พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 169 ไม่ชัดเจน
แต่เรื่องถึงตอนนี้ คงทำได้เพียงฝืนใจและพูดออกไป
“ล้อเล่นที่ไหนกัน ไม่ซ่อมก็ไม่ซ่อมสิ พวกเจ้าเก็บของแล้วกลับมากันเถิด” นายใหญ่โจวยิ้มเจื่อนพลางเอ่ย
“เช่นนั้นไม่ดีกระมัง” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
“ทำไมถึงไม่ดีเล่า ถ้ารังเกียจที่ห้องนั้นไม่ดี ก็เปลี่ยนเป็นห้องอื่น เจ้าเปลี่ยนกับแม่นางเจ็ด…” นายใหญ่โจวดีใจมากที่เห็นนางเอ่ยปากจึงพูดขึ้นอย่างรีบร้อน
“มาตามข้าเพื่ออะไร” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยถามขัดขึ้นมากะทันหัน
“เรื่องออกเรือน” นายใหญ่โจวกำลังคิดหาวิธีโน้มน้าวให้เฉิงเจียวเหนียงกลับไป เมื่อได้ยินนางถามเรื่องบ้าน เขาก็ดีใจจนเอาแต่คิดเรื่องบ้าน แต่พอถูกถามขึ้นมาอย่างกะทันหันจึงหลุดปากออกมา
เรื่องออกเรือนอย่างนั้นหรือ
สาวใช้รู้สึกประหลาดใจไม่น้อย
นายใหญ่โจวรู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่พูดออกไป แต่ในเมื่อพูดไปแล้วก็ช่างเสียเถิด ไม่มีอะไรที่พูดไม่ได้เสียหน่อย สิ่งที่หญิงสาวทั้งใต้หล้าต่างเฝ้าคอยก็คือเรื่องแต่งงานไม่ใช่หรือ
“เจียวเจียวร์ ไปหาป้าสะใภ้เจ้าแล้วคุยรายละเอียดกันที่บ้านเถิด คุยข้างนอกคงไม่สะดวกนัก” เขากระซิบ
เฉิงเจียวเหนียงมองเขา
“ปีหน้าข้าอายุเท่าไรแล้ว” นางถาม
นายท่านโจวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง มีคนไม่รู้อายุตัวเองด้วยหรือ จะว่าไปก็พอเข้าใจได้ เด็กสติไม่สมประกอบคนนี้ไม่ได้สติมาหลายปีขนาดนั้น ไม่รู้เดือนรู้ปี ว่าแต่นางอายุเท่าใดแล้วนะ
นายใหญ่โจวเริ่มคำนวณอย่างรวดเร็วในใจ เขาจำไม่ได้แล้วว่านางเกิดเมื่อใด จำได้เพียงเมื่อทั้งสองตระกูลเริ่มมีเรื่องกัน นางน่าจะอายุประมาณสามขวบกระมัง หรืออาจจะเร็วกว่านั้น?
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้ากับตนเองโดยไม่ต้องรอให้เขาตอบ
“ถึงวัยที่จะคุยเรื่องออกเรือนแล้ว” ราวกับว่านางกำลังพูดกับตัวเอง “ลืมไปเสียสนิท”
นายใหญ่โจวรู้สึกโล่งใจ ปล่อยอายุสิบสี่สิบห้าปีที่คำนวนออกมาอย่างไม่แน่นอนทิ้งไป
“ใช่ ตอนนี้มีคนมาทาบทามเจียวเจียวร์แล้ว งานมงคลสมรสเรื่องใหญ่ในชีวิตต้องรอบคอบ เรากลับบ้านไปคุยกันเถอะ” เขากระซิบ
เสียงฝีเท้าของม้าดังขึ้นจากด้านหลัง จินเกอร์ก็มาพร้อมกับผู้ให้เช่ารถม้า
“งานมงคลสมรสเรื่องใหญ่ในชีวิตต้องรอบคอบ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย พลางส่งสัญญาณบอกให้รถม้ารอสักครู่
“ไม่ทราบว่าเป็นตระกูลใดหรือ”
