยู่ตรงข้ามเจ้าอาวาส ณ เวลานี้ เจ้าอาวาสไม่หลงเหลือความทรงเกียรติเหมือนตอนกลางวันแล้ว
อันที่จริงนางขี้เกียจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทำให้อยู่ในบ้านต่อไปไม่ไหว และตระกูลเป่ยเฉิงเองก็ไม่ยอมให้คนสกุลตนไปเป็นทาสรับใช้หรอก งานจิปะถะข้างนอกคงไม่ถึงมือหญิงสาวในตระกูลแน่ คิดไปคิดมา ก็พลันนึกถึงวัดเต๋าที่ตั้งยู่บนภูเขา จึงอาศัยข้ออ้างว่าญาติที่ตายไปมาเข้าฝันให้ไปใฝ่ลัทธิเต๋า สวดมนต์ปฏิบัติธรรม จึงใช้เวลาอยู่หลายวันถึงจะท่องจำคัมภีร์เต๋าได้บ้าง จากนั้นก็ไปอ้อนวอนนายท่านจนได้ย้ายมาอยู่ที่นี่
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ไม่ว่าจะกินหรือดื่มก็มีคนหามาให้ แม้ว่าจะดูยากจน แต่ก็ใช้ชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย ไร้กังวล ต่อมานางอาศัยเสน่ห์ที่มี ทำให้ชายหนุ่มละแวกนี้ต่างเข้ามาติดพัน ยิ่งทำให้นางเป็นอิสระไม่มีข้อผูกมัดใดๆ ทั้งสิ้น
“ข้าคิดว่าจะไม่สะดวกเสียอีก” ชายส่งฟืนกล่าว พร้อมกับกินเหล้าจากปากของเจ้าอาวาส “คิดไม่ถึงเลยว่าวันดีจะมาถึงแล้ว”
ในขณะที่เขาพูด มือหยาบของเขาก็หยิบเนื้อแกะขึ้นมาจากโต๊ะส่งเข้าปากแล้วเคี้ยว
“นางบ้านั่นไม่ได้มีประโยชน์อะไร ชีวิตนี้ก็พึ่งตระกูลเฉิงเลี้ยงดู บัดนี้ถูกส่งให้มาอยู่กับข้าที่นี่ ก็คิดเสียว่าเลี้ยงหมูไว้ตัวหนึ่ง” เจ้าอาวาสหัวเราะกล่าว พร้อมกับขึ้นขี่บนร่างของหนุ่มใหญ่ผู้นั้น นางดื่มเหล้าจนหน้าเริ่มแดงก่ำ
“เจ้าตั้งใจยักยอกเสบียงของพวกเขาเช่นนี้ เจ้าไม่กลัวว่าพวกนางจะไปฟ้องหรือ” ชายหนุ่มถาม
“คนบ้าเช่นนางหรือ!” เจ้าอาวาสหัวเราะเบาๆ “ยิ่งไปกว่านั้นข้าได้ตกลงกับคนที่มาส่งอาหารเรียบร้อยแล้ว เขาสัญญาว่าจะไม่โลภ แล้วข้าค่อยให้ผลประโยชน์อื่นๆ ตอบแทนอีกที ดังนั้นหากต้องยืนยันต่อหน้ากัน ชายผู้นั้นก็จะเป็นพยานปากเอกให้อย่างแน่นอน”
“เจ้าให้ประโยชน์อะไรแก่เขาหรือ” ชายหนุ่มยิ้มถามแล้วจับไปที่ร่างกายของหญิงสาว จนนางถึงกับหัวเราะออกมา
“บัดนี้เหลือเพียงสาวใช้นางนั้นแล้ว” หญิงสาวพูดต่อด้วยรอยยิ้ม
เมื่อได้ยินนางพูดถึงสาวใช้นางนั้น ดวงตาของชายผู้นั้นก็แสดงอาการหิวโหยขึ้นมาทันที แม้ว่าหน้าตาของนางจะดูธรรมดา แต่ยังดูอ่อนเยาว์มาก รสชาติย่อมดีกว่าหญิงวัยกลางคนผู้นี้เป็นแน่
“หากสาวใช้นั้นฟ้องว่าเจ้า จงใจทำให้ลำบากเล่า” ชายผู้นั้นจงใจจุดประเด็นนี้ขึ้นมา
“สาวใช้นางนั้นถูกส่งมาที่นี่ คงเป็นเพราะว่าอยู่บ้านนั้นต่อไปไม่ไหวแล้ว วันนี้ข้าตบหัวแต่อีกวันลูบหลัง ดูแลนางให้กินดี อยู่ดี แล้วค่อยๆ เล่าประโยชน์ของวัดแห่งนี้ให้แก่นาง” หญิงสาวยิ้มกล่าว “เจ้าว่านางจะยอมติดตามรับใช้คนบ้านั่นโดยต้องทนกับทุกข์ยากลำบากต่อไป หรือว่าจะเลือกเสวยสุขกับข้าเล่า”
“ข้าไม่รู้ว่านางจะเลือกอะไร แต่ที่แน่ๆ คือ ข้าเลือกเสพสุขกับเจ้า” ชายผู้นั้นแลดูมีความสุขมาก
