พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 188 มองใกล้ๆ
หยาดฝนแห่งวสันตฤดูโปรยปรายติดต่อกันมาหลายวันจนแมกไม้เขียวขจีไปทั่วทั้งเมือง
ดินโคลนหลังฝนบนพื้นถนนไม่อาจหยุดยั้งการสัญจรของผู้คน รถม้าคันหนึ่งวิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็วจนน้ำโคลนสาดกระเซ็น จนเกิดเสียงก่นด่าดังไล่หลังตามมา
แม้แต่ชายหนุ่มสวมชุดคลุมผ้าแพรสีน้ำตาลบนหลังม้าก็รีบเบี่ยงตัวหลบเช่นกัน แต่ไม่วายยังโดนโคลนกระเด็นใส่เท้าอยู่ดี
เขาสบถด่าก่อนจะบังคับม้าออกสู่ถนนใหญ่ ก่อนจะมองไปยังร้านอาหารที่ตั้งตระหง่านอยู่ไม่ไกล
ธงหลากสีบนเสาสูงลิ่วปลิวไสวตามแรงลม เผยให้เห็นอักษรคำว่าไท่ผิงที่ปักด้วยไหมทองอยู่รำไร
ยามนี้เป็นเวลาเที่ยงตรงพอดี หน้าร้านอาหารมีรถม้าจอดอยู่สองสามคัน หากมองลอดผ่านม่านไผ่ที่ถูกม้วนขึ้นก็จะเห็นคนราวสี่ถึงห้าคนนั่งอยู่ภายใน
ก็ไม่ได้ขายดีอะไรนักนี่
แม้โต๊ะภายในร้านจะนั่งไม่เต็ม ทว่าภายนอกร้านกลับมีคนยืนรออยู่ไม่น้อย
ชายหนุ่มเดินเข้าไปใกล้ มองไปยังก้อนอิฐที่วางอยู่หน้าประตู พร้อมกับม้านั่งยาวและโต๊ะที่มีชาและผลไม้แห้งวางอยู่
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ของเหล่านี้เอามาทำอะไรกันนะ
ชายหนุ่มลงจากม้า จากนั้นคนงานของร้านที่รับผิดชอบดูแลรถม้าก็เข้ามารับม้าไป
“ท่านลูกค้า เชิญด้านในขอรับ…” เขาเอ่ยพลางผายมืออย่างเป็นมิตร
ชายหนุ่มยังไม่ทันได้ตอบ คนที่อยู่หน้าประตูพลันระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“พี่ซื่อเหวยพูดได้ดี พูดได้ดี…”
หลังจากนั้นก็มีคนเรียกหาเถ้าแก่
คนงานที่ยืนอยู่ในร้านจึงรีบเข้ามาหา
“ไปบอกผู้ดูแลร้านของพวกเจ้าที ย้ายอักษรนี้เข้ามาอยู่ร้านในเถิด ปล่อยให้ตากแดดตากลมเช่นนั้น มันช่างปวดใจเหลือเกิน” บัณฑิตผู้หนึ่งเอ่ย พลางชี้ไปยังแผ่นป้าย
ชายหนุ่มมองตาม เห็นแผ่นป้ายที่เขียนว่าไท่ผิง
นี่ก็คือตัวอักษรที่โด่งดังไปทั่วทั้งเมืองอย่างนั้นหรือ
มีดีตรงไหนกัน
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว เขาไม่ได้ใส่ใจก่อนจะเดินเข้าไปในร้าน
คนงานทั้งสามคน คนหนึ่งดูสูงอายุนั่งอยู่หลังโต๊ะต้อนรับ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะง่วงนอนหรือเพราะเหตุใด เขาถึงได้ดูท่าทางเบื่อหน่ายอยู่ตลอด ส่วนอีกคนเป็นคนรับรายการอาหาร ซึ่งก็ดูมีอายุเช่นกัน แม้พูดจาชัดถ้อยชัดคำ แต่ทว่าไร้ไหวพริบในการต้อนรับลูกค้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรจะมี
ความเร็วในการนำอาหารขึ้นโต๊ะนั้นเร็วมาก แต่ก็ไม่ถือว่าดีอะไร เพราะลูกค้าน้อย
ส่วนรสชาติน่ะหรือ…
ในเมืองหลวงคราคร่ำไปด้วยร้านอาหารมีชื่อมากมาย กินบ่อยๆ เข้าก็รู้สึกเฉยๆ
ชายหนุ่มละเมียดละไมกินอาหาร ตั้งแต่เขาเข้ามาในร้าน แขกที่นั่งอยู่ภายในก็พากันทยอยออกไป จากนั้นก็ไม่มีใครเข้ามาอีกเลย แม้ว่าเหล่าบัณฑิตท่าทางบ้อๆ บอๆ ยังคงอยู่นอกร้าน แต่ก็ไม่มีใครเข้ามาข้างในเช่นกัน เอาแต่พากันทำ ‘สุขใจไร้กังวล’ ที่ยามนี้ทุกคนรู้จักกันดีด้วยหม้อหุงต้มที่นำมาเองอยู่ด้านนอก
