พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 191 คิดมาก
ภายในเรือนของโต้วชี ผู้ดูแลร้านกุลีกุจอเข้ามา พร้อมกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่เดินตามมาด้านหลัง
คือชายคนเดียวกันที่เดินตามภรรยาของหลี่ต้าเสาเข้าไปในเรือนไท่ผิงเมื่อครู่
เรือนของโต้วชีอยู่ในบ้านตระกูลโต้ว นับตั้งแต่ร้านอาหารมาเปิดที่เมืองหลวง โต้วชีก็ซื้อเรือนสี่ประสาน อีกหลังหนึ่งใกล้ๆ เมืองหลวง พร้อมกับพาอนุภรรยาอีกสองคนเข้ามาอยู่
ยามผู้ดูแลร้านและชายหนุ่มเดินเข้ามาภายในห้องรับแขก โต้วชีก็กำลังรออยู่อย่างร้อนใจ
“เป็นอย่างไรบ้าง” เขาถาม
ชายหนุ่มส่ายหัว ก่อนจะนำโฉนดที่ดินแปลงหนึ่งยื่นให้
โต้วชีถ่มน้ำลาย
“ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี” เขาสบถด่าก่อนจะโบกมือ
ชายหนุ่มจึงรีบออกไป
หลังจากที่สาวใช้นำชาเข้ามาให้แล้วออกไปนั้น ก็เหลือเพียงสองคนที่กำลังคุยกันอยู่ในห้อง
“เจ้าหมอนั่นช่างดื้อด้านนัก” ผู้ดูแลร้านเอ่ย “ตอนแรกที่ติดตามนายใหญ่ ทั้งใจมีเพียงนายใหญ่
แต่ตอนนี้กลับให้เขาเป็นเหมือนดั่งพ่อแม่ผู้ให้ชีวิตใหม่ เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่ยอมจากมา”
โต้วชีถ่มน้ำลายอีกครั้ง
“อุตส่าห์ยอมอ่อนให้แล้วยังไม่รับไว้อีก” เขาเอ่ยด้วยสีหน้าตึงเครียด
เสียงฝีเท้าดังมาจากด้านนอกประตู ก่อนจะมีบ่าวคนหนึ่งวิ่งเข้ามา
“ท่านชายเจ็ด” เขาคุกเข่าลงบนทางเดินแล้วนั่งลงอย่างตื่นตระหนก “จูอู่บอกว่าพวกหวังต้าถูกทุบตีแล้วโดนไล่ออกมา!”
โต้วชีและผู้ดูแลร้านตกใจ
“หวังต้าบอกว่า เรือนไท่ผิงมีนักเลงฝีมือดี พวกเขารับมือไม่ไหว ยังบอกอีกว่า…” บ่าวพูดต่อ
เมื่อพูดถึงตรงนี้ โต้วชีก็กลั้นโมโหไม่ได้อีกต่อไป เขาพลิกโต๊ะชาตรงหน้าจนล้มระเนระนาด
บ่าวตกใจกลัวจนไม่กล้าพูดต่อ
“บอกว่าอะไรอีก” โต้วชีถลึงตาตะโกนถาม
“ยังบอกว่า เป็นเพราะนายใหญ่ไม่ได้บอกพวกเขาก่อน พวกเขาถึงได้ทำงานพลาดเช่นนี้ ก็…ก็เลยขอเงินค่ายา ไม่อย่างนั้นจะป่าวประกาศ…” บ่าวก้มหน้าพูดจนจบในอึดใจ
เป็นไปตามคาด เมื่อเอ่ยจบโต๊ะชาตัวนั้นถูกโยนออกไป ก่อนจะกลิ้งอยู่ในเรือน
“ไสหัวไป” โต้วชีตะโกนด่า
บ่าวหันหลังวิ่งออกไป ก่อนผู้ดูแลร้านจะเอ่ยขึ้นมา
“เถ้าแก่ หากไม่จัดการอันธพาลพวกนี้ได้ดี จะเกิดปัญหาได้” เขาเกลี้ยกล่อม
โต้วชีเดือดดาล ก่อนจะลุกขึ้นเดินวนไปมาในห้อง
