พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 165 พอใจ
ฮูหยินฉินนั่งลงในห้องโถง นางรับชาที่สาวใช้ยกมาให้แล้วค่อยๆ ดื่ม สายตาหยุดอยู่ที่บ่าวที่นั่งคุกเข่าตรงทางเดินนอกห้อง
“เจ้าเป็นคนที่ติดตามชายสิบสามไม่เคยห่างใช่หรือไม่” นางเอ่ยถาม
บ่าวที่จัดให้ลูกชายคนอื่นๆ ก็แค่เอาไว้ใช้ไหว้วานให้ทำธุระให้ แต่ท่านชายฉินร่างกายพิการ บ่าวที่ติดตามข้างกายนอกจากเอาไว้ใช้งานทำธุระให้แล้ว ยังต้องเป็นไม้เท้าให้อีก
พวกเขาติดตามข้างกายท่านชายฉินตลอดเวลา ช่วยพยุงเขาไม่ว่าจะนั่ง นอน ยืน หรือเดิน ไม่อาจห่างกายได้
เพื่อไม่ให้เจ้านายเสียกิริยาจนดูไม่ดี
บ่าวคำนับแล้วขานรับอยู่ด้านนอก
“เรื่องนั้น เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เจ้าเล่าให้ข้าฟังอย่างละเอียดที” ฮูหยินฉินกล่าว
บ่าวเนื้อตัวสั่นเครือ เงียบไปครู่หนึ่ง
“ข้ารู้ว่าเจ้าจะพูดอะไร ‘ข้าน้อยไม่ทราบ’ ใช่หรือไม่” ฮูหยินฉินพูดต่อ นางดื่มชาอย่างช้าๆ ด้วยท่าทางสง่างาม “ชายสิบสามบอกกับพวกเจ้าว่าอย่างไร ข้าไม่ถามก็รู้ ที่จริงพวกเจ้าก็ไม่ต้องใส่ใจกับคำพูดของเขานักหรอก เขาก็รู้ว่าที่เขากำชับพวกเจ้านั้นมันไร้ประโยชน์ ข้าเป็นแม่ ข้าอยากรู้ว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง ตัวเขาเองก็ปิดบังโกหกข้าไม่ได้ พวกเจ้าเป็นบ่าวรับใช้ยิ่งไม่ได้ ไม่ต้องกลัว อะไรควรพูดก็พูดออกมา ชายสิบสามก็ไม่ได้ห้ามพวกเจ้าพูด เขาบอกกับพวกเจ้าแค่ว่าให้ลืมเรื่องนี้ไปเสีย ห้ามพูดถึงอีก ใช่หรือไม่”
บ่าวโขกหัวขานรับ
ฉลาดทั้งแม่ลูกจริงๆ
เหตุใดต้องให้บ่าวอย่างพวกเขาพูดด้วย แม่ลูกนั่งลงคุยกันเองไม่ดีกว่าหรือ
“ถามพวกเจ้าให้รู้เรื่องคร่าวๆ แล้วข้าจะไปคุยกับเขาเอง” ฮูหยินโจวอมยิ้ม “จะได้ไม่ต้องเดากันอีก น่าเบื่อสิ้นดี”
บ่าวโขกหัวคำนับ
“ฮูหยินขอรับ ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่” เขาเอ่ย “หลายวันก่อน ท่านชายอยู่ที่บ้านตระกูลโจว เห็นท่านชายหกกับน้องสาวทะเลาะกัน น้องสาวของเขาจู่ๆ ก็พูดขึ้นมาว่านางสามารถรักษาขาของท่านชายได้ขอรับ”
“น้องสาวของท่านชายโจวหกหรือ” ฮูหยินฉินยิ้มถามด้วยความใคร่รู้ “คำพูดล้อเล่นของเด็กหรืออย่างไร”
“มิใช่ขอรับฮูหยิน ท่านเคยได้ยินหรือไม่ว่าตอนนี้ในเมืองหลวงมีข่าวลือว่าตระกูลโจวมีนายหญิงที่เคยพบเซียนอยู่ท่านหนึ่ง” บ่าวเงยหน้าพูดด้วยความตื่นเต้น
แม่นมคนหนึ่งรีบคลานเข้าไปกระซิบบอกฮูหยินฉิน ฮูหยินฉินสีหน้าประหลาดใจในทันใด
“จริงหรือ” นางถาม
แม่นมพยักหน้า
“จริงเจ้าค่ะ ข่าวลือแพร่ไปทั่วเมืองหลวง แถมยังมีหมอหลวงหลี่เป็นพยานอีกเจ้าค่ะ” นางตอบ
ฮูหยินฉินสีหน้ายิ้มแย้ม เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่
“บัณฑิตถงกลับมาหนุ่มแน่นอีกครั้งอย่างนั้นหรือ คงจะรับภรรยาใหม่เข้ามาอีกแล้วล่ะสิ” นางพูดขึ้นมาทันใด