อีกไม่นานบนเตียงหลังนี้จะมีสาวน้อยบริสุทธิ์ไร้เดียงสามาเพิ่มอีกหนึ่งคน เมื่อนึกถึงรสชาตินั้น ชายหนุ่มก็ร้อนรุ่มไปทั้งตัวจนแทบรอไม่ไหว เขาอยากจะกดหญิงสาวไว้แล้วระบายความใคร่ในตัวออกมา
ค่ำคืนของฤดูใบไม้ร่วง ทำให้เสียงหัวเราะในวัดได้ยินไม่ชัดเจนนัก เด็กหญิงทั้งสองที่อยู่ในห้องครัวซุกตัวเข้ากับเบาะที่ทำจากกองฟางแล้วแนบหูฟัง
“พี่สาว เราหนีกันเถอะ”
“จะหนีไปไหนได้เล่า หากหนีออกไปก็ตายอยู่ดี หากอยู่ที่นี่ต่อไปก็คงมีชีวิตรอดไปได้อีกหลายวัน”
“แล้วหลังจากนั้นเล่า”
“รอดถึงเมื่อใดเมื่อนั้น ปัจจุบันยังไม่รู้ว่าจะรอดหรือไม่ จะไปคิดถึงเรื่องอนาคตทำไมเล่า”
พอรุ่งเช้าสาวใช้ที่ไม่ได้นอนมาทั้งคืนก็ลุกขึ้นมา เมื่อวานหลังจากนายหญิงเรียกให้กลับไปโดยทิ้งข้าวสารไว้ นึกแล้วก็เสียดาย อาหารของวันนี้จะทำอย่างไรดีเล่า
“ไม่ต้องกังวลไป เดี๋ยวก็มีคนเอามาให้”
เมื่อนางเอ่ยกับนายหญิงอย่างระมัดระวัง เฉิงเจียวเหนียงก็พูดกับนางเช่นนี้
ใครกัน หรือว่าจะเป็นทาสชาติชั่วผู้นั้น สำนึกผิดแล้วจึงเอามาส่งให้
เฉิงเจียวเหนียวยังคงหลับอยู่บนเตียงหลังม่าน สาวใช้จึงเปิดประตูอออกไปอย่างระมัดระวัง ก่อนจะเหม่อมอง ทันใดนั้นก็มีคนมาเคาะประตูบ้าน
“แม่นางปั้นฉิน แม่นางปั้นฉิน “
หญิงสาวนิ่งอึ้ง หรือว่าจะเป็น …
นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะก้าวไปเปิดประตู สาวใช้เห็นเจ้าอาวาสยืนอยู่พร้อมกับเด็กหญิงสองคนที่ยืนอยู่ข้างหลังและอุ้มตะกร้าไว้คนละอันพร้อมกับข้าวสารกับผักข้างใน
จริงๆ ด้วย! สาวใช้ประหลาดใจนัก
นางรู้ว่านายหญิงไม่ได้บ้า ซึ่งไม่ใช่แค่ไม่ได้บ้าแถมยังหยั่งรู้อนาคตด้วย
เมื่อเห็นสาวใช้ประหลาดใจเช่นนี้ รอยยิ้มของเจ้าอาวาสก็เก็บซ่อนความพอใจไว้ไม่อยู่
“เมื่อวานนี้ข้าทำให้เจ้าตกใจกลัวใช่หรือไม่” นางกระซิบเบาๆ พร้อมกับเก็บความพอใจนั้นไว้ แล้วให้เด็กหญิงก้าวเท้ามาด้านหน้า “เอาของกินไปเถอะ อย่าโกรธไปเลยหนา”
นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะปล่อยให้พวกนางเข้ามา
“คนพวกนั้นยอมไม้อ่อน แต่ไม่เกรงกลัวไม้แข็ง จากนี้ไปอย่าชวนทะเลาะอีกเชียวล่ะ” เจ้าอาวาสกล่าว “พวกเราอาศัยพวกเขาส่งอาหารมาให้ตามเวลาและจำนวนที่กำหนด ก็อาจต้องได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมเช่นนี้ไปบ้าง หากขาดเหลืออะไร เจ้าก็มาบอกข้า ข้าอยู่ที่นี่มานาน อายุก็มากอยู่ ดังนั้นเรื่องเอาชีวิตรอด น่าจะมีประสบการณ์มากกว่าพวกเจ้า”
ท่าทางของนางดูเหมือนเป็นคนมีน้ำใจ แต่ภายในก็มีความเหนื่อยหน่ายแฝงอยู่ด้วย หากไม่ใช่เพราะสาวใช้ได้ยินจากปากของนายหญิงที่คาดว่านางมีส่วนร่วมกับเรื่องนี้แล้ว สาวใช้คงเชื่อนางไปแล้ว
“จะรังแกกันเกินไปแล้ว” สาวใช้บ่นพึมพำ
ไม่รู้ว่าหมายถึงเจ้าอาวาสหรือบ่าวที่ส่งอาหารกันแน่
…………………………………………………………………….