เรือนไท่ผิงไม่ได้เงินจากบัณฑิตเหล่านั้นเลยแม้แต่แดงเดียว แถมยังต้องยกน้ำชาไปให้อีก
เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าบัณฑิตต๊อกต๋อยเหล่านี้ตระหนี่และยิ่งยโสเป็นที่สุด หากหวังจะให้พวกเขาก้มหัวให้เพียงเพราะตัวอักษรตัวเดียวนั้นคงเป็นไปไม่ได้ ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจจะเริ่มประณามอยู่ในใจแล้วก็ได้ว่า ที่ชั้นต่ำเช่นนี้ทำให้ตัวอักษรอันงดงามต้องแปดเปื้อน จนนึกรังเกียจร้านอาหารนี้อยู่ในใจไปแล้วก็ได้
“คิดเงิน” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น
ผู้ดูแลร้านที่กำลังหาวหวอด สดใสขึ้นมาในทันที
“แปดตำลึง” เขาหรี่ตาพูด
ชายหนุ่มจ่ายเงินก่อนจะเดินออกจากประตูไป คนงานที่ดูแลรถม้าก็นำม้าออกมาแล้ว
คนงานอายุราวยี่สิบปีผู้นี้จูงม้าไม่เหมือนคนงานของร้านอื่น เขาคล้อยมือลง ไม่จูงบังเหียน ทั้งยังไม่ตะโกนสั่ง เพียงแค่เดินอยู่ด้านข้างและนำม้ามาให้เท่านั้น
เจ้าหมอนี่ท่าทางดูมีทักษะบังคับม้าอยู่เหมือนกัน
ความคิดบางอย่างผุดขึ้นมาในหัวของชายหนุ่ม แต่ก็เพียงแวบเดียวเท่านั้น ในเมื่อที่นี่คือร้านอาหาร ไม่ใช่สนามม้าเสียหน่อย
เขากระโดดขึ้นหลังม้าแล้วจากไป เมื่อเข้าสู่ถนนใหญ่ ชายหนุ่มก็หันกลับไปมองอีกครั้ง
ท่ามกลางอากาศยามฤดูใบไม้ผลิ ร้านอาหารแห่งนี้กลับดูเงียบเหงาอย่างเห็นได้ชัด
เขาส่ายหัวพลางละสายตากลับมา ขณะนั้นก็มีรถม้าคันหนึ่งวิ่งผ่านเขาไป ก่อนจะเลี้ยวเข้าสู่เรือนไท่ผิง
ชายหนุ่มดึงบังเหียนม้าอีกครั้ง มองรถม้าที่หยุดอยู่หน้าประตู เห็นพระรูปหนึ่งลงมาจากรถ
พระอย่างนั้นหรือ
ชายหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย หรือว่าได้เงินจากพิธีชงชาฌานในวันนั้นไม่มากพอ พระจึงมาทวงหนี้อย่างนั้นหรือ
อ้างชื่อพระอาจารย์หมิงไห่ หากไม่ได้เงินหมื่นก้วนก็คงไม่มีแรงทำงานกระมัง
ชายหนุ่มยกยิ้มบาง พระเฒ่าพวกนั้นทั้งเหลี่ยมจัดและโลภมาก คงไม่เอาตัวเองมาแปดเปื้อนง่ายๆ เช่นนี้หรอก
คิดเพียงเท่านี้ เขาก็เร่งม้าเดินหน้าไปไกล ไม่หันกลับมาอีก
ใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วยามม้าก็เข้ามาถึงในเมือง ก่อนจะหยุดอยู่ที่หน้าเรือนนางฟ้า
แม้จะพ้นยามบ่ายไปแล้ว แต่คนก็ยังนั่งกันแน่นเต็มร้าน
เมื่อเห็นชายหนุ่มมาถึง คนงานของร้านเข้าไปต้อนรับอย่างกระตือรือร้น
“ผู้ดูแลร้าน กลับมาแล้วหรือ” พวกเขากันพากันเอ่ยทักทาย
ชายหนุ่มไม่ได้สนใจ แต่กลับตรงเข้าไปผ่านทางเดินด้านหลัง ลูกค้ากลุ่มหนึ่งกำลังลงมาจากชั้นบน ใบหน้าบึ้งตึงดูท่าทางอารมณ์ไม่ดี
“ไม่ได้กินอะไรมากมายเสียหน่อย เหตุใดถึงคิดราคาแพงเพียงนี้…”
หนึ่งในนั้นบ่นพึมพำ
พวกไม่มีอันจะกิน คิดว่าใครจะมากินที่ร้านของข้าก็ได้อย่างนั้นหรือ จ่ายไม่ไหวก็ไม่ต้องมา!