ปกติแล้วหญิงสาวจะอายและหลบเลี่ยงไปเมื่อพูดถึงเรื่องแต่งงาน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นางถามอย่างเคร่งเครียดเช่นนี้
ถามเสียจนเขาตกตะลึงไปเลย
“ตระกูลฉิน” เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูด “เจียวเจียวร์ เจ้าก็รู้จักใช่ไหม เขาสนิทกับพี่หกของเจ้ามาก มาเยี่ยมบ้านเราเป็นประจำ”
“เจ้าเป๋คนนั้นหรือ” สาวใช้โพล่งออกมา
นายใหญ่โจวกระแอมเบาๆ หนึ่งที รู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
“เป๋อะไรเล่า รักษาให้หายได้ไม่ใช่หรือ” เขาเอ่ยเสียงแผ่วเบา เมื่อมองไปรอบตัว ผู้คนที่เดินผ่านไปมาบนถนนต่างมองมาที่เขาเป็นระยะๆ คนที่ไหนมาพูดเรื่องการแต่งงานบนถนนในหน้าประตูบ้านเช่นนี้กัน “เราเข้าไปคุยกันข้างในเถอะ”
“ไม่ต้องหรอก” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “หากเป็นตระกูลเขา ยิ่งไม่ต้องพูดเลย ปฏิเสธก็พอ”
นายใหญ่โจวชะงักงัน
“ข้ายังมีธุระอีก ต้องขอตัวก่อน” เฉิงเจียวเหนียงพูดพร้อมกับก้าวเท้าจากไป
นายใหญ่โจวเพิ่งได้สติจึงรีบขวางไว้
“เจียวเจียวร์นั่นคือตระกูลฉินเชียวนะ เจ้ายังเด็กเลยไม่รู้ว่าตระกูลฉินนั้น…” เขาพูดอย่างรีบร้อน
ยังเด็กเลยไม่รู้อย่างนั้นหรือ หรือว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่นางต้องการ
“ปั้นฉิน” เฉิงเจียวเหนียงเรียก
สาวใช้ข้างกายเข้าใจจึงหันหลังกลับในทันที
“ตระกูลฉินนี้เป็นตระกูลใหญ่แห่งเมืองเจียงโจว มีจิ้นซื่อ สิบเก้าคนจากคนสามรุ่น รัชศกผิงหยวนปีที่แปดฉินจงบุตรชายคนโตได้เป็นจิ้นซื่อและอภิเษกสมรสกับองค์หญิง ได้รับพระราชทานจวนองค์หญิงในเมืองหลวง ในตอนนี้ฉินอัน หลานชายคนโตแห่งตระกูลฉิน ดำรงตำแหน่งขุนนางขั้นแปด ภรรยาของเขาคือธิดาตระกูลฟู่แห่งเฝินโจว คนที่สนิทสนมกับท่านชายหกก็คือฉินอัน ลูกชายคนที่สี่ อยู่ลำดับที่สิบสามของตระกูล” สาวใช้เอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำ
นายใหญ่โจวมองไปยังสาวใช้ด้วยความประหลาดใจ พลางสูดลมหายใจลึก
เป็นไปตามที่ฮูหยินคาดไว้ สืบเรื่องราวของแต่ละตระกูลมาอย่างละเอียด แม้แต่ได้อภิเสกสมรสกับองค์หญิงในปีใดก็รู้
คนบ้านี่ฉลาดเพียงนี้ จะประมาทไม่ได้!
ทว่า ไม่สิ เจ้าคนสติไม่สมประกอบเพิ่งจะบอกปฏิเสธ ไม่ได้ตอบตกลงนี่
“เจียวเจียวร์…” นายใหญ่โจวรีบขานเรียก
รถม้าของเฉิงเจียวเหนียงได้เคลื่อนออกไปแล้ว
“ท่านลุง ท่านกลับไปเถิด” สาวใช้เอ่ยก่อนจะปลดม่านรถลง
นายใหญ่โจวรั้งไว้ไม่อยู่ ทำได้เพียงเฝ้าดูรถม้าจากไป ขณะนั้นบ่าวก็พุ่งเข้าไปด้านในประตูก่อนจะเกิดเสียงดังแกร๊ก ราวกับกลัวคนเข้ามาขวางประตู
นี่มันเรื่องอะไรกัน!
