พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 181 มาแล้ว
ณ เรือนไท่ผิง
สาวใช้ยื่นตั๋วแลกเงินให้กับสวีเม่าซิว ชายหนุ่มเอื้อมมือไปหยิบแล้วส่งต่อให้กับผู้ดูแลอู๋
“รบกวนผู้ดูแลร้านจัดการให้ด้วย” เขาพูด
ผู้ดูแลอู๋นึกย้อนกลับไป ตนทำงานที่หอจุ้ยเฟิ่งมานานกว่าสิบปี ใช่ว่าไม่เคยเห็นเงินมาก่อน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาสามารถจัดการกับเงินจำนวนมากได้ตามใจตนเองเช่นนี้
“ใช้ได้ทั้งหมดเลยหรือ” เขาถาม
สวีเม่าซิวพยักหน้า
“ได้ ไม่พอให้มาเอากับข้าเพิ่ม” เขาเอ่ย
ผู้ดูแลอู๋ยิ้มแล้วรับเงินด้วยท่าทีเคร่งขรึม
“แม่นางปั้นฉิน รบกวนพาข้าเข้าไปในเมืองด้วย” เขาเอ่ย
สาวใช้พยักหน้าตอบรับ
“นายหญิงคุยกับนายใหญ่เฉินแล้ว เมื่อถึงเวลาเขาจะช่วยอีกแรง” นางพูด
ผู้ดูแลอู๋พยักหน้า
“ข้าก็คิดถึงวิธีนี้เช่นกัน จึงอยากจะลองทำดู ผลอาจไม่ดีเหมือนเมื่อก่อน และวัดผู่ซิวไม่ใช่วัดที่หน้าเงินเหมือนแต่ก่อน มีคนมากมากมาถวายอาหารเจทุกปีจนมิใช่เรื่องแปลก หากอยากจะเป็นเหมือนพ่อค้าเศรษฐีในตอนนั้น เกรงว่าจะไม่ได้ผลแล้ว หวังว่านายหญิงและเถ้าแก่จะเข้าใจ” เขาพูดอีกครั้ง
“ผู้ดูแลอู๋อย่าได้กังวลไป นายหญิงบอกแล้วว่าเราไม่ใช่พ่อค้าเศรษฐี” สาวใช้ยิ้ม
ผู้ดูแลอู๋และสวีเม่าซิวนิ่งไป
“เช่นนั้นควรทำอย่างไรดี” ผู้ดูแลร้านถาม
“นายหญิงบอกว่าพวกเราถวายด้วยใจ ขอแค่พระท่านเห็นถึงความจริงใจก็เพียงพอแล้ว” สาวใช้ยิ้มเอ่ย
ว่าอย่างไรนะ นี่จะถวายจริงๆ หรือ
“ใช่แล้ว ใช้ใจ” ผู้ดูแลอู๋พยักหน้าและมองไปที่ลานกว้าง
หลี่ต้าเสาดูเหมือนจะยืนอยู่หน้าโต๊ะไม้ยาวมาตลอดไม่เคยห่าง เขาจ้องมองไปยังมีดในมืออย่างตั้งใจ เพื่อเลือกมีดด้ามที่เหมาะสมที่สุดสำหรับงานที่แตกต่าง
พระท่านมองเห็น คนทั่วไปย่อมมองเห็นเช่นกัน ในโลกนี้ไม่มีอะไรยากเกินไป ถ้าเราตั้งใจ
ความวุ่นวายในวัดผู่ซิวเริ่มต้นตั้งแต่กลางเดือนที่แล้ว ทุกอย่างที่เป็นขนบธรรมเนียมล้วนแต่มีกฎเกณฑ์ตายตัวให้ปฏิบัติตาม บวกกับที่วัดมีพระจำนวนมากคอยช่วยงาน แม้จะยุ่งแต่ก็ไม่ได้วุ่นวาย
“พวกหน้าใหญ่มาอีกแล้วหรือ” พระร่างท้วมใบหูใหญ่ถามพลางวางสมุดบัญชีในมือลง
“ห้าพันก้วน” พระอีกรูปหนึ่งเอ่ยขึ้นพร้อมกับยื่นตั๋วแลกเงินให้
พระอ้วนรับมาก่อนจะกวาดตามองอย่างไม่ใส่ใจ