นึกไม่ถึงเลยว่าเรื่องที่ฮูหยินครุ่นคิดอยู่เมื่อครู่จะคือเรื่องนี้ เหล่าแม่นมสีหน้าอ่อนใจ สองคนกระแอมขึ้นเบาๆ เตือนฮูหยินให้ระวังกิริยาระวังคำพูด
บ่าวด้านนอกที่เดิมทีเงยหน้าขึ้นมองก็ก้มหน้าลง
“ในเมื่อท่านเซียนเป็นคนบอก เช่นนั้นก็คงช่วยได้เป็นแน่” ฮูหยินฉินเอ่ย “ใครก็ได้ ข้าจะไปบ้านตระกูลโจวเดี๋ยวนี้”
พูดจบนางก็ลุกขึ้นในทันที เหล่าแม่นมต่างพากันขวางเอาไว้
“ฮูหยิน ท่านเชื่อจริงหรือเจ้าคะ” พวกนางถาม
“ข้าก็ต้องเชื่ออยู่แล้ว” ฮูหยินฉินพูดอย่างไม่ลังเล “ขอเพียงสามารถรักษาชายสิบสามของข้าได้ อย่าว่าแต่นางพบเซียนบรรลุหลักธรรมเต๋าเลย ต่อให้นางบอกว่าเป็นเจ้าแม่กิวเทียนเหี่ยงนึ่งลงมาจุติ ข้าก็คุกเข่าถวายธูปเทียนให้นางได้”
ขาของท่านชายสิบสาม เป็นปมที่ฝังลึกสุดใจของฮูหยิน ถึงแม้ใบหน้าจะยิ้มแย้มแจ่มใส แต่ก็เคยร้องไห้ยามค่ำคืนอยู่หลายครั้ง
เหล่าแม่นมมองหน้ากัน
“แต่ว่าเมื่อครู่เขาบอกว่า นายหญิงผู้นั้นพาลโกรธท่านชายสิบสามไปด้วย ไม่ยอมรักษาให้นี่เจ้าคะ” คนหนึ่งพูดขึ้น
“หากเป็นผู้อื่นพูดจาเช่นนั้นยามพาลโกธรผู้อื่นก็ว่าไปอย่าง แต่ว่านายหญิงผู้นี้หากพูดอะไรแล้ว…” แม่นมอีกคนหนึ่งพูด “มีคนเคยนำเงินสองหมื่นก้วนมาขอความช่วยเหลือ นางกลับบอกว่าไม่รักษาเสียดื้อๆ พูดเช่นนั้นหน้าตาเฉยเลยนะเจ้าคะ”
ฮูหยินฉินนั่งเหยียดหลังตรง
“อ้อ ไม่ชอบเงินนี่เอง” นางพูดแล้วยิ้ม “ก็จริง มีฝีมือเช่นนี้ ในสายตานางเงินก็คงไม่สำคัญอะไร”
นางคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วยิ้มออกมา
“ไม่ชอบเงิน เช่นนั้นก็ง่ายเลย” นางเอ่ยขึ้นแล้ววางถ้วยชาในมือลง “ใครก็ได้ ไปสู่ขอนางที่บ้านตระกูลโจวกับข้าหน่อย”
เหล่าแม่นมติดตามรับใช้ฮูหยินฉินมาหลายปี แต่ถึงจะรับใช้นางมาทั้งชีวิตก็ยังคาดเดาความคิดไร้แบบแผนฮูหยินของตนมิได้ บอกว่าจะเชิญหมอมารักษา อยู่ดีๆ กลายเป็นแม่สื่อไปเสียได้อย่างไรกัน
แม่นมที่รับใช้อยู่ในห้องต่างมองฮูหยินฉินด้วยสายตาเลื่อนลอย
“สู่ขอให้ใครหรือเจ้าคะ” คนหนึ่งถามขึ้น
อย่างไรเสียบ้านตระกูลฉินก็ถือว่าเป็นตระกูลใหญ่ที่มีตำแหน่งขุนนางชั้นสูงสืบทอดต่อกันมาหลายรุ่นสมัย
หากคนตระกูลระดับนี้จะแต่งงาน จะต้องแต่งกับคนตระกูลระดับเดียวกันหรือต่ำกว่าเล็กน้อย แต่ว่าตระกูลโจวนั้นยังถือว่าห่างไกลจากตระกูลที่ต่ำกว่าเล็กน้อยในสายตาตระกูลฉินนัก
สู่ขอให้ญาติห่างๆ ของสกุลฉินหรือ ก็ยังพอได้
“สู่ขอนายหญิงตระกูลเฉิง ให้กับชายสิบสามของเรา” ฮูหยินฉินยิ้ม
สีหน้าของเหล่าแม่นมเต็มไปด้วยความตกตะลึง
ท่านชายสิบสาม! สายเลือดโดยตรงของตระกูลฉิน สู่ขอหญิงสาวญาติฝ่ายแม่ของตระกูลโจว! ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องความแตกต่างของวงศ์ตระกูล แค่ตัวคนนั้นก็…
“ฮูหยิน จะทำเช่นนั้นได้อย่างไรเจ้าคะ” คนหนึ่งโพล่งออกมา “นายหญิงตระกูลเฉิงผู้นั้น เคยเป็นเด็กสติไม่สมประกอบนะเจ้าคะ!”