“มีนักเลงฝีมือดีอย่างนั้นหรือ ก็แค่คนบ้านนอกสองสามคน ไม่มีญาติพี่น้องให้พึ่งพิง ผู้ใดจะไปกลัวคนอย่างพวกมันกัน” เขาเอ่ยพลางชี้นิ้ว “เอาเงินไปเยอะหน่อย บอกจูอู่ว่าให้ขุดเรื่องในอดีตของพวกอันธพาลนั่นไปคุยโวให้ทั่ว บอกว่าคราวนี้โดนตีจนหน้าแตก ถ้าใครบอกว่าพวกนั้นเป็นนักเลงฝีมือดีก็บอกปัดไป แล้วพูดให้คนอื่นคิดว่าเป็นพวกกระจอก”
ผู้ดูแลร้านลังเลไปครู่หนึ่ง
“จะทำให้เรื่องใหญ่ขึ้นหรือขอรับ” เขาถาม “ไม่รู้ว่าเรือนไท่ผิงจะมีคนหนุนหลังอีกหรือเปล่า ข้อมูลอย่างอื่นก็สืบไม่ได้เลย ได้ยินมาเพียงแค่ตัวอักษรที่แขวนอยู่หน้าร้านเขียนโดยผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่ง”
โต้วชีหัวเราะเยือกเย็น
“กวีที่เขียนได้ไม่กี่ตัวอักษรน่ะหรือ จะสักเท่าไรกันเชียว” เขาเอ่ย “ต่อให้เขามีคนหนุนหลัง แล้วผู้อื่นจะไม่มีเลยหรือ อีกอย่าง ก็แค่พวกอันธพาลไม่กี่คนมีเรื่องกันเท่านั้น ไม่มีผลอะไรมากหรอก”
ผู้ดูแลร้านไม่ค่อยเข้าใจ
ในเมื่อไม่มีผลอะไรมาก แล้วเหตุใดต้องทำด้วย
“ก่อเรื่องให้ไปถึงทางการ สั่งสอนพวกนั้นให้หลาบจำ” โต้วชียิ้มเย็นพลางเอ่ย “หากเบื้องหลังพวกเขามีเส้นสายอะไร ก็ถือว่าดวงแข็ง ทำให้เจออุปสรรคนิดๆ หน่อยๆ ก็พอ ถือโอกาสดูด้วยว่ามีเส้นสายอะไร หากไม่มีละก็…”
พูดถึงตรงนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าของโต้วชีก็เยือกเย็นมากขึ้น
“ก็ส่งพวกเขาให้ไปอยู่ในมือของไล่โถวไช่” เขาบอก
ไล่โถวไช่เป็นผู้คุมคุกชื่อดังของเมืองหลวง หากตกอยู่ในมือเขาแล้ว ไม่ต่างอะไรกับอยู่หน้าประตูนรก
เขามีวิธีนับร้อยที่จะทำให้คนต้องตายอย่างไร้สิ้นเสียง
หาโอกาสส่งพวกคนบ้านนอกบ้าบิ่นนั่นเข้าไป ส่วนจะออกมาได้หรือไม่นั้น ก็อยู่ในการควบคุมของโต้วชี
ทั้งหมด
สิ่งเหล่านี้ไม่ต้องให้ปู่บุญธรรมของเขาออกหน้าเลยด้วยซ้ำ โต้วชีสามารถจัดการได้เองโดยที่ไม่มีใครล่วงรู้
“จะใช้ชื่อเสียงตระกูลโต้วของข้าหากิน! มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก!” เขาส่งเสียงเฮอะ พร้อมนั่งลง
จะว่าไปแล้ว ไม่แน่ว่าเขาอาจจะได้ที่ดินผืนนั้นกลับคืนมาด้วยก็ได้…
สายตาของโต้วชีเป็นประกายขึ้นมา ลมหายใจก็ถี่กระชั้นด้วยเช่นกัน
ท่านชายโจวหกและท่านชายฉินสิบสามกลับมาถึงจวนหลังจากกินอาหารเจเสร็จ ทั้งที่เพิ่งจะก้าวเข้าประตูได้ไม่นาน จู่ๆ ฮูหยินโจวก็เรียกตัวไป
ภายในห้องมีสาวใช้สองคนกำลังพูดอยู่ พวกนางดูท่าทางอิดโรย
“เจอนายใหญ่ระหว่างทางแล้วเจ้าค่ะ นายใหญ่ให้เรามาบอกฮูหยินว่าถึงโดยสวัสดิภาพแล้วเจ้าค่ะ” พวกนางยิ้มพลางเอ่ย
เป็นคนที่ท่านพ่อพาไปเจียงโจวด้วยหรือ เหตุใดถึงกลับมาเร็วเช่นนี้
