พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 46
บทที่ 46 ไปเที่ยว
Ink Stone_Romance
เมื่อท้องฟ้าเริ่มมืดลง สาวใช้ที่ยืนอยู่มุมห้องของวิหารกลางก็อดหนาวสั่นไม่ได้
อากาศบนเขานี้ เมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม่ร่วงแล้วก็จะหนาวกว่าตอนอยู่ที่บ้านมาก
นางทนไม่ไหวจนต้องกอดไหล่ตนเอง ยามค่ำคืนกลางเขาจะมืดกว่าและเงียบกว่าที่ใด เสียงร้องของนกและสัตว์ที่ไม่รู้จักชื่อก็ชัดเจนเป็นพิเศษ
นางทนไม่ไหวจนกรามเริ่มสั่นเครือ ในที่สุดเสียงเคาะประตูอันแผ่วก็เบาลอยมาจากที่ที่ไม่ไกลนัก
ประสาทของสาวใช้เกร็งตึงในทันใด นางหยุดหายใจไป แนบตัวกับกำแพงแน่น
เสียงเคาะประตูดังขึ้นไม่นาน ก็มีเงาคนเล็กๆ จากเรือนเจ้าอาวาสเปิดประตูออกมา
แม้จะมีความมืดมิดดั่งน้ำหมึกคั่นกลาง สาวใช้ก็คล้ายว่าจะมองเห็นเงาคนผู้นี้ได้อย่างชัดเจน ตัวของนางสั่นเทา นิ้วมือจิกฝ่ามือแน่น ความโกรธและความกลัวผสมปนเปกันไปหมด
เงาคนเงาใหญ่หนึ่งเงา เงาเล็กหนึ่งเงา ทั้งเข้าไปในเรือนทางนั้นอย่างรวดเร็วแล้วก็ใส่สลักประตู
สาวใช้รออีกสักครู่แล้วจึงวิ่งออกมาด้วยเนื้อตัวสั่นเทา
กว่าจะทำให้มือที่สั่นนั้นหยุดนิ่งได้แล้วไขกลอนก็ใช้แรงมากโข พอเข้าไปได้ก็รีบใส่สลัก สาวใช้พิงบานประตูหอบหายใจอย่างแรง แต่จู่ๆ กลับเห็นเงาคนยืนอยู่ตรงทางเดิน ทำเอานางตกใจจนกรีดร้องออกมา
“ข้าเอง” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
สาวใช้ตบหน้าอกตนเอง นางหอบอยู่หลายทีจึงหายเหนื่อยขึ้นมาหน่อย
“นายหญิง ท่านมายืนทำอะไรตรงนี้เจ้าคะ” นางเดินเข้าไปหาในทันที มองผ่านแสงไฟในห้อง เห็นเฉิงเจียวเหนียงที่สวมเพียงถุงเท้ามายืนตรงทางเดินก็รีบเอ่ยขึ้น
“ดูท้องฟ้า” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว เงยหน้าเล็กน้อยมองดูท้องฟ้ายามราตรี
ผืนฟ้ามืดมิด ไม่มีแม้แต่แสงดาว
สาวใช้ละสายตาออกมา มีอะไรน่าดูกัน…
“นายหญิง อากาศเย็นแล้ว อย่ามายืนตรงนี้เท้าเปล่าสิเจ้าคะ” นางกล่าวพร้อมพยุงเฉิงเจียวเหนียงเข้าไป
ทั้งสองนั่งอยู่หน้าแคร่ สาวใช้สีหน้าตระหนก
“นายหญิง โจรชั่วนั่นมาจริงๆ เจ้าค่ะ” นางกล่าวเสียงสั่นเครือ “ทำอย่างไรดีเจ้าคะ”
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“อย่างนั้นก็ดีเลย” นางกล่าว
คนชั่วมาทำไมถึงดีกันเล่า สาวใช้ไม่เข้าใจ แต่นางก็ไม่ได้ถาม นางมองดูนายหญิงใต้แสงไฟ หากเป็นหญิงอื่นที่ประสบเรื่องอัปยศเรื่องน่าตกใจเช่นนี้ เกรงว่าจะโมโหเสียใจร้องไห้ฟูมฟายไปแล้ว แต่ตั้งแต่แรกจนบัดนี้ นายหญิงสีหน้ายังดูนิ่งเฉยอยู่ตลอด