ชายหนุ่มเองก็ปั้นหน้าบูดบึ้งก่อนจะเดินไปอีกทาง เขาเดินตรงเข้าไปในห้องหนึ่ง
“เป็นอย่างไรบ้าง”
โต้วชีที่นั่งตัวตรงอยู่บนเสื่อเอ่ยถามอย่างร้อนใจ
“ก็ไม่เป็นอย่างไร” ผู้ดูแลร้านนั่งลงพลางเอ่ย ก่อนจะเล่ารายละเอียดที่ได้ยินมาให้ฟัง “วันนี้ชาวบ้านมีไม่มาก
ข้าสั่งเต้าหู้มาลองชิม รสชาติดีจริงๆ แต่บรรดาเศรษฐีพวกนั้นคงไม่บากบั่นไปไกล เพียงเพื่อสิ่งนั้นหรอก
พวกเศรษฐีต่างก็มีพ่อครัวฝีมือดีประจำตระกูล มาร้านอาหารก็เพื่อพักผ่อนเท่านั้น เรือนไท่ผิงนั่นแม้จะสะอาดสะอ้าน แต่จะอยู่ในสายตาของชนชั้นสูงหรือไม่นั้น ยังถือว่า…”
เขาส่ายหัว แล้วไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ
โต้วชีโล่งอก
“คิดอยู่แล้วว่าไอ้พวกกระจอกพวกนั้นคงไม่มีความคิดดีๆ อะไรหรอก” เขาเอ่ย “ยังจะมีหน้ามาทำบุญถวายพระอีก! ไม่รู้หรือไรว่าผู้ใดคืออู่ข้าวอู่น้ำที่แท้จริง”
เขาพูดถึงเพียงเท่านั้นก็หน่ายจะพูดต่อ
“หน้าไม่อายจริงๆ หอจุ้ยเฟิ่งไม่เอาพวกเขาแล้ว พอเปลี่ยนเป็นเรือนไท่ผิง พวกเขายังกลับไปอีก” เขาเอ่ย
“นั่นน่ะสิ เรือนไท่ผิงเปิดโดยคนต่างถิ่นสองสามคน ตอนนั้นถูกพวกเราโกงเงินเพราะความโง่เขลา หากถูกผู้ดูแลอู๋และหลี่ต้าเสาหลอก เพราะคำพูดเพียงไม่กี่คำก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก” ผู้ดูแลร้านเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
โต้วชีฮึดฮัด
“แต่คิดไม่ถึงเลยว่าคนบ้านนอกเช่นนั้นจะมีเคล็ดลับการทำเต้าหู้ แล้วเจ้าหลี่ต้าเสาแกะสลักเก่งเช่นนี้เชียวหรือ เหตุใดเมื่อก่อนไม่เคยสังเกตุเห็นเลย” เขาบอก
“เถ้าแก่ งานแกะสลักก็คือการตกแต่งจัดจาน ก็เหมือนกับชั้นวางดอกไม้ ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร” ผู้ดูแลร้านรีบเอ่ย
“แต่ว่า คราวนี้ก็ทำให้เขามีชื่อเสียงขึ้นมาจริงๆ” โต้วชีเอ่ย เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เช่นนี้แล้วกัน พวกเชิญเขากลับมาเถิด”
ผู้ดูแลร้านตกตะลึง
“เชิญเขาอย่างนั้นหรือ” เขาถาม
“ชั้นวางดอกไม้อยู่ที่ร้านอื่นคงไม่มีประโยชน์นัก แต่สำหรับนางฟ้าผ่านทางของร้านเรา หากมีชั้นวางดอกไม้ก็คงดีไม่น้อย” โต้วชีเอ่ยพร้อมยื่นมือออกไป เขากวาดสายตา “วางไว้ก็มองเพลินตา อาหารแบบเดียวกัน
ก็จะขายได้แพงกว่านิดหน่อย”
ผู้ดูแลร้านพยักหน้า
“หากเขาไม่ยอมมาเล่า” เขาถาม
“ให้เงินเดือนเขาเยอะหน่อยก็สิ้นเรื่อง จะไปยากอะไร” โต้วชีพูดอย่างไม่แยแส