ท่านชายโจวหกนั่งลงพลางฟัง
ฮูหยินโจวไม่ได้สนใจเขา ทว่าตั้งใจฟังเรื่องของนายใหญ่โจวก่อน พอได้ยินว่ากินอิ่มนอนอุ่น ร่างกายแข็งแรง ถึงได้สบายใจ
“ช่วงที่ผ่านมาเราได้ถามเรื่องของแม่นางเฉิงมาอย่างละเอียดแล้ว”
ท่านชายโจวหกที่ตอนแรกอยากจะพูด พอได้ยินสาวใช้เอ่ยประโยคนี้ขึ้นมาก็หยุดชะงัก
เรื่องของนางอย่างนั้นหรือ
“เป็นอย่างไร” ฮูหยินโจวถามอย่างไม่แยแส ตั้งแต่ที่ไล่นางออกไป กิจวัตรภายในบ้านก็กลับมาเป็นปกติดังเดิม นางไม่ได้ร้อนรนเหมือนช่วงก่อนหน้านี้แล้ว
“เหมือนกับที่ฮูหยินคาดไว้เลยเจ้าค่ะ ตอนอยู่ที่บ้านก็สร้างเรื่องวุ่นวาย ถึงได้ถูกไล่ออกมา…” สาวใช้เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ฮูหยินโจวยิ้ม
“ข้าว่าแล้ว” นางเอ่ย ก่อนจะยกมือขึ้นปรามสาวใช้ “ไม่ต้องพูดถึงนางแล้ว ข้าคร้านจะสนใจ นานๆ ทีจะได้ผ่อนคลาย พวกเจ้าก็เหนื่อยมากแล้ว ไปเถิด”
สาวใช้ไม่ได้เอ่ยต่อ ก่อนจะรีบขานรับแล้วคำนับ จากนั้นจึงลุกออกไป
ท่านชายโจวหกละสายตาจากร่างสาวใช้
“ท่านแม่เรียกข้ามีธุระอะไรหรือ” เขาถาม
“ข้าได้ยินแม่นางเจ็ดบอก เจ้าบอกว่าเรือนไท่ผิงเป็นของเจียวเจียวร์หรือ” ฮูหยินถาม
“ข้าเคยพูดเช่นนั้นเมื่อใดกัน” ท่านชายโจวหกบอกพลางฉีกยิ้ม “แม่นางเจ็ดฟังผิดแล้ว ข้าพูดว่า…”
เขาสองจิตสองใจ ก่อนจะก้มศีรษะลงเล็กน้อย
“พานางไปชิมอาหารที่เรือนไท่ผิง…” เขาเอ่ย
พอเห็นท่าทางน่าละอายใจของลูกชาย ฮูหยินโจวก็พลันโกรธขึ้นมา ทั้งยังกลัดกลุ้มไม่น้อย
“บังอาจนัก! ข้าอยากจะหักแข้งหักขาเจ้าเสียจริง!” นางตะคอก
ท่านชายโจวหกก้มหน้าไม่พูดไม่จา
“ออกไป ออกไป” ฮูหยินโจวไม่ได้มีอารมณ์พูดต่อ นางไม่ได้อยากรู้ว่าเรือนไท่ผิงเป็นของผู้ใดมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
ท่านชายโจวหกขอตัวออกมา เขาเดินไปอย่างเชื่องช้า พลางคิดอะไรในหัว สุดท้ายก็หยุดฝีเท้าลง
ท่านชายฉินสิบสามจัดวางหมากเสร็จเรียบร้อยในห้องของท่านชายโจวหก เขานั่งเล่นหมากรุกกับสาวใช้สองคน พอเห็นว่าท่ายชายโจวหกเดินเข้ามาแต่ก็ไม่ได้สนใจ จนกระทั่งแม่นมสองคนเข้ามานั่งคุกเข่าในห้อง
“ว่ามาเถิด” ท่านชายโจวหกเอ่ย
แม่นมขานรับ
“เช่นนั้นจะให้ข้าเล่าตั้งแต่…วันที่แม่นางเฉิงเข้ามาในเรือนวันนั้นเลยไหมเจ้าคะ” นางถาม
ฉินสิบสามเงยหน้า มองสาวใช้ทั้งสองอย่างไม่เข้าใจ
“วันนั้นวลาพลบค่ำ แม่นางเฉิงเดินข้ามสะพานเป่ยเฉิง ตอนนั้นใต้สะพานยังมีคนซักผ้าอยู่มากมาย พวกเขายังจำรูปลักษณ์ของแม่นางได้ เดินเหินอย่างเชื่องช้า ราวกับไร้เรี่ยวแรง…”