มองดูใบหน้าที่เรียบเฉยของนาง จิตใจที่หวาดกลัวของสาวใช้ก็เหมือนว่าจะได้รับการปลอบประโลม ขณะเดียวกันก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างขมขื่น ใครจะคิดว่าคนบ้าคนหนึ่งจะสามารถปลอบคนได้ อีกยังคล้ายว่าจะเป็นที่พึ่งได้อีกด้วย
“หากเขาไม่มา กลับอันตรายกว่า จะต้องเสี่ยงเพราะเข้าตาจนเป็นแน่ เช่นนั้น เจ้าและข้าจะไม่มีเวลากัน” เฉิงเจียวเหนียงมองดูสาวใช้ ตัดสินใจพูดต่อไปเรื่อยๆ ไม่เช่นนั้นหากสาวใช้ผู้นี้หวาดกลัวไม่หยุด จะให้นางทำพลาดเป็นแน่ “เขามา ก็แปลว่าเขากลัว มาเพื่อคิดวิธีรับมือร่วมกับหญิงผู้นั้น วิธีนี้จะต้องชี้ว่าข้าเป็นคนบ้า พูดให้ดูว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด แล้วปลอบเจ้า ไม่ให้เจ้าพูดไป เช่นนี้ พวกเขาจะไม่ทำให้เจ้าและข้าลำบากใจอีก พวกเราจะสงบสุขได้ชั่วคราว”
สาวใช้จิตใจสงบในทันที
“ใช่หรือไม่ พรุ่งนี้เจ้าก็รู้เอง” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว แล้วค่อยๆ เอนตัวลง
พูดคำพูดเหล่านี้ทำเอานางเหนื่อยล้าหมดแรง
สาวใช้รีบช่วยนางจัดหมอน ห่มผ้าผืนบาง นางเฝ้ามองดูเฉิงเจียวเหนียงหลับตาลงก่อนจะนั่งลงตรงหน้าแคร่
นางนึกย้อนถึงคำพูดที่เฉิงเจียวเหนียงพูดเมื่อครู่ แล้วนั่งเหยียดขาตรงในทันใด
“นายหญิง ท่านบอกว่าสงบสุขได้ชั่วคราว แล้วหลังจากนั้นเล่า พวกเขายังจะทำกับเรา…” นางเอ่ยเสียงสั่นเครือ
เฉิงเจียวเหนียงนอนอยู่ไม่ขยับเขยื้อน และไม่ได้พูดอะไร ดูเหมือนว่าจะหลับแล้ว
สาวใช้ไม่กล้าถามอีก อย่างไรเสียเรื่องนี้หากพูดถึงความกลัว นายหญิงกลัวกว่าตนอีก อย่าซ้ำเติมนางอีกเลย
นางดับไฟแล้วปลดมุ้งลง
ทุกวันนี้งานประจำวันทั้งหมดนางต้องทำอยู่คนเดียว กลางวันทำไม่หมด งานจำพวกขัดล้างและดองผักต้องทำในตอนกลางคืน
ไฟในห้องครัวสว่างขึ้น เงาเล็กๆ ยังคงยุ่งง่วนอยู่
เฉิงเจียวเหนียงในห้องค่อยๆ พลิกตัว ลืมตาขึ้นมาเล็กน้อย
“หลังจากนั้นหรือ หลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่มีโอกาสแล้ว” นางกล่าวช้าๆ
ยามฟ้าสาง เมื่อได้ยินว่าเฉิงเจียวเหนียงยังจะออกไปเดินเล่นอีก สาวใช้แทบจะร้องไห้ออกมา
“นายหญิงเจ้าคะ พวกเราอยู่ในบ้านเถอะเจ้าค่ะ ออกไปข้างนอกอันตรายเกินไปนะเจ้าคะ” นางกล่าว
“อยู่ในบ้าน เจ้าจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่ามีอันตรายอะไรบ้าง แล้วจะไม่มีวิธีรับมือ นี่สิอันตรายที่สุด” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว จับแขนของนาง “ไปเถอะ ไม่ต้องกลัว”
