พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 97
พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง – บทที่ 97 ไม่พูด
บทที่ 97 ไม่พูด
Ink Stone_Romance
ซิ่วอ๋องเป็นชินอ๋อง ลูกหลานของเขาจึงต้องสืบทอดงานราชการต่อ
จิ้นอันจวิ้นอ๋องนี้เป็นยศที่ฮ่องเต้แต่งตั้งให้ ถึงแม้จะเหมือนกับเหล่าพี่น้อง แต่ฐานะนั้นสูงกว่าผู้อื่น
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน เขาคุกเข่าลงตรงกลางโถง คำนับต่อพระชายาก่อน แล้วจึงคำนับตอบให้เหล่าพี่น้อง
“เอาล่ะ คนบ้านเดียวกัน อย่าได้ทำตัวห่างเหิน” พระชายาของซิ่วอ๋องเพิ่งจะเอ่ยปากก่อนยื่นมือออกไป
เหล่าบุตรธิดาจึงได้นั่งลง
“จงหลัง ได้ยินมาว่าเมื่อคืนเจ้านั่งเฝ้าศาลาไหว้ศพท่านพ่อเจ้าทั้งคืนอีกแล้ว” พระชายาซิ่วอ๋องกล่าว แล้วมองไปที่ท่านชายหนุ่มที่กำลังน้ำตาคลอเบ้า “เจ้าอย่าทำเช่นนี้อีก เจ้าเดินทางมาไกล ทั้งยังมาร้องไห้หน้าศพมาสามวันแล้ว ทรมานร่างกายยิ่งนัก หากเป็นอะไรไปจะรายงานฮ่องเต้อย่างไร”
“บุญคุณพ่อแม่ให้กำเนิดเลี้ยงดู ลูกมิอาจชดใช้ได้ รู้สึกทุกข์ใจยิ่งนัก” จิ้นอันจวิ้นอ๋องก้มตัวกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
พระชายาซิ่วอ๋องยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา
“เจ้ารีบลุกขึ้นเถิด คำพูดเหล่านี้ก็ไม่ต้องพูดอีกแล้ว” นางกล่าว
หนึ่งในเหล่าพี่น้องสละที่นั่งให้ จิ้นอันจวิ้นอ๋องคำนับขอบคุณก่อนจะเข้าไปนั่ง
ในห้องเงียบสงัด บรรยากาศแสนเคร่งเครียด
“แม้ท่านพ่อของพวกเจ้าไม่อยู่แล้ว แต่พวกเจ้าทุกคนก็มิอาจละทิ้งหน้าที่ได้” พระชายาซิ่วอ๋องกล่าว
เหล่าบุตรธิดาต่างขานรับอย่างพร้อมเพรียง
พระชายาซิ่วอ๋องสั่งเสียเรื่องต่อประจำวันอีกเล็กน้อย
ขณะที่นางกำลังพูดอยู่นั้น ก็มีเสียงดังลอยเข้ามาจากนอกประตู
“ท่านแม่”
เมื่อสิ้นเสียงนั้น เด็กหนุ่มคนหนึ่งก็พุ่งตัวเข้ามาอย่างว่องไวดั่งลมพัด เขาสวมใส่ชุดไว้ทุกข์เช่นกัน อายุราวสิบสามสิบสี่ปีได้ ใบหน้านั้นละม้ายคล้ายกับจิ้นอันจวิ้นอ๋อง
เมื่อเห็นเด็กหนุ่มเดินเข้ามา พระชายาซิ่วอ๋องที่นั่งอยู่ก็อมยิ้มขึ้นมาทันใด ก่อนจะผายมือออกมา
เด็กหนุ่มผู้นั้นไม่ได้คำนับ แต่กลับเดินตรงไปนั่งลงตรงหน้าพระชายา