“ยามนี้น้อยคนนักที่จะโง่เขลายอมเอาเงินมากมายถลุงเล่น เช่นนั้นก็จัดที่ชิดริมนอกให้เขาก็แล้วกัน” เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ตำแหน่งชิดริมด้านนอกเป็นตำแหน่งที่สะดุดสายตาผู้คนมากที่สุด ทั้งยังเป็นตำแหน่งที่ดีที่สุดอีกด้วย
แต่สำหรับผู้คนที่เดินผ่านไปมา เห็นชัดเด่นสะดุดตาแล้วอย่างไรเล่า ก็แค่อาหารเจเท่านั้น สู้โปรยเงินให้คนในงานคงสร้างชื่อเสียงได้มากกว่าเสียอีก
“ไม่ ตระกูลนี้บอกว่าต้องการด้านในสุด” พระอีกรูปเอ่ยขึ้นในทันใด
พระร่างท้วมตกตะลึง
“ช่างน่าขันนัก” เขายิ้มพลางเขย่าเงินในมือ
“เขาบอกว่าตั้งใจจะถวายให้พระเท่านั้น” พระรูปนั้นพูดเสริม
พระอ้วนหัวเราะลั่น
“ได้ เช่นนั้นยิ่งดีใหญ่ ในเมื่อตั้งใจเช่นนั้นแล้ว อาตมาก็ย่อมไม่ขัดศรัทธา” เขาพูดพร้อมกับฉีกกระดาษแผ่นหนึ่ง “ให้ตำแหน่งหน้าอุโบสถแก่เขา”
ด้านหน้าของอุโบสถเป็นตำแหน่งที่สะดุดตาผู้คนมากที่สุดเช่นกัน แต่ไม่ใช่ตำแหน่งที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเอง เพราะในเวลานั้นมีเพียงพระอาจารย์หมิงไห่เท่านั้นที่เป็นจุดสนใจ และความสนใจของทุกคนมิได้อยู่ที่อาหารเจ แต่เป็นอยู่ที่ชาฌาน
ทว่าหากมีคนเต็มใจจ่ายเงินซื้อความโง่เขลานี้ พวกเขาก็ไม่อาจขัดขวางได้ เพราะพระพุทธเจ้าสอนให้มีจิตเมตตากรุณา
เมื่อแสงแรกแห่งยามเช้าของวันถัดมาปรากฏขึ้น รถม้าของตระกูลเฉินก็มาถึงหน้าประตูบ้านของเฉิงเจียวเหนียงแล้ว
“พี่สาวข้าไปพร้อมกับพวกพี่สาวและน้องสาวคนอื่นๆ แล้ว ข้าเลยมารับแม่นาง”
เฉินตันเหนียงวิ่งเข้าไปในลานบ้านด้วยความดีใจ นางมองไปที่เฉิงเจียวเหนียงที่เดินออกมาแล้ว
เฉิงเจียวเหนียงยื่นมือไปจับมือนาง
“เช้าขนาดนี้เลยหรือ” นางพูด
“ไม่เช้าแล้ว หากรอให้คนมาเยอะ เราไปถึงก็ต้องรอจนกว่าจะเข้าไปข้างในได้ พวกเราไปถึงก็เดินเล่นในวัดก่อนแล้วกัน” เฉินตันเหนียงพูด
หากเทียบกับการรอพิธีชงชาฌานแสนยาวยืดในอุโบสถแล้ว นางชอบที่จะเดินเล่นเพลิดเพลินนอกอุโบสถมากกว่า
“เช่นนั้นเราไปเล่นด้านนอกกัน” เฉิงเจียวเหนียงพูด
เฉินตันเหนียงเบิกตาโพรงด้วยความดีใจ
“จริงหรือ” นางถาม “แม่นางมิได้ตั้งใจจะไปชมพิธีชงชาฌานหรอกหรือ”
“ชอบอย่างไรก็ทำเช่นนั้น แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว” เฉิงเจียวเหนียงพูด
เฉินตันเหนียงดูเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ นางไม่ได้ถามต่อ จากนั้นจึงเดินไปข้างหน้าพร้อมกับเฉิงเจียวเหนียงอย่างมีความสุข
“คำพูดของนายหญิงหมายความว่าอย่างไรหรือ”
จินเกอร์ที่อยู่ด้านหลังถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“ในสมัยโบราณ หวังฮุยจือจู่ๆ ก็อยากไปเยี่ยมเพื่อน เขาจึงเดินทางทั้งวันทั้งคืน แต่พอไปถึงประตูบ้านของเพื่อนกลับไม่อยากเจอเขาแล้ว จึงหันหลังเดินกลับไป” สาวใช้กระซิบ “คนอื่นถามว่าทำไมเล่า หวังฮุยจือจึงตอบว่าข้าชอบใจอย่างไรก็ทำอย่างนั้น เมื่อหมดความชอบนั้นแล้ว ก็จะไม่ย้อนกลับมาทำอีก”
จินเกอร์และปั้นฉินมองหน้ากัน
“เพราะเหตุใดเล่า” พวกเขาพูด
สาวใช้เม้มริมฝีปากยิ้ม
“ไม่ต้องถามว่าเพราะเหตุใด ก็แค่อยากทำเช่นนั้น” นางพูด “แต่ดูท่าทางจินเกอร์คงจะถูกใจไม่น้อย”
เพราะได้ยินมาว่าชาฌานมีพิธีการมากกว่าสิบขั้นตอน นายหญิงเข้าไปคงต้องนั่งอยู่นาน เขาในฐานะบ่าวแม้ไม่จำเป็นต้องไปเข้าร่วม แต่ก็ต้องเฝ้าอยู่ข้างประตู ไม่สามารถเดินเที่ยวรอบๆ ได้ สำหรับเด็กหนุ่มเช่นเขานั้น เกรงว่าจะเป็นเรื่องที่ทำได้ยากนัก
จินเกอร์หัวเราะเบาๆ
นอกจากรถม้าของตระกูลเฉินแล้ว สาวใช้ยังเช่ารถมาสำหรับพวกเขาทั้งสามคนมาเป็นพิเศษ
หลังจากที่ทุกคนนั่งลง รถม้าได้มุ่งหน้าไปยังวัดผู่ซิวในเมืองหลวง
ถนนหน้าวัดผู่ซิวมีผู้คนพลุกพล่านอยู่ทุกวัน แต่ยามนี้กลับเงียบสงบ
ถนนดินเหลืองถูกปูใหม่ ทหารจากกองปัญจทิศรักษานครยืนตัวตรงอยู่ริมถนน หลังจากเหล่าราชนิกูลเข้าไปในอุโบสถเพื่อเข้าร่วมพิธีชาชาฌานแล้ว จึงจะถึงคราวของสามัญคนธรรมดาทั่วไป
สาเหตุที่ต้องส่งกองรักษานครมารักษาความสงบเรียบร้อยนั้น เป็นเพราะมีเชื้อพระวงศ์เข้าร่วมพิธีนี้ด้วย
ชาวเมืองที่มารอตั้งแต่กลางดึกถูกปิดกั้นให้รออยู่บนถนน ทำให้เกิดความวุ่นวาย
“มาแล้ว มาแล้ว”
เสียงนั้นพาให้ทุกคนเขย่งปลายเท้ายืดคอมองออกไป
เพราะฮ่องเต้ร่างกายไม่แข็งแรง จึงมารวมพิธีเช่นนี้ไม่บ่อยนัก ส่วนพระโอรสทั้งสองก็ยังเด็ก
ไม่อาจออกจากวังได้ ผู้ที่มาร่วมพิธีในปีก่อนๆ จึงเป็นชินอ๋องที่พำนักอยู่ในเมืองหลวง
ทว่าขบวนเสด็จของวันนี้แตกต่างไปจากทุกครั้งอย่างเห็นได้ชัด เมื่อมองไปที่วัดผู่ซิว ประตูกลางสำหรับโอรสสวรรค์ถูกเปิดออก
“นั่นองค์ชายใหญ่นี่”
แม้ว่าองค์ชายใหญ่จะไม่ใช่โอรสสวรรค์ แต่เห็นได้ชัดว่าเข้ามาเยือนในฐานะโอรสสวรรค์ ดังนั้นวัดผู่ซิวจึงต้อนรับอย่างสมพระเกียรติ