ไม่ต้องกลัวจริงหรือ
สาวใช้ตัวสั่นเปิดประตูออก ก็ต้องตกใจจนกรีดร้องออกมา แล้วคว้าสลักประตูมาถือไว้ในมือ
“นายหญิงอภัยให้ข้าด้วย นายหญิงอภัยให้ข้าด้วย” ชายหนุ่มคุกเข่าอยู่หน้าประตูคำนับหัวโขกพื้นตึงตัง “เมื่อวานเป็นความผิดข้าเองที่ล่วงเกินนายหญิง ข้ายอมให้ตีให้ทำโทษตามใจท่าน ขอแค่นายหญิงไว้ชีวิตข้าด้วย”
เขาพูดพลางร้องไห้ฟูมฟาย
“บ้านข้ายังมีแม่อายุแปดสิบ ลูกสามขวบ ทั้งบ้านข้านั้นหวังว่าข้าจะมีชีวิตรอด” เขาตะโกนพลางโขกหัว “นายหญิงไว้ชีวิตข้าเถิด”
เจ้าอาวาสที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็รีบตะคอกใส่
“เจ้าล่วงเกินนายหญิงเช่นนี้แล้วยังจะอยากมีชีวิตอยู่อีกหรือ” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงโมโห
“ท่านเซียนหญิง ขอท่านเซียนหญิงพิจารณาด้วยเถิด วันนั้นข้าไม่ได้ตั้งใจจะเข้าเรือนนายหญิงจริงๆ ข้าได้ยินนายหญิงเรียกคน จึงเข้าไปดู ข้าไม่ได้ทำจริงๆ นะขอรับ” ชายหนุ่มตะโกนร้องเรียกความยุติธรรม “ไม่เชื่อพวกท่านก็ลองถามนายหญิงดูสิขอรับ”
“นายหญิงข้าสติไม่สมประกอบ เจ้าพูดอะไรนางก็ว่าตามนั้น จะยืนยันได้อย่างไร” เจ้าอาวาสกล่าว
“อย่างนั้นจะให้พวกท่านพูดอะไรก็ได้หรือขอรับ ข้าน้อยถูกใส่ร้าย!” ชายหนุ่มตะโกนโหวกเหวก ท่าทางเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างนั้น
สาวใช้ดูแล้วฟังแล้วโมโหอยู่ในใจจนตัวสั่นเทา นี่ต้องเป็นวิธีรับมือของชายโฉดหญิงชั่วที่คิดไว้เมื่อคืนเป็นแน่!
นึกว่านายหญิงของนางเป็นคนบ้า จึงอยากจะโยนทั้งหมดนี้ให้เป็นความผิดของนายหญิง พวกเจ้าพูดอะไรก็ว่าตามนั้น คนบ้าพูดอะไรไม่ได้อยู่แล้วนี่!
เพียงแต่พวกเขาไม่รู้ว่านายหญิงของนางไม่ใช่คนบ้า
สาวใช้กำสลักประตูก้าวเข้ามากำลังจะปริปากพูด
เสียงของเฉิงเจียวเหนียงดังขึ้นมาจากข้างหลังก่อน
“ไปเที่ยว จับผีเสื้อ” นางกล่าว
สาวใช้อึ้งไป เจ้าอาวาสก็อึ้งไปเช่นกัน แต่ชายที่คุกเข่าอยู่ดีใจเป็นบ้า
“ดูสิ ดูสิขอรับ เมื่อวานก็พูดแบบนี้แหละ!” เขาตะโกนกล่าว ยื่นมือไปชี้เฉิงเจียวเหนียง “เมื่อวานนางเองที่เรียกข้าเข้าไป แล้วก็บอกให้ข้าไปจับผีเสื้อให้นาง ข้าบอกว่าเวลานี้บนเขาไม่มีผีเสื้อ นางก็ร้องไห้โวยวาย ข้าตกใจจะเข้าไปปลอบนาง แล้วพวกท่าน…พวกท่านก็เข้ามา ไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรก็เข้ามาตีข้า!”
คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าคนบ้านี่จะพูดได้ อีกทั้งยังพูดได้ถูกจังหวะพอเหมาะพอดีเสียจริง
สีหน้าดีอกดีใจของชายหนุ่มยากจะปกปิดไว้ เขาลุกขึ้นมาจากพื้น
ในใจสาวใช้นั้นก็ตกตะลึง แต่ก็เข้าใจที่นายหญิงย้ำเตือน นางถือสลักประตูไว้ไม่ได้เดินเข้าไปอีก
“อย่างนั้น…ถึงอย่างนั้นเจ้าก็เข้าเรือนข้ามาตามใจชอบไม่ได้ นายหญิงข้าเป็นคนสติไม่สมประกอบไม่รู้ความ เจ้า… เจ้าก็ไม่รู้ความอย่างนั้นหรือ” นางกล่าวเสียงสั่นเครือ
สำเร็จแล้ว เจ้าอาวาสและชายหนุ่มผู้นั้นโล่งใจ
“ข้าไม่รู้ว่านายหญิงเจ้าเป็นคนสติไม่สมประกอบนี่” ชายหนุ่มกล่าวเสียงโกรธเคือง
“พอแล้ว หวงเอ้อร์หลัง เจ้าอย่ามาได้ประโยชน์แล้วมาพูดนั่นพูดนี่ ข้าเห็นว่าคนแก่และเด็กบ้านเจ้าลำบากจึงให้เจ้ามาส่งฟืนหาเงินได้ ให้ท้ายเจ้าจนไม่รู้กฎระเบียบ ใครให้เจ้าเที่ยวเดินในวัดของข้าไปเรื่อย!” เจ้าอาวาสตะโกนกล่าว จ้องชายหนุ่มตาเขม็ง
ชายหนุ่มเบะปากอย่างฝืนใจไม่พูดอะไรต่อ
“เอาล่ะ เอาล่ะ ในเมื่อเป็นการเข้าใจผิด แม่นางปั้นฉินอย่าได้โกรธเคืองไปเลย” เจ้าอาวาสกล่าวแล้วจ้องชายหนุ่มผู้นั้น “ยังไม่รีบไสหัวไปอีก ครั้งนี้ไว้ชีวิตเจ้า คราวหลังไม่ต้องมาส่งฟืนให้แล้ว”
ชายหนุ่มบ่นพึมพำ ก่อนจะหันหลังแล้วเดินไป
เจ้าอาวาสโล่งใจยิ้มพลางยื่นมือไปเอาสลักประตูในมือปั้นฉินมาถือไว้
“เอาล่ะ เอาล่ะ ข้าไล่เขาไปแล้ว คราวหลังไม่ให้เขาเข้าวัดมาแม้แต่ครึ่งก้าว แม่นางปั้นฉินหายโกรธเถิด ข้าไม่ดีเอง” นางกล่าว
ปั้นฉินกัดริมฝีปากล่าง แทบอยากจะเอาสลักประตูเคาะหัวหญิงผู้นี้สักที
“ไปเที่ยวกัน ไปเที่ยวกัน” เฉิงเจียวเหนียงพูดอยู่ข้างหลัง
ปั้นฉินปล่อยมือ เจ้าอาวาสเห็นว่านางเชื่อฟังก็ดีใจยิ่งนัก
“ดีมาก ดีมาก น้องสาวคนเก่ง ครั้งนี้ทำเจ้าตกใจเสียแล้ว” นางกล่าว “คืนนี้ข้าเข้าครัวเอง ทำอาหารให้น้องเป็นการเรียกขวัญ”
สาวใช้ก้มหน้าไม่อยากจะมองหน้านางเลยสักนิด
“ข้าพานายหญิงไปเที่ยวนะเจ้าคะ” นางกล่าว
“ได้ ได้ ไปเถอะ” เจ้าอาวาสกล่าว นางยิ้มพลางตบแขนของตน แล้วกล่าวอย่างทอดถอน “ลำบากเจ้าแล้วจริงๆ”
สาวใช้ไม่พูดอะไรพลางพยุงเฉิงเจียวเหนียงเดินออกไป
มองดูสองคนนี้เดินหายไปจากในเรือน เจ้าอาวาสก็ยิ้มออกมาอย่างได้ใจ
“บอกแล้ว คนบ้าคนหนึ่ง สาวใช้คนหนึ่ง ปลอบง่ายจะตายไป” นางกล่าว เดินซ้ายทีขวาทีอย่างสบายใจ
เด็กน้อยสองคนที่มุมเรือนค่อยๆ นั่งลงบนกองฟืน
“ท่านพี่ พวกเราหนีกันเถอะ”
ครั้งนี้พี่สาวไม่ได้ตอบอะไร ในเงาร่มที่แสงแดดส่องไม่ถึง เด็กน้อยสองคนนั่งตัวสั่นเทาอยู่ในนั้น
………………………………………………………………