“เช่นนั้นไม่ยิ่งดีหรือ” ฮูหยินฉินยิ้ม “ชายสิบสามฉลาดเพียงนั้น หาคนโง่เขลาหน่อย ไม่สบายใจกว่าหรือ”
เหล่าแม่นมหมดคำจะพูดจึงเงียบกันไปครู่ใหญ่
“ฮูหยิน ท่านไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหมเจ้าคะ” คนหนึ่งถาม
“ข้าจะเอาชายสิบสามมาล้อเล่นหรือ” ฮูหยินฉินตอบแล้วมองแม่นมนางนั้น “ในเมื่อนางไม่ชอบเงิน เช่นนั้นข้าก็จะให้คนแก่นาง สิ่งที่หญิงสาวต่างแสวงหากัน ก็แค่ความราบรื่นชั่วชีวิต สามีภรรยาปรองดองกัน มีครอบครัวที่พึ่งพิงได้”
พูดถึงเท่านั้น นางก็มองออกไปด้านนอก รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ จางหายไป
“ขอแค่รักษาชายสิบสามของข้าได้ ข้าก็จะให้ครอบครัวที่พึ่งพิงได้กับนาง”
สวีปั้งฉุยถีบประตูห้องในเรือนหลังจนเปิดออก ซุนไฉที่นอนอยู่บนพื้นก็สะดุ้งตื่น
“ซุนไฉ ยังไม่ตื่นอีก นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว” เขาตะโกน “แอบกินเหล้าไปแค่ถ้วยเดียว ก็นอนเป็นตายเชียวนะ”
ซุนไฉรีบโบกมือ
“ไม่ใช่เหล้า ไม่ใช่เหล้า ส่าเหล้าต่างหาก” เขารีบแย้ง “มันก็แค่น้ำเท่านั้น ข้าดื่มน้ำสักถ้วยไม่ได้หรือ”
สวีปั้งฉุยจ้องตาเขม็งทำท่าจะตี ซุนไฉรีบกุมหัวเอาไว้
“เร็วเข้า น้องสาวข้ามาแล้ว” สวีปั้งฉุยไม่ได้ตี แต่ตะโกนใส่แล้วหันหลังกลับเดินออกไป
ซุนไฉรีบจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ เขาเช็ดหน้าเช็ดตา พอเดินออกมาก็เห็นเฉิงเจียวเหนียงยืนอยู่ในเรือนแล้ว
“นายหญิงมาเช้าจังนะขอรับ” เขารีบคำนับ
“เต้าหู้เสร็จแล้วหรือยัง” เฉิงเจียวเหนียงถาม
ซุนไฉหัวเราะแล้วรีบเปิดประตูด้านข้าง
“เสร็จแล้ว เสร็จแล้วขอรับ เต้าหู้ที่ข้าทำไม่มีปัญหาอยู่แล้ว แต่ที่ทำตามนายหญิงนั้น ข้าก็มิกล้ารับประกันนะขอรับ” เขาพึมพำแล้วยกหินที่ทับเต้าหู้เอาไว้ออก ก่อนจะเปิดผ้าออกแล้วชี้ที่เต้าหู้ก้อนเหลี่ยมอย่างภูมิใจ “ดูสิขอรับ
นายหญิง”
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้าแล้วให้สาวใช้หยิบออกมา
“ที่จริงก็ไม่ได้แย่ แค่ทุกคนไม่ชินกับรสชาติเท่านั้น ดีต่อร่างกายนะขอรับ” ซุนไฉพูดแล้วหั่นก้อนหนึ่งใส่ในถ้วยให้สาวใช้ด้วยตนเอง
สาวใช้ไม่ได้ยื่นให้เฉิงเจียวเหนียง แต่ยืนตรงหน้าเขาไม่ขยับไปไหน
“อันนั้นด้วย” นางพูดแล้วชี้ไปที่กล่องด้านข้าง
ซุนไฉส่ายหน้า
“นายหญิง ถ้าไม่ใส่น้ำพะโล้ เต้าหู้จะไม่จับตัวเป็นก้อนนะขอรับ” เขาพูดแล้วยกก้อนหินออกแล้วเปิดผ้าออก ก่อนจะชะงักไป