“หวงหลัง ไปไหนมาอีก ถึงได้มาช้าเพียงนี้” พระชายาซิ่วอ๋องยื่นมือมาลูบบ่าเขา พร้อมเอ่ยถามด้วยความรักใครเอ็นดูอย่างเปิดเผย
“ท่านแม่ ข้าไปคลังเก็บของหาภาพเขียนภาพนั้นที่ท่านพ่อมอบให้ข้า” หนุ่มน้อยกล่าว สีหน้าเศร้าสร้อย “ก่อนหน้านี้ข้าเกียจคร้าน ท่านพ่อใช้ภาพวาดเขียนมาตักเตือนข้า ข้าจงใจซ่อนมันเอาไว้ แต่บัดนี้ท่านพ่อไม่อยู่แล้ว ข้า…”
พูดถึงเพียงเท่านั้น ดวงตาของเขาก็แดงก่ำ สะอื้นจนพูดไม่ออก
ส่วนพระชายาซิ่วอ๋องนั้นน้ำตาไหลตั้งแต่แรกแล้ว
“เด็กดี ท่านพ่อเจ้ารู้เจตนาของเจ้า เจ้าไม่ต้องเสียใจแล้ว” นางรีบเอ่ย
หนุ่มน้อยพยักหน้า เขาหันมามองที่กลางโถงแล้วเผยรอยยิ้มให้กับจิ้นอันจวิ้นอ๋อง
“ท่านพี่” เขาเรียกแล้วลุกขึ้นคำนับ
จิ้นอันจวิ้นอ๋องอมยิ้มแล้วคำนับตอบ
ทั้งสองพูดคุยหยอกล้อกันสักพัก จิ้นอันจวิ้นอ๋องก็ลุกขึ้นแล้วจึงขอตัวลา
“เจ้าไปเถิด รีบพักผ่อนเสีย” พระชายาซิ่วอ๋องกล่าว ก่อนจะเอ่ยต่ออีกว่า “อยู่ที่บ้านไม่ต้องมากพิธีหรอก”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องก้มหัวขอบคุณแล้วกล่าวลาเหล่าพี่น้อง จากนั้นจึงลุกขึ้นแล้วเดินออกไป
ยามประตูห้องปิดลง แม้จะมองไม่เห็นว่าผู้ใดอยู่ภายในห้อง แต่กลับมีเสียงพูดคุยหยอกล้อดังลอยมา
“…ท่านแม่ ท่านก็ต้องพักผ่อนนะ…”
“…ท่านพี่ พี่เห็นหรือไม่ว่าเมื่อวานใครเอาไม้เท้าหยกของข้าไป…”
เหล่าพี่น้องพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ไร้ซึ่งความอึดอัดดังเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหันหลังให้กับห้องโถงหลัก ฝีเท้าหยุดชะงักไม่ได้ขยับ
“จวิ้นอ๋องเจ้าคะ” แม่นมที่อยู่ริมทางเดินเอ่ย
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหันหลังกลับไปมองพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า เขาก้มหัวคำนับไปทางห้องโถงอีกครั้ง ก่อนจะหมุนตัวกลับแล้วสาวเท้าก้าวยาวลาจากไป
เขาเดินสาวเท้าก้าวยาวมาตลอดทาง เชิดหน้าและก้าวอย่างมั่นคง จนบ่าวผู้ติดตามที่รออยู่หน้าเรือนพระชายาต้องเร่งฝีเท้าจึงจะตามทัน
เขาเดินไปเรื่อยๆ เรากับว่าไม่รู้จะเดินไปที่ใด แต่กลับเดินหน้าต่อไปอย่างไม่หวาดหวั่น
บ่าวผู้ติดตามอยู่ด้านหลังไม่กล้าเอ่ยปาก ได้แต่เดินตามอย่างเงียบ จนกระทั่งจิ้นจวิ้นอ๋องหยุดเดินเอง