ข่าวถูกแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ผู้คนแห่เข้ามามุงดูอย่างคึกคักมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ทหารของกองรักษานครถึงกับต้องใช้แส้หวดลงพื้นควบคุมสถานการณ์
ขบวนเสด็จผ่านไปอย่างรวดเร็ว ต่อจากนั้นคือตระกูลเศรษฐีจากเมืองหลวงหรือเมืองต่างๆ ความสนใจของชาวเมืองเริ่มลดน้อยลง ได้แต่รอให้คนเหล่านี้เข้าไปด้านในอย่างเหนื่อยหน่าย
ณ วังหลวง จิ้นอันจวิ้นอ๋องนั่งอยู่ในตำหนัก เขาโยนม้วนหนังสือในมือขึ้นลงอย่างเบื่อหน่าย
“องค์ชายจะไม่ไปจริงๆ หรือพะย่ะค่ะ” ขันทีถาม
“ไม่ไป พระหงำเหงือกเหล่านั้นเอาแต่เสแสร้งแกล้งทำ น่าหงุดหงิดจะตายไป สู้รอให้พิธีจบแล้วค่อยให้เขามาคั่วชาให้ข้าดื่มเอง ยังจะดีเสียกว่า” จิ้นอันจวิ้นอ๋องตอบ
“คนเยอะคึกคัก องค์ชายอยู่คนเดียวไม่เบื่อหรือพะย่ะค่ะ” ขันทีเอ่ยพลางถอนหายใจ มุมปากยกยิ้มขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว “ข้าจำได้ว่าคืนแรกที่องค์ชายเขามาอยู่ในวัง องค์ชายกำเสื้อข้าไว้แน่นทั้งคืน จนข้าฉี่รดกางเกงตัวเอง เพราะลุกไปไหนไม่ได้…”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหัวเราะดังขึ้นเรื่อยๆ เขาโยนหนังสือลงแล้วทุบอก
ขันทีหัวเราะตาม เช็ดที่หัวตาอย่างห้ามไม่ได้
“หากองค์ชายใหญ่ไปก่อนล่วงหน้าแล้ว องค์ชายก็มิต้องไปอย่างเป็นทางก็ได้ ยามไปถึงแล้วย่อมเป็นอิสระ จะเดินเล่นไปไหนก็ทำได้ตามใจ” เขาโน้มน้าวต่อ “แค่ไปกินบะหมี่เจของวัดผู่ซิวสักชามก็ยังดีนะพะย่ะค่ะ คราวหน้าไม่ไปก็ได้ แต่วันนี้ข้าไม่อยากเห็นองค์ชายอยู่ที่นี่เพียงลำพัง”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหัวเราะแต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ
“อีกอย่าง องค์ชายกำลังคิดหาวิธีที่จะได้เจอนางอย่างแยบยลมิใช่หรือ ครั้งนี้คนคงไปกันมาก คนของตระกูลเฉินก็คงไปร่วมงานด้วยแน่นอน หากแม่นางผู้นั้นเป็นคนของตระกูลเฉิน ก็อาจจะไปร่วมงานด้วย แต่ถ้าหากเป็นแขกของตระกูลเฉิน ยิ่งต้องไปร่วมงานด้วยเป็นแน่” ขันทีพูดต่อ
ยังไม่ทันได้พูดจบ จิ้นอันจวิ้นก็พรวดพราดลุกขึ้นยืน
“ก็จริงของเจ้า” เขาเอ่ยพลางยิ้ม ก่อนจะยกแขนขึ้น “ใครก็ได้ เปลี่ยนชุดให้ข้าที”
………………………………………………..