ตนถึงเป็นท่านลุงเชียวนะ เหตุใดถึงกลายเป็นคนส่งข่าวไปเสียแล้ว อย่าว่าแต่น้ำสักอึกเลย แม้แต่เชิญเข้าไปในบ้านยังไม่รับอนุญาต ยิ่งไปกว่านั้นนางบอกปัดโดยไม่ทันได้เจรจา
ปฏิเสธอย่างนั้นหรือ
นายใหญ่โจวลูบเคราขมวดคิ้ว เพราะเหตุใดเล่า
ท่านชายฉินเดินเข้าไปในประตูใหญ่ของตระกูลโจว ก่อนจะหันหลังกลับไปมองอย่างอดไม่ได้ สาวใช้ที่อยู่หน้าประตูก็พลอยมองตามออกไปเช่นกัน
“คนพวกนี้ไร้มารยาทเสียจริง” บ่าวถลึงตาอย่างอดไม่ได้
แม้ว่าท่านชายฉินของเขาจะไปมาหาสู่กับตระกูลโจวด้วยตัวเอง แต่อย่าลืมว่าคำว่าตระกูลฉินนั้นติดตัวเขาอยู่เช่นกัน ตระกูลฉินที่ยิ่งใหญ่จะถูกมองข้ามโดยตระกูลโจวได้อย่างไร ต่อให้เป็นเรื่องขาเป๋ก็ห้ามล้อเลียน
ถูกต้อง ยามคนมองด้วยสายตาผิดปกติ ก็ต้องเป็นเพราะขาพิการของท่านชายเป็นแน่
รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากของท่านชายฉิน
“คนอื่นไม่ได้ผิดปกติ แต่เป็นเพราะข้านั้นผิดปกติอยู่ก่อนแล้ว” เขาปรามบ่าว “เราไปมาหาสู่ตระกูลนี้หลายครั้ง คนรับใช้ไม่เคยหยาบคายเช่นนี้มาก่อน มีเพียงวันนี้ที่ผิดปกติ ซึ่งนั่นไม่ใช่เพราะร่างกายพิการของข้า แต่เป็นเพราะเรื่องอื่น”
บ่าวคิดขึ้นได้ทันควันก่อนจะขานรับ
“สวรรค์ไม่เคยรังแกผู้คน ทว่าเป็นคนต่างหากที่รังแกคนกันเอง” ท่านชายฉินพูดพร้อมกับสั่นไหวไปตามเกี้ยว “ไม่ใช่การกลั่นแกล้งโดยคนอื่น แต่เป็นการกลั่นแกล้งตัวเอง เช่นเดียวกับเมื่อครู่ ยามเห็นสีหน้าของผู้คนแตกต่างไปจากเดิมก็โกรธ แล้วก็ตัดสินอย่างที่ตนเองไปคิด แต่ไม่รู้เหตุผลที่แท้จริง เวลาผ่านไปก็เอาแต่โทษสวรรค์อีก แต่ไม่คิดว่าข้อเท็จจริงก็คือข้อเท็จจริง ไม่อาจเปลี่ยนแปลง อยู่ที่ว่าเจ้าจะอยากมองหรือไม่อยากมอง”
บ่าวฟังไม่ค่อยเข้าหูนัก เข้าใจแต่ก็เหมือนจะไม่เข้าใจ แต่ก็ชินเสียแล้ว เพราะท่านชายของเขาเดินเหินไม่ได้ตั้งแต่เด็ก จึงชอบพูดคุยมากกว่าคนปกติ
เกี้ยวมาถึงเรือนของท่านชายโจวหก ท่านชายโจวหกที่รู้ข่าวก่อนแล้วกำลังยืนรออยู่ที่ระเบียงทางเดิน สีหน้าแปลกไปเล็กน้อย
“ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องเล็กแล้ว” ท่านชายฉินยิ้ม ขณะที่จับไม้เท้าและมีบ่าวช่วยพยุงตัวให้เดินเข้ามา
“เจ้า… ทำไม… ถึงยังมาอีก” ท่านชายโจวหกเอ่ยปากถามด้วยสีหน้ายากจะอธิบาย