“เอ่อ” เขามองไปรอบๆ อยู่สักพัก “ที่ที่ข้าพัก อยู่ที่ใด”
เมื่อกล่าวจบเขาก็ยิ้มเผยฟันขาวละเอียดออกมา สะท้อนกับแสงไฟสีขาวข้างทาง
“ตอนข้าที่ข้าจากที่นี่ไปนั้น ข้ายังเด็กนัก ถึงแม้ในบ้านไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร แต่ข้าจำไม่ได้แล้ว” เขาเอ่ยพรางยิ้ม
ผู้ติดตามรีบอมยิ้มขานรับ แล้วจึงรีบนำทาง
ทั้งขบวนเลี้ยวกลับไปอีกทิศทางหนึ่ง
ในยามค่ำคืนอันมืดมิด จวนซิ่วอ๋องก็เงียบสงบ โคมไฟสีขาวเหมือนดั่งดวงดาวระยิบระยับ แต่แฝงไปด้วยความรู้สึกหนาวเหน็บ
เสียงร้องประหลาดดังมาจากมุมหนึ่งของจวนซิ่วอ๋อง คล้ายกับนกร้องยามค่ำคืน แต่ก็คล้ายกับเสียงคนร่ำไห้ ทว่าเพียงครู่เดียวก็หายไป จึงไม่ได้ดึงดูดความสนใจของผู้คนนัก
ผู้ติดตามคนหนึ่งยกเท้าขึ้นถีบ จนคนบนพื้นล้มกลิ้งลงไป
แสงไฟในห้องดั่งส่องอยู่รำไรริบหรี่
“ปากแข็งนัก จวิ้นอ๋องขอรับ ยังไม่ยอมพูดขอรับ” เขาหันมารายงานด้วยเสียงแผ่วเบา
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเดินออกมาจากเงามืดข้างกำแพง ชายหนุ่มยังคงสวมชุดไว้ทุกข์อยู่ เพียงแต่ในมือมีผ้าเช็ดหน้าขาวเพิ่มขึ้นมา เวลานี้กำลังปิดอยู่ที่ปาก
“ช่างจงรักภักดีเสียจริง” เขาพูดขึ้นอย่างช้าๆ ก่อนจะดึงผ้าเช็ดหน้าออก เผยให้เห็นใบหน้ายิ้มแย้มที่กำลังมองดูคนบนพื้นที่ไม่รู้จะเป็นตายร้ายดีอย่างไร
ชายผู้ติดตามคนเดิมยกเท้าขึ้นมาเตะคนบนพื้น จนกลิ้งออกไป แต่ไม่ได้ฟื้นขึ้นมา
จิ้นอันจวิ้นอ๋องมองดูคนบนพื้น แสงไฟสลัวทำให้หน้าของเขาประเดี๋ยวมืดประเดี๋ยวสว่าง
“ที่จริง เจ้าจะบอกหรือไม่บอก มันแตกต่างกันอย่างไรกัน ข้าไม่จำเป็นต้องรู้ว่าใครคิดร้ายกับข้า ข้าแค่รู้เพียงว่า มีคนอยากทำร้ายข้าให้ถึงตายเป็นพอ” เขาเอ่ยอย่างช้าๆ แล้วโบกมือขึ้นมาหลังสิ้นเสียง “ไม่ต้องถามเขาแล้ว พวกเจ้าอยากจะทำเช่นไรก็เชิญ แต่ถึงอย่างไรก็ต้องช่วยให้เขาบรรลุเป้าหมายของการจงรักภักดีให้ได้”
ผู้ติดตามยิ้มพลางขานรับ
ทันใดนั้นก็มีกลุ่มคนอีกสองสามคนเดินออกมาเตะคนผู้นั้นจนกลิ้งไปกลิ้งมา ภายใต้แสงไฟสลัวส่องให้เห็นสองขาที่เปลือยเปล่าของคนผู้นั้น ท่อนบนนั้นเป็นกระดูกขาวที่ยึดโยงเส้นเลือดและเนื้อหนังเอาไว้ ดูแล้วเหมือนถูกคว้านเนื้อออกมาเป็นๆ