เต้าหู้ขาวเนื้ออ่อนก้อนเหลี่ยมแข็งตัวอย่างเป็นรูปทรง
เฉิงเจียวเหนียงเดินเข้ามา มองดูเต้าหู้แล้วพยักหน้า
“โชคดี เติมลงไปได้พอดีเลย” นางเอ่ยขึ้นแล้วยื่นมือออกมาสะบัดแขนเสื้อ ก่อนจะใช้มีดหั่นมาก้อนหนึ่ง สาวใช้รีบรับมาใส่ไว้ในถ้วยอีกใบ
ซุนไฉยังคงมองดูเต้าหู้นั้นอย่างเหม่อลอย
สาวใช้รับสัญญาณจากเฉิงเจียวเหนียง แล้วส่งทั้งสองถ้วยให้เขา
“เจ้าลองชิมดู” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
ซุนไฉที่เพิ่งได้สติ มองดูถ้วยสองใบในมือ เขาไม่ได้ใช้ช้อนตัก แต่ยื่นมือมาหยิบชิ้นเต้าหู้จากถ้วย มือซ้ายหยิบชิ้นที่ตนทำเอง มือขวาก็เป็นเต้าหู้ตนทำเองเช่นกันแต่น้ำพะโล้ที่ใส่ลงไปเป็นของนายหญิงผู้นี้
เขาลังเลเล็กน้อย หยิบชิ้นที่ตนเองทำเข้าปากก่อน ยังคงเป็นรสชาติที่คุ้นเคย เขากลืนลงไปแล้วมองดูมือขวา แล้วกลืนน้ำลายลงไปอึกใหญ่ ก่อนจะยัดเข้าปาก ทำท่าราวกับว่าใช้แรงมากมายมหาศาล
ดวงตาของซุนไฉเบิกกว้างในทันใดแล้วเงยหน้ามองดูเฉิงเจียวเหนียง
“ราคานี้ เจ้าพอใจหรือไม่” เฉิงเจียวเหนียงมองดูเขาก่อนจะถามอย่างเรียบเฉย
ราคานี้…ราคานี้…
มือทั้งสองของซุนไฉสั่นเทา เขามองดูมือซ้ายแล้วหันมองดูมือขวา
สาวใช้เดินเข้าไปแล้วเปิดห่อยาให้เขาดู
ซุนไฉยังจำห่อยานี้ได้ เมื่อวานนี้นายหญิงผู้นี้หยิบของบางอย่างจากข้างในเทใส่น้ำ แล้วสั่งให้ตนเทใส่ในเต้าหู้
สิ่งนี้เองหรือ สิ่งนี้เองหรือที่เสกหินให้เป็นทอง
ซุนไฉคอแห้งผาก เขากลืนน้ำลายไม่หยุด มองดูสาวใช้ยื่นห่อยามาให้ด้วยร่างกายอันสั่นเทา ไม่กล้ารับไว้
“เจ้า ขายหรือไม่” เฉิงเจียวเหนียงถาม
ที่แท้ที่นายหญิงผู้นี้บอกว่าจะซื้อฝีมือการทำเต้าหู้มันหมายความว่าอย่างนี้นี่เอง
หากนางต้องการหาใครสักคนที่ทำเต้าหู้เป็น นอกจากตนแล้ว คนที่ทำเต้าหู้เป็นนั้นก็มีมากมาย แต่เคล็ดลับในมือนายหญิงผู้นี้ มีเพียงหนึ่งเดียวในใต้หล้า
หลักสำคัญในการทำเต้าหู้ก็คือการใส่น้ำพะโล้ ฝีมือการทำเต้าหู้ของตนนั้น ดูสักสองสามรอบ ใครก็ทำตามได้
พอถึงเวลาแล้วก็แค่ให้เงินจากนั้นก็ไล่เขาไป เมื่อบ่าวรับใช้ของนายหญิงทำเต้าหู้เองได้แล้ว คนอย่างซุนไฉก็ไรประโยชน์โดยสิ้นเชิง แต่นายหญิงผู้นี้ไม่ได้ทำเช่นนั้น แต่กลับให้เคล็ดลับนี้กับตน
ขายฝีมือเป็นทาสรับใช้ แลกกับเคล็ดลับ ครอบครองตำรับอันน่าอัศจรรย์หนึ่งเดียวนี้ไว้ในมือ การซื้อขายนี้คุ้มค่ายิ่งนัก
ซุนไฉไม่ลังเลอีกต่อไป คว้าห่อยามาแล้วคุกเข่าโขกหัวคำนับ
“ข้าน้อยขายขอรับ!” เขาตะโกนเสียงดัง
……………………………………………………