จากคำอธิบายของสาวใช้ ท่านชายโจวหกที่อยู่ด้านข้างดูเหมือนจะเห็นภาพในเวลานั้น ภายใต้ความมืดมน หญิงสาวผู้หนึ่งยืนอยู่หน้าประตูของบ้านตระกูลเฉิงอย่างเชื่องช้า เงยหน้าขึ้นมองตัวอักษรบนป้าย
นางถึงบ้านแล้ว
“ตอนนั้นนายรองเฉิงและฮูหยินรองเฉิงทะเลาะกันอยู่ในห้องของนายใหญ่เฉิง…แม้จะตั้งใจปิดเป็นความลับแล้ว แต่ก็ยังมีหลายคนที่ได้ยิน ข้าใช้เงินห้าเหรียญเพื่อหาคำตอบจากแม่นมที่คอยติดตามฮูหยินใหญ่เฉิง…”
ฟังถึงตรงนี้ สาวใช้ที่ยังคงเล่นหมากรุกกับฉินสิบสามอยู่ภายในห้องก็กลั้นยิ้มไว้ไม่อยู่
“ช่างข้นแค้นเสียจริง เจ้านายยากจน บ่าวก็จนตาม เงินเพียงห้าเหรียญก็กล้าขายนายแล้ว” นางเอ่ย
สาวใช้คนอื่นก็ยิ้มตาม
“ก็ไม่ได้หน้าเงินหรอก” นางบอก “จะว่าไป แม่นมนางนั้นน่าจะตั้งใจพูดออกไปต่างหาก เรื่องที่สะใภ้ของตระกูลเฉิง…ไม่ถูกกัน”
“อย่างนั้นหรือ” สาวใช้ไม่สนใจหมากก่อนจะเอ่ยถามอย่างใคร่รู้ “ตระกูลเฉิงรักใคร่กลมเกลียวกันไม่ใช่หรือ เหตุใดสะใภ้ถึงไม่ถูกกันได้เล่า”
“จะว่าไปแล้ว เรื่องนี้ก็เกี่ยวกับแม่นางเฉิง” สาวใช้เอ่ยยิ้ม
“ล้อเล่นน่า นางเป็นคนสติไม่สมประกอบ จะมีเรื่องข้องเกี่ยวกับเหล่าสะใภ้ที่เป็นผู้อาวุโสได้อย่างไร” ท่านชายโจวหกฮึดฮัด “ตระกูลเฉิงไร้ประโยชน์สิ้นดี คำพูดเช่นนั้นพูดออกมาได้อย่างไร!”
“ท่านชายหก ตอนนั้นหลังจากที่แม่นางเฉิงกลับบ้าน เนื่องจากป่วย จึงต้องกินอาหารดีหน่อย ลูกหลานคนอื่นในเรือนจึงพากันขุ่นเคืองใจก่อน…” สาวใช้รีบพูดต่อ
สองสาวใช้ภายในห้องพากันพูดคนละคำสองคำอย่างเจื้อยแจ้ว เติมน้ำมันลงบนกองเพลิง
ท่านชายฉินสิบสามเดิมทีไม่ได้ใส่ใจนัก ก็ค่อยๆ เริ่มจดจ่อ พลางคิดอะไรบางอย่าง
อันที่จริงก็ไม่มีเรื่องอะไรจะเล่ามากนัก หนึ่งในนั้นก็เป็นเรื่องที่ท่านชายโจวหกเผชิญมาด้วยตัวเอง แม่นมใช้เวลาเพียงไม่นานก็เล่าจบ
ภายในห้องเงียบสงัดไปครู่หนึ่ง ท่านชายโจวหกและท่านชายฉินสิบสามท่าทางราวกับกำลังเหม่อลอย
แม่นมทั้งสองสบตากัน ไม่รู้ว่าเรื่องเล็กๆ อย่างชีวิตการเป็นอยู่ของคนใช้มีอะไรสลักสำคัญหนักหนา
ถึงทำให้ท่านชายต้องใส่ใจถึงเพียงนี้
ดูเหมือนว่าเรื่องราวของท่านชายหกและเฉิงเจียวเหนียงที่ได้ยินมาก่อนหน้านี้ไม่เป็นดั่งที่เขาลือกัน
มีเพียงคนมีใจให้เท่านั้นถึงจะใส่ใจทุกอย่างเช่นนี้
“พวกเจ้ากลับไปเถิด” ท่านชายโจวหกเอ่ย
แม่นมรีบคำนับ ก่อนจะนึกอะไรได้ จึงหยิบกล่องเล็กๆ ออกมาจากด้านหลัง