จริงอย่างที่ว่า ผู้ใดจะไปปฏิเสธเงินกันเล่า
ผู้ดูแลร้านขานรับแล้วลุกขึ้นบอกลา ก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้
“จริงสิเถ้าแก่ ตอนที่ข้ากลับมาเจอพระที่น่าจะมาจากวัดผู่ซิวไปที่เรือนไท่ผิงพอดี ไม่รู้ว่าไปทำอะไร” เขาบอก
“หากพระอยากเที่ยวดื่มเหล้าเมายาจะไปที่ไหนได้อีกเล่า ไม่ต้องไปสนใจเขา” โต้วชีเอ่ย โบกมืออย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะหน้านิ่วขึ้นมา “พูดถึงพระ ข้าว่าการถวายอาหารที่วัดผู่ซิวเริ่มไม่ได้ผลเสียแล้ว เสียเงินไปเยอะขนาดนี้ ไม่เห็นความนิยมจะมากขึ้นเลย”
แม้ความนิยมนั้นสูงขึ้นไม่น้อย แต่น่าเสียดายคนที่มาในตอนนี้ ไม่สามารถกินโดยไม่ต้องจ่ายเงินเหมือนตอนที่นำไปถวายวัดได้ ครึ่งหนึ่งก็พากันตกใจกลัวจนเผ่นหนีไปหลังจากถามราคา อีกครึ่งหนึ่งหลังจากกินเสร็จก็ปวดใจจนไม่กล้ามาอีก สุดท้ายแล้วก็เหลือเพียงลูกค้าขาประจำเหล่านั้น
“รอให้หลี่ต้าเสามาแล้ว พวกเราก็เพิ่มรายการอาหารใหม่สักสองสามอย่าง แค่นั้นก็น่าจะใช้ได้แล้ว” เขาเอ่ย
หลังจากได้ฟังคำพูดนี้ โต้วชีก็รู้สึกไม่พอใจนัก เขาต้องการให้เจ้ากระจอกคนนั้นมาเพิ่มความนิยมตั้งแต่เมื่อใดกัน
“ออกไปได้แล้ว ออกไปได้แล้ว” เขาโบกมือพลางเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงมาเยือนครั้งนี้ก็เพื่อส่งสาวใช้กลับ สาวใช้เองก็รู้สึกอาลัยอาวรณ์ไม่น้อย
“นายใหญ่จางเป็นคนจิตใจดี” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “เจอคนจิตใจดี เป็นพรจากฟ้า ปั้นฉินเจ้าต้องพอใจในสิ่งที่ตนมี”
สาวใช้มองหน้านาง พลางยับยั้งความรู้สึกก่อนจะพยักหน้า
“ข้าไม่ได้จะทิ้งเจ้า” เฉิงเจียวเหนียงชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อ “เจ้าดีมาก นางก็ดีมากเช่นกัน”
นางหันหน้าไปมองสาวใช้
สาวใช้ยิ้มอย่างเบิกบาน ท่าทางนิ่งสงบ แต่นัยน์ตาฉายความปิติ
“ทุกคนต่างก็ดีมาก” เฉิงเจียวเหนียงพูดต่อ “เพียงแต่ จะอยู่กับข้าทั้งหมดก็สิ้นเปลือง ทุกคนต่างต้องพึงพอใจในสิ่งที่ตนมีและรักษาสิ่งนั้นไว้”
สาวใช้พยักหน้าแล้วยิ้มออกมา
“นายหญิง ข้ารู้ดีเจ้าค่ะ นายหญิงไม่ได้จะทิ้งข้า นายหญิงอยากให้ข้ามีชีวิตที่ดีขึ้น” นางเอ่ย “นายหญิงวางใจเถิด ข้าจะต้องมีความสุขอย่างแน่นอน”
ครั้นนายและบ่าวจะลุกขึ้น สวีเม่าซิวก็เดินเข้ามา
“น้องสาว ช้าก่อน” เขาบอก “คนของวัดผู่ซิวบอกว่าขอเจรจาการค้าด้วยหน่อย”