แรงทุบของตีคราวนี้ทำให้เขาได้สติฟื้นขึ้นมา เขาอ้าปากตะโกนร้อง แต่มีผู้ติดตามคนหนึ่งยื่นมือมาบีบคอเอาไว้ ขณะเดียวกันก็อวดมีดในมือ
“พ่อบ้านเลี่ยว วางใจเถิด จวิ้นอ๋องบอกว่าไม่ต้องตอบแล้ว” ผู้ติดตามยิ้มกล่าวเสียงแผ่วเบา
คนผู้นั้นเหมือนว่าจะรู้อะไร เขาดีดดิ้นขัดขืน มองดูหนุ่มน้อยชุดขาวตรงหน้าด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
แต่ก็ช้าไปก้าวหนึ่ง ผู้ติดตามนั้นตัดลิ้นของเขาจนขาดเสียแล้ว
เลือดกระเด็นเต็มพื้น จิ้นอันจวิ้นอ๋องถอยหลังลงไป ก่อนจะใช้ผ้าเช็ดหน้าโบกเบาๆ ไปมาราวกับจะไล่กลิ่นคาวเลือดนี้ไป
พ่อบ้านเลี่ยวสลบลงไปกับพื้น
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเหลือบมองแล้วหันตัวกลับเดินออกไป
เสียงลมในยามค่ำคืนฤดูหนาวพัดโบกพัดโคมไฟริมทางเดินจนเกิดเสียง
หนุ่มน้อยเหลือบมองดูท้องฟ้ายามค่ำคืน ดวงจันทร์เสี้ยวลอยเด่น แสงไฟกระพริบริบหรี่สาดส่องใบหน้าไร้รอยยิ้มที่งดงามดั่งหยกชั้นดี เขาจ้องมองเงียบๆ อย่างนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันตัวกลับเดินช้าๆ ไปตามทางเดินแล้วจากไป ภายใต้แสงไฟขาวแสบตา แสงสีขาวสว่างที่สะท้อนออกมาจากเงาทำให้รูปร่างของเขาดูสูงโปร่งและโดดเด่นยิ่งนัก
ยามฟ้าสาง เฉินเซ่าออกจากประตูวังมาถึงเขตเมืองหลวงแล้ว
ขุนนางบู๊บุ๋นที่กำลังจะแยกย้ายหลังประชุมเสร็จต่างก็หลีกทางให้เขาตลอดทางเดิน
นี่เป็นวันแรกที่เสนาบดีกรมขุนนางกลับเข้าวังหลังจากพักราชการไปกว่าสองเดือน สายตาจากทั่วทุกสารทิศต่างจ้องมองมา เมื่อมีผู้ยินดีก็ย่อมมีผู้อิจฉาอยู่ด้วย
เมื่อครู่นี้การประชุมราชกิจประจำเดือนได้เสร็จสิ้นลง องค์ชายใหญ่ที่สำเร็จราชการแทนรั้งเฉินเซ่าไว้ด้วยตนเอง และบอกว่าฮ่องเต้อยากพบเขา
นั่นหมายความว่าอย่างไรน่ะหรือ นั่นหมายความว่าในสายตาของฮ่องเต้นั้นเฉินเซ่ายังคงเป็นคนที่พึ่งพาได้ เดิมทีโอกาสที่ผู้อื่นจะขึ้นมาแทนที่เขาได้นั้น มีเพียงโอกาสเดียวคือการรอช่วงที่เขาไว้ทุกข์ให้แก่ท่านพ่อที่จากไป แต่ในวันนี้โอกาสนั้นคงไม่มีเสียแล้ว
ทั้งที่เป็นโรคที่แม้แต่หมอหลวงยังจนปัญญา แต่กลับรักษาหายได้
เฉินเซ่าผู้นี้ช่างโชคดีเสียจริง
สายตาเหล่านี้ เฉินเซ่าไม่ได้ใส่ใจนัก เพราะในใจของเขายังนึกถึงเรื่องที่เข้าเฝ้าเมื่อครู่