“นี่คือขนมขึ้นชื่อจากเจียงโจว” สาวใช้เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พวกเราตั้งใจซื้อมา ท่านชายลองชิมดูสิเจ้าคะ”
ท่านชายโจวหกยื่นมือออกไปหยิบ เห็นตัวอักษรสามตัวเขียนว่า ‘วัดเสวียนเมี่ยว’ บนตลับ
“วัดเสวียนเมี่ยว” เขาอ่าน
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ ใช่แล้วเจ้าค่ะ เป็นวัดเต๋าที่โด่งดังที่สุดในเจียงโจว ศักดิ์สิทธิ์มากเลยนะเจ้าคะ แล้วก็ทำขนมเจด้วย…” สาวใช้เอ่ยอย่างเป็นมิตร
นางยังไม่ทันพูดจบ ท่านชายฉินสิบสามก็เอ่ยปากขึ้นมา
“วัดเสวียนเมี่ยวที่ไปกับแม่นางเฉิงน่ะหรือ…” เขาถาม
“อ๋อ วัดที่แม่นางเฉิงไปคือวัดเสวียนเมี่ยวน้อย เป็นกิจการของตระกูลเฉิง ต่อมาเกิดฟ้าผ่าจนไฟไหม้ จึงยกให้วัดเสวียนเมี่ยวใหญ่ดำเนินกิจการต่อ จึงไม่มีวัดเสวียนเมี่ยวน้อยแล้ว ทุกวันนี้ผู้คนต่างเรียกเพียงวัดเสวียนเมี่ยว” สาวใช้บอก
ท่านชายโจวหกเงียบไปชั่วขณะ
“เจ้ากลับไปเถิด” เขาเอ่ย
เมื่อแม่นมออกไป สาวใช้ที่อยู่ภายในห้องในตอนแรกก็ตามออกมา
ท่านชายโจวหกมองตลับตรงหน้า ท่านฉินสิบสามเองก็มองตามมา
“เสวียนเมี่ยว…” เขาเอ่ย “ไท่ผิง…”
“เจ้าจะบอกว่านางก็เป็นผู้ก่อตั้งที่นี่ด้วยหรือ” ท่านชายโจวหกถามขึ้นโดยพลัน
“อาจจะใช่” ท่านชายฉินสิบสามยิ้มพลางเอ่ย “ข้าเองก็ไม่รู้”
เมื่อพูดถึงตรงนี้สีหน้าก็ตึงเครียดขึ้นมา
“แต่ข้ารู้ว่า น้องสาวของตระกูลเจ้าผู้นี้ไม่ธรรมดาจริงๆ” เขาเอ่ย
ท่านชายโจวหกมองเขา
ท่านฉินสิบสามยื่นมือออกไป
“อย่างน้อยก็มีสองชีวิตที่เสียไป” เขาเอ่ย “หากสาวใช้สองคนที่ถูกขายออกไปนั้นตายไปหรือได้รับบาดเจ็บ ก็จะยิ่งมากกว่านั้น”
ท่านชายโจวหกหน้าตึง ขมวดคิ้วจนเป็นรอยลึก
“พูดจาเหลวไหลอะไรของเจ้า” เขาเอ่ย “นางจะเกี่ยวข้องอะไรกับชีวิตผู้อื่น นั่นมันฟ้าผ่านะ! มันคือภัยธรรมชาติ! นางอยู่ดีๆ ของนาง จะเอาชีวิตคนอื่นมาทำอะไร!”
ท่านชายฉินสิบสามมองเขาอย่างเงียบๆ
“ใช่ ใช่ นับวันข้ายิ่งคิดอะไรเพ้อเจ้อไปทุกวัน คิดแต่อะไรไร้สาระไปหมด” เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ยื่นมือออกไปหยิบตลับ “ข้าขอชิมเสวียนเมี่ยวนี้ที”
ยามม่านรัตติกาลโรยตัวปกคลุมท้องฟ้า สวีเม่าซิว ฟ่านเจียงหลินและสวีปั้งฉุยนั่งอยู่ในเรือนสะพานอวี้ไต้
“อันธพาลพวกนี้บังอาจนัก!” สาวใช้ได้ยินดังนั้นก็กระวนกระวาย ทั้งยังตะโกนออกมาอย่างโกรธเคือง “นายหญิง ข้าจะไปบอกนายใหญ่เดี๋ยวนี้”
เฉิงเจียวเหนียงมองนางพลางยิ้มบางๆ
“อันธพาลพวกนี้ ไม่ต้องถึงมือนายใหญ่หรอก” นางเอ่ย
……………………………………………………………