คนของวัดผู่ซิวจะเจรจาการค้าอย่างนั้นหรือ
บรรดาสาวใช้ต่างตกตะลึงและสงสัย ก่อนจะหันหน้าไปมองเฉิงเจียวเหนียง
เฉิงเจียวเหนียงยิ้มบาง
สาวใช้ที่อยู่ด้านข้างร้องอ๋อขึ้นทันที
“นายหญิง พวกเขาต้องการเต้าหู้ใช่ไหมเจ้าคะ” นางถาม
“เขามาเพราะเต้าหู้จริงๆ วัดผู่ซิวจะซื้อเต้าหู้ของเรา” สวีเม่าซิวพยักหน้าพลางเอ่ย พร้อมกับยื่นมือออกมา
“จะจ่ายให้สามร้อยชั่งต่อเดือน”
เหล่าสาวใช้เบิกตาโพลง
สามร้อยชั่ง! ต่อเดือน! เงินมากมายเช่นนั้นเรือนไท่ผิงใช้ตั้งครึ่งปี วัดผู่ซิวนี้ยิ่งใหญ่เสียจริง
“ข้าไม่ต้องไปเจอเขาหรอก ท่านพี่กับผู้ดูแลร้านตัดสินใจได้เลย” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
“ข้าคิดว่าราคาที่ผู้ดูแลอู๋ตกลงในวันนี้ถือว่าดีแล้ว” สวีเม่าซิวเอ่ย พร้อมกับยกนิ้วบอกราคา
เหล่าสาวใช้เสียสติไปอีกครั้ง ยกมือขึ้นไปปิดปาก
“วัดผู่ซิวสมกับเป็นวัดอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงจริงๆ” สาวใช้พึมพำ “มิน่าเล่า คนต่างพูดกันว่าวัดเป็นทอง
แต่พระนั้นเป็นเงิน”
เฉิงเจียวเหนียงยิ้ม ก่อนจะเดินจากริมหน้าต่างเข้ามาใกล้ กระโปรงยาวลากพื้นจนเกิดเสียงตามมา
“วัดผู่ซิวเป็นวัดอันดับหนึ่งของเมืองหลวง รองรับผู้คนจำนวนมาก หากผู้ใดก็สามารถลิ้มรสเต้าหู้ได้ จะทำให้เสียราคาเอา” นางเอ่ย พลางหันไปมองสวีเม่าซิว “ขึ้นราคาอีกสองในสิบ เต้าหู้ไท่ผิงจะถวายแด่วัดผู่ซิวเพียงแห่งเดียว”
หากต้องตัดเส้นทางการค้าอื่น เสียสละเงินที่ควรจะได้ เพื่อให้วัดผู่ซิวครอบครองแต่เพียงผู้เดียว เช่นนั้นแล้วราคาก็ต้องสูงขึ้นอีกสักนิด
สวีเม่าซิวพยักหน้าพลางตอบตกลง
“ข้าจะไปคุยกับเขาเดี๋ยวนี้” เขาเอ่ยก่อนจะเดินออกจากประตูไป แต่แล้วเขากลับหยุดเดินแล้วหันกลับมาอีกครั้ง “น้องสาวหมายความว่า เต้าหู้นี้มีนามว่าเต้าหู้ไท่ผิงอย่างนั้นหรือ”
เต้าหู้ในเรือนไท่ผิงย่อมต้องชื่อว่าเต้าหู้ไท่ผิงอยู่แล้ว ความคิดนี้ผุดขึ้นในหัวของสาวใช้ แต่นางใส่ใจนัก
ทว่าสาวใช้อีกนางหนึ่งพยักหน้ามองเฉิงเจียวเหนียง ก่อนจะกลั้นยิ้มไม่อยู่
หมั่นโถวไท่ผิง วัดไท่ผิง เรือนไท่ผิง เต้าหู้ไท่ผิง…
ดูเหมือนว่านายหญิงจะชอบกินหมั่นโถวไท่ผิงจริงๆ
ครั้นสวีเม่าซิวเปิดประตูเดินออกไป สาวใช้ทั้งสองคนภายในห้องเพิ่งจะได้สติ
“นายหญิง ที่แท้นี่ก็คือความจริงใจที่นายหญิงอยากให้พระท่านเห็นหรือเจ้าคะ!” สาวใช้พึมพำอีกครั้ง
………………………………………………….