หลังจากรับสั่งให้องค์ชายใหญ่ออกไปก่อน ฮ่องเต้ก็ถกเถียงปัญหาบ้านเมืองกับเขาตามลำพัง ทั้งสองพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ประการแรก ถึงแม้ฮ่องเต้จะบอกว่าทรงประชวรแต่ท่าทางก็ยังสดใสดี ประการที่สอง ฮ่องเต้นั้นเชื่อใจเขายิ่งนัก
เขานั้นมีชื่อเสียงแต่ยังหนุ่ม โชคดีที่ไม่ได้หลงระเริงกับชื่อเสียงเหล่านั้น เขาสอบเข้าเป็นบัณฑิตภายใต้การฝึกฝนบ่มเพาะตามประสงค์ของฮ่องเต้ แต่ในขณะที่จะมอบหมายหน้าที่สำคัญนั้น ท่านแม่กลับป่วยจนเสียชีวิตไป ถึงแม้จะ
เห็นใจ แต่เพื่อชื่อเสียงของเขา ฮ่องเต้ไม่ได้ทำเช่นนั้น แต่ให้เขาไว้ทุกข์สามปี ไม่คิดว่าเมื่อจะมอบหมายหน้าที่สำคัญให้อีก
ท่านพ่อของเขาก็…
โชคดี โชคดี
ดูออกว่าฮ่องเต้เองก็โล่งใจ มิเช่นนั้นก็คงไม่รับสั่งหยอกล้อเช่นนั้น
“ได้ยินว่าจับนกกันทั้งเมือง ขาดก็เพียงแต่สูตรลับบ้านตระกูลเฉิน” ฮ่องเต้ยิ้มพลางรับสั่ง “อย่าลืมส่งนกขมิ้นบ้านตระกูลเฉินมาให้ข้าลองชิมบ้าง”
เฉินเซ่ายิ้มเล็กน้อย
ตนมีชื่อเสียงในราชสำนักด้วยความสามารถ แต่ไม่นึกว่าจะมีชื่อเสียงในเหล่าชาวบ้านในเมืองหลวงด้วยเรื่องอาหาร
คิดว่าคงอีกไม่นาน เฉินเซ่าอาจจะมีฉายาชื่อนกขมิ้นเฉินในเหล่าชาวบ้านแล้วกระมัง
เด็กเทวดาเฉิน กลายเป็นนกขมิ้นเฉิน จากชื่อสูงสง่ามีระดับกลายเป็นชื่อบ้านๆ ไป ช่างแตกต่างกันเกินไปแล้ว
ทำไมจู่ๆ ถึงเป็นเช่นนี้ไปได้
ตั้งแต่หญิงสาวผู้นั้นเข้าเรือนมา อาการป่วยของท่านพ่อก็ดีขึ้น และอีกอย่างในตอนแรกนางต่างหากที่เป็นคนอยากกินนกขมิ้น มิเช่นนั้นคนครัวคงไม่ทำอาหารจานนี้ออกมาได้
อาหารที่แม้แต่คนบ้านอกคอกนายังไม่กล้าเอาขึ้นโต๊ะ กลับกินกันอย่างเอร็ดอร่อยนัก
ยิ่งธรรมดามากเท่าใด ก็ยิ่งสง่างามมากเท่านั้นสินะ
หญิงสาวผู้นี้ทั้งแปลกพิลึกแต่ก็น่าสนใจ
เฉินเซ่าเดินเข้าประตูเรือนไปก่อนจะเปลี่ยนเป็นชุดธรรมดา แล้วรีบมุ่งหน้าไปยังเรือนของท่านพ่อ เมื่อก้าวเข้าประตูเรือนก็เห็นว่า ภาพในประตูห้องที่เปิดอ้าอยู่มีชายชราและหญิงสาวกำลังนั่งหันหน้าเข้าหากัน
ผู้เฒ่าผมขาวนั่งขัดสมาธิเพื่อพยุงตัว แม้ร่างจะผอมโซแต่ท่าทางดูกระปรี้กระเปร่า สาวน้อยผมดำในชุดสีพื้นแขนกว้างนั่งคุกเข่าทับขา หันหน้าเข้าหากันโดยมีกระดานหมากคั่นกลาง และยังมีเด็กหญิงในชุดสีแดงสด มือเกยหัวส่ายไปมาข้างกระดานหมาก