“เหตุใด ข้า ถึงมาที่นี่ไม่ได้” ท่านชายฉินถาม เขามองไปท่านชายโจวหก พลางคิดอย่างรวดเร็วว่ามีเหตุผลอะไรถึงทำให้เขามาที่นี่ไม่ได้
“ไม่ว่าจะเพื่ออะไรก็ตาม ในเมื่อเป็นการสู่ขอ เช่นนั้นก็ควรทำตามขนบธรรมเนียมอย่างครบถ้วน ในเวลานี้เจ้าไม่ควรเข้ามาในบ้านของข้าจริงๆ ” ท่านชายโจวหกเอ่ยเสียงต่ำ สีหน้ากระอักกระอ่วน
เรื่องเช่นนี้ หากเป็นลูกผู้ชายพูดออกมามักกระอักกระอ่วนเสมอ ใช่หรือไม่ ใช่แล้วมันเป็นเพราะเรื่องที่เด็กๆ มักพูดคุยกัน
เขาพยักหน้าขณะพูด
ท่านชายฉินตกตะลึง
ในสายตาของท่านชายโจวหก ตอนนี้เขาสีหน้านี้ดูทึ่มเล็กน้อย ตั้งแต่รู้จักกันมา นี่เป็นครั้งที่สองที่ได้เห็นท่านชายฉินเป็นเช่นนี้
ครั้งแรกคือตอนที่เขากลับมาจากกินอาหารค่ำกับผู้หญิงคนนั้น ตอนนั้นถูกเขาถามจนเสียหน้าไปแล้วครั้งหนึ่ง
เอาเป็นว่าล้วนแต่เป็นเพราะผู้หญิงคนนั้น
นี่ก็คงเป็นเรื่องพรหมลิขิตที่พวกหญิงสาวชอบคุยกันกระมัง
“ไม่ว่า ไม่ว่าเจ้าจะทำเพื่ออะไร ชายสิบสาม วันหน้าเจ้าต้องดีกับนางให้มากๆ นะ” ท่านชายโจวหกเอ่ยด้วยน้ำเสียงกลัดกลุ้ม “นางคิดร้ายสับปลับ นั่นเป็นเพราะนางไม่มีทางเลือกถึงได้เป็นเช่นนั้น ไม่มีที่พึง จึงต้องหาที่พึ่งพิง ต่อไปหากเจ้าเป็นที่พึ่งให้นางได้ นาง… นางจะต้องรู้สึกปลอดภัยเป็นแน่”
เมื่อเขาพูดจบก็เงยหน้าขึ้นมองท่านชายฉิน สีหน้าของขายังคงดูตกตะลึง ทันใดนั้นท่านชายโจวหกก็รู้สึกขุ่นเคืองอย่างอธิบายไม่ถูก
“เดิมทีเจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ เรื่องนี้ ข้ารับผิดชอบก็ได้ แต่เจ้ารีบร้อนกระโจนเข้าไปหาเรื่องเพื่ออะไรกัน!” เขาตะโกนออกมาอย่างอัดอั้น
ท่านชายฉินเผลอยิ้มออกมา
“ที่เจ้าบ่นกระปอดกระแปดไม่รู้จบมากมายเช่นนี้ บอกข้าก่อนได้ไหม ว่าข้าทำอะไรลงไปกันแน่ สู่ของั้นหรือ หรือว่าใครสู่ขอ” เขาถาม “แล้วนางเป็นใครกันอีก”
ท่านชายฉินจับใบหน้าพลางมองเขา
“เจ้าถามใคร” เขาถาม
“ถามเจ้าอย่างไรเล่า” ท่านชายฉินเอ่ย เขาเริ่มเหนื่อยที่ต้องจับไม้เท้าไว้ จึงนั่งลงบนพื้นทางเดิน
“เจ้ามาสู่ขอน้องสาวข้าแล้วไม่ใช่หรือ ยังไม่ได้ตกลงเรื่องการแต่งงานกันเลย ยังไม่ถึงเวลาแต่งงาน เจ้ามาทำอะไรที่นี่” ท่านชายโจวหกส่งเสียงฮึดฮัด ตนเองก็นั่งลงบนพื้นข้างๆ ด้วยเช่นกัน
ท่านชายฉินที่อยู่อีกด้านก็จับไม้เท้าก่อนจะยืนขึ้นอีกครั้ง
“โจวหก เจ้ากำลังล้อเล่นหรือ” เขาถาม
…………………………………………………..