เฉินเซ่าหยุดเดินไปชั่วขณะ ราวกับไม่อยากจะทำลายภาพงามของต้นฤดูหนาวเช่นนี้
“นายหญิง เล่นหมากไม่เป็นหรือ” นายใหญ่เฉินเอ่ยถาม
เฉิงเจียวเหนียงมองดูกระดานหมากได้สักพักแล้ว
“นึกไม่ออก” นางกล่าว
นึกไม่ออกหรือ เล่นเป็นหรือไม่เป็นกันแน่
นายใหญ่เฉินไม่เข้าใจสักเท่าไหร่
“ข้าเล่นหมากซวงลู่ เป็น ท่านปู่ พี่สาวพวกเรามาเล่นหมากซวงลู่กันเถิด” ตันเหนียงกล่าว ขัดจังหวะบทสนทนาของทั้งสอง
ผู้เฒ่าวางหมากสีดำ ผ่านไปสักพักก็จับหมากสีขาวขึ้นมา ที่แท้ก็เล่นคนเดียวนี่เอง
“ท่านพ่อ” ตันเหนียงที่หันหน้าไปทางประตูมองเห็นท่านพ่อ นางร้องตะโกนขึ้นด้วยความดีใจ
เฉินเซ่าเข้ามาคุกเข่าคำนับ ทักทายท่านพ่อแล้วก็แสดงความขอบคุณต่อเฉิงเจียวเหนียง
เฉิงเจียวเหนียงคำนับกลับ
“ถึงแม้จะดีขึ้นมากแล้ว แต่ตอนนี้ อย่าเพิ่งเดินมากเกินไป” นางกล่าวกับนายใหญ่เฉิน “ยิ่งรีบร้อนอยากจะสำเร็จ จะยิ่งไม่สำเร็จ หากในตอนนี้กำเริบขึ้นมาอีก มีเงินมากกว่านี้ ข้าก็ไม่มีวิธีรักษาแล้ว”
นายใหญ่เฉินหัวเราะร่า ยื่นมือมาตบขา การเดินได้มันช่างน่าเย้ายวนนัก
“ฝังเข็มอีกสักห้าวัน ก็พอแล้ว แล้วฟื้นฟูด้วยยาเพียงอย่างเดียว” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
สองพ่อลูกดีใจยกใหญ่ ในที่สุดก็ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานกับความเจ็บปวดเช่นนั้นแล้ว และยังหมายความว่า วันที่หายเป็นปกติใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แล้ว
“ขอบคุณนายหญิงจริงๆ” เฉินเซ่าสีหน้าเคร่งขรึมกล่าวขอบคุณอีกครั้ง
เฉิงเจียวเหนียงก็ลุกขึ้นขอตัวลาเพื่อให้พวกเขาสองพ่อลูกได้พูดคุยกัน แน่นอนว่าตันเหนียงก็ต้องตามออกไปด้วย
“ตันเหนียง อย่ารบกวนนายหญิง” เฉินเซ่ารีบกล่าวกำชับ
ตันเหนียงจูงแขนเสื้อของนางเดินออกมาอย่างดีอกดีใจ
อากาศหนาวเย็นขึ้นมากแล้ว
“อีกสามวันห้าวัน หิมะจะตก” เฉิงเจียวเหนียงกล่าวแล้วเงยหน้ามองฟ้า
“จริงหรือ ดีเสียจริง เช่นนั้นก็จะได้ไปชมหิมะบนเขาแล้ว” ตันเหนียงกล่าวอย่างดีใจ
เดินมาได้ไม่ไกลนัก เบื้องหน้าก็มีเสียงพูดคุยหัวเราะของหญิงสาวลอยมาพร้อมกับเหล่าหญิงสาวสี่ห้าคนเดินเข้ามาเป็นกลุ่ม เมื่อพวกนางเห็นเฉิงเจียวเหนียงและเฉินตันเหนียงจึงหยุดเดินลง
………………………………………..